ตอนที่ 136

เสน่ห์คมดาบ

แคลร์พยักหน้า จากนั้นก็หยิบจดหมายออกมาแล้วขมวดคิ้ว “เรื่องนี้เกิดอะไรขึ้น?” 

 

 

“นี่คือจดหมายที่ปรมาจารย์ราอูลเพื่อนของปรมาจารย์คลิฟขอให้ข้าส่งไปให้คุณหนูครับ” จินเหยียนยังไม่ได้อ่านจดหมาย แต่ราอูลกำชับอย่างจริงจังว่าควรส่งให้แคลร์ทันที ดังนั้นจินเหยียนจึงไม่รอให้เสียเวลา 

 

 

แคลร์หลับตาและถอนหายใจเบาๆ 

 

 

อาจารย์ราอูลก็คงทำได้แค่นี้ อาจารย์ไปที่อาณาจักรปีศาจเพื่อที่จะบรรลุ อาจารย์ราอูลต้องการให้แคลร์ไปหยุดอาจารย์คลิฟ ถึงแม้อาณาจักรปีศาจจะไม่ใช่โลกปีศาจที่แท้จริง แต่เป็นพื้น    ที่ที่อันตรายผิดปกติ ที่นั่นมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักและเป็นอันตรายอยู่มากมาย ที่นั่นมีภูมิศาสตร์ที่เป็นอันตรายและสภาพอากาศเลวร้าย อีกทั้งยังมีเขตกั้นที่แข็งแกร่งและน่ากลัวอยู่รอบๆ อาณาจักรปีศาจซึ่งสามารถเข้าไปได้อย่างง่ายดาย แต่ดูเหมือนว่า    จะออกมาได้ไม่ง่ายนัก มีข่าวลือว่ามีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังอยู่ในอาณาจักรปีศาจ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่เข้าร่วมการฝึก    ไม่เคยได้ออกมา อาจารย์ราอูลไม่สามารถเกลี้ยกล่อมคลิฟได้ เขาจึงเขียนจดหมายถึงแคลร์เพื่อให้นางมาหยุดคลิฟเอาไว้ 

 

 

“คุณหนู เรื่องร้ายแรงหรือไม่?” จินเหยียนถามพร้อมกับมองใบหน้าเคร่งขรึมของแคลร์ 

 

 

แคลร์เปิดจดหมายอีกครั้ง นางดูวันที่บนนั้นและคิดได้ว่าคลิฟออกเดินทางไปหลายวันแล้ว 

 

 

“เราต้องไปหยุดอาจารย์ของข้า เขากำลังจะไปอาณาจักรปีศาจ!” แคลร์กัดฟันและพูดออกมา 

 

 

“อะไรนะ!” การแสดงออกของจินเหยียนเปลี่ยนไปทันที เขารู้จักอาณาจักรปีศาจ    ดีเลย ครั้งหนึ่งเคยมีชายผู้แข็งแกร่งแห่งอันพาแกรนด์จะไปฝึกที่อาณาจักรปีศาจ เขตกั้นโดยรอบนั้นเข้าได้ง่ายมาก ชายผู้แข็งแกร่งจึงเข้าไป แต่เขาไม่เคยได้กลับออกมาเลย เล่าลือกันว่ามีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังอยู่ในอาณาจักรปีศาจและยังเป็นสถานที่ต้องห้ามของผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งด้วย ผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงหลายคนไม่เคย    ออกมาหลังจากที่พวกเขาเข้าไปในนั้น ดังนั้นอาณาจักรปีศาจนี้จึงเป็นสถานที่ที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเลี่ยงที่จะกล่าวถึง 

 

 

“อาจารย์ออกเดินทางไปหลายวันแล้ว” แคลร์ขมวดคิ้วและพูดอย่างเป็นห่วง “จากที่นี่ยังอีกยาวไกลกว่าจะไปถึงอาณาจักรปีศาจ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดินทางโดยการบินทั้งวันทั้งคืน พลังเวทย์จะไม่พอใช้” แคลร์หงุดหงิด แม้ว่านางอยากจะบินทั้งกลางวันและกลางคืน แต่นางก็ต้องใช้เวลามากในการฟื้นฟูพลังเวทย์ที่หมดลง ซึ่งจะทำให้เสียเวลาอยู่ดี 

 

 

“คุณหนูไม่ต้องกังวลครับ ข้าจะพยายามไปส่งคุณหนูที่อาณาจักรปีศาจโดยเร็วที่สุด” จินเหยียนพูดอย่างหนักแน่น 

 

 

แคลร์มองจินเหยียนที่แน่วแน่แล้วก็งุนงง จินเหยียนเป็นเพียงนักรบซึ่งสามารถใช้ได้แค่พลังยุทธ์เท่านั้น เขาพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไรกัน? 

 

 

“สถานการณ์เร่งด่วน ข้าไม่สนใจอะไรแล้วทั้งนั้น” จินเหยียนเปิดม่านและมองออกไป สีหน้าของเขาสงบนิ่ง 

 

 

หมายถึงอะไร? แคลร์ไม่เข้าใจว่าจินเหยียนหมายถึงอะไร 

 

 

“คนขับรถม้า ถ้าไปถึงป่าก็จอดให้พวกเราลง แล้วเจ้าก็กลับไปได้เลยนะ” จินเหยียนสั่งคนขับรถม้า 

 

 

“ครับ” คนขับรถม้าไม่ได้พูดอะไรมากมายและตอบตกลง เขาโบกแส้เพื่อขับรถม้าให้เร็วขึ้น 

 

 

“จินเหยียน เจ้าจะทำอะไร?” แคลร์มองจินเหยียนที่ทำหน้าจริงจังและอดไม่ได้ที่จะถาม 

 

 

“คุณหนูครับ จากที่นี่ไปยังอาณาจักรปีศาจ หากนั่งรถม้าจะใช้เวลาครึ่งเดือน เมื่อเราไปถึงที่นั่น อาจารย์คลิฟก็คงเข้าสู่อาณาจักรปีศาจไปแล้ว ตอนนั้นมันก็คงจะสายเกินไป” จินเหยียนลดผ้าม่านลง เขามองแคลร์อย่างใจเย็นและพูด 

 

 

แคลร์พยักหน้า ใช่ นางรู้ทั้งหมดนี้ แต่จินเหยียนต้องการจะพูดอะไรกันแน่? 

 

 

“คุณหนู ข้าจะไปส่งคุณหนูที่อาณาจักรปีศาจภายในสามวัน” จินเหยียนมองอย่างแน่วแน่ 

 

 

สามวัน? แคลร์อึ้งจะเป็นไปได้หรือ? ถ้ามังกรดำอยู่ก็ยังพอจะเป็นไปได้ ความเร็วในการบินและความอดทนของมังกรไม่สามารถเทียบได้กับสัตว์เวทย์หรือสัตว์ประหลาดทั่วไป แต่ในเวลาที่สำคัญเช่นนี้มังกรดำไม่ได้อยู่ที่นี่ หรือว่าพาหนะของจินเหยียนจะมีความเร็วมาก? ใช่ นักรบก็มีพาหนะประจำตัว พาหนะของจินเหยียนคืออะไรล่ะ? แคลร์คิดอยู่ในใจแล้วก็พบแต่ความว่างเปล่า 

 

 

รถม้าแล่นไปอย่างรวดเร็วและหยุดลงหลังจากเข้าสู่ป่าอันเงียบสงบ หลังจากจินเหยียนและแคลร์ลงจากรถม้า คนขับรถก็ปฏิบัติตามคำสั่งแล้วกลับไปตามเส้นทางเดิมทันที 

 

 

“จินเหยียน เจ้าจะทำอะไร?” แคลร์ถามอย่างสงสัย 

 

 

จินเหยียนไม่ตอบ แต่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสายตาเย็นชา 

 

 

“ตอบกลับข้า! คู่สัญญาของข้า!” ดวงตาของจินเหยียนกลายเป็นความว่างเปล่าแล้วกระซิบประโยคนั้นออกไป 

 

 

ทันใดนั้น อักษรแปลกๆ ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของจินเหยียน แคลร์เห็นก็เข้าใจได้ว่านั่นคือตราแห่งสัญญา จินเหยียนเรียกอะไร หรือว่าจะเป็นพาหนะของจินเหยียน? 

 

 

แคลร์ครุ่นคิด ในฐานะอัศวินเขาจะต้องมีพาหนะเป็นของตัวเอง พาหนะของอัศวินแห่งเมืองหลวงและอัศวินแห่งทีมกริฟฟอนนั้นแน่นอนว่าเป็นตัวกริฟฟอนซึ่งเป็นสัตว์    ครึ่งนกอินทรีครึ่งสิงโต รองลงมาก็คือม้าศึกและมีบางตัวเป็นสัตว์เวทย์พิเศษ หรือว่าสัตว์เวทย์ของจินเหยียนอาจเป็นสัตว์เวทย์ที่บินได้ใช่หรือไม่? จินเหยียนจึงได้บอกว่าเขาจะส่งนางไปยังอาณาจักรปีศาจได้ในอีกสามวัน? 

 

 

ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ มีเพียงสัตว์เวทย์ที่บินได้เท่านั้นที่จะสามารถส่งนางไปยังพื้นที่เขตอาณาจักรปีศาจได้ในเวลาอันสั้น 

 

 

แคลร์ยังมองขึ้นไปบนท้องฟ้า รอให้จินเหยียนเรียกพาหนะมา 

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน ฟ้าก็มืดลงเรื่อยๆแคลร์มองไปที่สิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของนางด้วยความตะลึง 

 

 

นางเดาว่าพาหนะของจินเหยียนน่าจะเป็นสัตว์เวทย์ที่บินได้ ใช่ ไม่ผิดเลย นางเดาถูกในจุดนี้ 

 

 

แต่ทำไมสัตว์เวทย์บินได้ตัวนี้ถึงใหญ่มากขนาดนี้ล่ะ? ทำไมมันเหมือนมังกรเลย? 

 

 

มันคือมังกร! พาหนะของจินเหยียนเป็นมังกรจริงๆ! 

 

 

มีเสียง “ตึง…” ดังขึ้น มังกรร่อนลงตรงหน้าพวกเขาทั้งสอง แคลร์มองมังกรตรงหน้านางด้วยความงุนงงจนไม่สามารถพูดอะไรได้อีก     

 

 

มังกรตัวใหญ่ยื่นคอออกมาแล้วเอาหัวไปถูกับจินเหยียนอย่างรักใคร่ มีรอยยิ้มที่เห็นได้ยากปรากฎขึ้นบนใบหน้าของจินเหยียนแล้วเขาก็ยื่นมือออกไปลูบหัวมังกร 

 

 

“จูดี้ ไปกันเถอะ พาพวกเราไปที่รอบนอกของอาณาจักรปีศาจหน่อย” จินเหยียนจับมือแคลร์และกำลังจะขึ้นไป  

 

 

แต่มังกรกลับไม่พอใจแล้วพ่นจมูก แตกต่างจากท่าทางอ้อนเมื่อกี้ของมันอย่างสิ้นเชิง ดวงตาของมังกรเบิกกว้างและจ้องไปที่แคลร์อย่างเย็นชา 

 

 

แคลร์รับรู้ได้ทันทีว่ามังกรกำลังขับไล่นางและไม่เต็มใจให้นางขึ้นไปขี่ 

 

 

“จูดี้!” สีหน้าของจินเหยียนนิ่งและต่อว่าอย่างเย็นชา 

 

 

มังกรฮึดฮัดสองครั้งแล้วก้มหัวลงด้วยดวงตาที่นิ่งกว่าเดิม 

 

 

“คุณหนู นี่คือพาหนะของข้า จูดี้ นางยังพูดไม่ได้ นิสัยของนางเป็นมังกรสาวเจ้าอารมณ์เล็กน้อย แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ” จินเหยียนลูบหัวจูดี้แล้วพูด 

 

 

แคลร์พยักหน้า นางเข้าใจการประท้วงของจูดี้ เดิมทีพาหนะของผู้ขี่นั้นจะอุทิศตัวให้กับผู้ขี่เพียงผู้เดียว ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วมันจะไม่ยอมให้คนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของขี่เลย 

 

 

“ไปกันเถอะครับ คุณหนู” จินเหยียนช่วยแคลร์ขึ้นไปบนหลังมังกรและนั่งลงทั้งคู่ 

 

 

“ไป จูดี้ คราวนี้เจ้าต้องทำงานหนักเลย บินไปเขตอาณาจักรปีศาจด้วยกำลังทั้งหมดของเจ้าเลยนะ” จินเหยียนลูบมังกร มังกรคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้าและบินขึ้นไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

สายลมพัดผ่านไป แคลร์มองจินเหยียนที่นั่งอยู่ข้างหน้าด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความคิด ตั้งแต่แรกเริ่ม จินเหยียนซ่อนความแข็งแกร่งของเขาและอยู่ข้างๆนางมาตลอด ต่อมานางก็พบว่าเขาไปช่วยเหลือองค์ชายสองอย่างลับๆ ตามคำสั่งของท่านปู่ ตอนนี้    เขาเป็นอัศวินมังกรแล้ว มีอัศวินมังกรเพียงสองคนเท่านั้นในอันพาแกรนด์ ซึ่งพวกเขาทั้งลึกลับและทรงพลัง แต่สิ่งที่แคลร์รู้ก็คือ จินเหยียนไม่ใช่หนึ่งในสองคนนั้นแน่นอน พูดอีกอย่างก็คือตัวตนของจินเหยียนในฐานะอัศวินมังกรยังเป็นความลับอยู่! จินเหยียนมีความลับกี่ข้อของเขาที่นางไม่รู้กันนะ? 

 

 

จูดี้บินไปภายใต้การกระตุ้นของจินเหยียนโดยไม่หยุดทั้งวัน จนกระทั่งตอนเย็นจึงลงจอดในสถานที่เงียบสงบเพื่อตั้งแคมป์และพักผ่อน จูดี้รู้สึกเหนื่อยล้าและไม่เคลื่อนไหวใดๆ 

 

 

“จินเหยียน มันเหนื่อยเกินไปสำหรับมังกรเด็กหรือไม่? พรุ่งนี้เจ้าให้นางพักผ่อนเถอะ” แคลร์มองจูดี้ที่เหนื่อยล้าจนไม่สามารถขยับตัวได้เลยแล้วพูด 

 

 

“พรุ่งนี้บินอีกวัน ตอนเย็นก็สามารถไปถึงรอบนอกของอาณาจักรปีศาจได้แล้ว เราต้องหยุดอาจารย์คลิฟก่อนที่เขาจะเข้าสู่อาณาจักรปีศาจ มิฉะนั้นหากเขาเข้าไปแล้วทุกอย่างจะสายเกินไป” จินเหยียนยังคงยืนยัน 

 

 

แคลร์หันหน้าไปมองจูดี้ที่หมดแรง เมื่อนึกถึงผลที่จะตามมาหากอาจารย์เข้าไปในอาณาจักรปีศาจ นางก็รู้สึกขัดแย้งในใจ จูดี้ยังคงเป็นมังกรเด็ก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ความเหนื่อยกายจะหนักหนาสาหัสมาก จากนั้นอะไรจะเกิดขึ้นล่ะ? 

 

 

“ไม่เป็นไรครับ คืนนี้ให้นางพักผ่อน พรุ่งนี้เหนื่อยอีกวันก็จบแล้ว” ดวงตาของจินเหยียนเป็นประกาย เมื่อนึกถึงอาจารย์คลิฟหากก้าวเข้าสู่อาณาจักรปีศาจแล้วคงจะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ เขาจึงไม่เปลี่ยนใจ 

 

 

หลังจากทั้งสองกินอาหารแล้ว พวกเขาก็ตั้งแคมป์และนอนหลับไป 

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้นจูดี้ก็พาทั้งสองคนบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง 

 

 

ในที่สุดจูดี้ที่เหนื่อยล้าก็มาถึงบริเวณรอบนอกของอาณาจักรปีศาจก่อนค่ำ แคลร์รู้สึกตกใจเมื่อพบว่ามีภูเขาและแม่น้ำที่ไม่มีที่สิ้นสุดอยู่เบื้องล่าง แต่เบื้องบนนั้นมีพื้นที่ว่าง    ขนาดใหญ่ที่มีเขตกั้นที่มองไม่เห็นครอบอยู่ จูดี้ร่อนลงช้าๆ และล้มลงกับพื้นทันที คนทั้งสองพยุงร่างกายของพวกเขาไว้ ไม่ปล่อยให้ร่างใหญ่ทับพวกเขา 

 

 

“จูดี้!” จินเหยียนอุทานอย่างเป็นห่วง 

 

 

แคลร์ลงเบาๆ และยืนข้างๆ มองจูดี้ที่นอนอยู่บนพื้นด้วยสายตาที่ซับซ้อน 

 

 

จูดี้เงยหน้าขึ้นอย่างหมดแรง นางแลบลิ้นเลียจินเหยียนที่กำลังกังวลเป็นการปลอบจินเหยียนและบ่งบอกว่านางจะไม่เป็นไร 

 

 

จินเหยียนลูบหัวจูดี้เบาๆ ดวงตาของเขาทนไม่ได้และทุกข์ใจมาก 

 

 

แคลร์เงียบแล้วถอนหายใจ แต่ไม่สามารถพูดอะไรได้ 

 

 

“นับตามเวลาแล้ว อาจารย์คลิฟยังไม่น่าจะมาถึงครับ” จินเหยียนลูบหัวจูดี้เบาๆ แล้วพูดปลอบใจแคลร์ 

 

 

“อืม” แคลร์ตอบเบาๆ และมองไปรอบๆ พวกเขาร่อนลงตรงกลางภูเขาสองลูก ภูเขามีความสูงชันมากและทอดตัวยาวเป็นทาง ที่กลางภูเขาเป็นป่าเขียวชอุ่ม นี่คือทางเข้าอาณาจักรปีศาจงั้นหรือ? 

 

 

เขตกั้นไม่สามารถมองเห็นได้เลย ใครกันที่เป็นผู้ทำขึ้น? เขาต้องแข็งแกร่งขนาดไหนถึงสร้างสถานที่เช่นนี้ได้? 

 

 

“จินเหยียน เจ้าอยู่กับจูดี้เถอะ ข้าจะไปสำรวจรอบๆ ดูหน่อย” แคลร์หันไปสั่งจินเหยียน 

 

 

“คุณหนู อย่าเข้าสู่อาณาจักรปีศาจเด็ดขาดนะครับ” จินเหยียนสั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 

 

 

“ข้ารู้น่า” แคลร์โบกมือ กางปีกเปลวไฟสีทองที่หลังแล้วบินขึ้นไปในอากาศช้าๆ และเริ่มสำรวจสภาพแวดล้อม 

 

 

…………………………………………………………………………….