บทที่ 156 ทรมานใจ

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

นับแต่ที่นายท่านสามมอบเงินก้อนใหญ่ให้เจียงเฉาไปสร้างกิจการขึ้นมาใหม่ นายท่านอู๋ก็ลอบสรรเสริญสกุลเผยจนแทบลอยขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้า ทั้งยังเปลี่ยนสายตาที่นายหญิงอู๋มองเผยเยี่ยนอีกด้วย เมื่อนางพูดเช่นนี้ คนสกุลเฉินที่เอาแต่ซาบซึ้งในบุญคุณของเผยเยี่ยนอยู่มิคลายก็รู้สึกว่าคุณหนูกู้ช่างไม่คู่ควรกับเขาเสียเลย

นายหญิงอู๋ถึงขนาดเอ่ยกับคนสกุลเฉินว่า “อาถังบุตรสาวเจ้ามิใช่ไปคารวะท่านแม่เฒ่าที่จวนสกุลเผยบ่อยๆ รึ? นายหญิงเสิ่นไปที่จวนสกุลเผยเพราะต้องการทำตัวเป็นแม่สื่อจริงหรือไม่ ตอนที่ไปจวนสกุลเผยเจ้าก็ให้อาถังลองสังเกตดูมากหน่อย! นายหญิงเสิ่นกับคุณหนูกู้ยังอยู่ที่จวนสกุลเผยอยู่เลย”

คนสกุลเฉินไม่อยากให้อวี้ถังเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ จึงบอกปัดอย่างน่าฟังว่า “เด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนอย่างนางจะไปรู้อะไร! หากไปก่อเรื่องจนท่านแม่เฒ่าไม่พอใจคงจะไม่งามนัก!”

แม้นายหญิงอู๋จะพูดไปอย่างนั้นเอง แต่เมื่อได้ฟังคำตอบของคนสกุลเฉินกลับเอ่ยขึ้นมาอย่างรู้สึกไม่เป็นธรรมว่า “ถ้านายท่านสามแต่งกับคุณหนูกู้จริงๆ ต่อไปถ้าข้าเจอคุณหนูกู้คงต้องเดินอ้อมไปอีกทางแล้ว”

ใครว่าไม่ใช่ล่ะ!

คนสกุลเฉินลอบถอนหายใจยาวเหยียด

เดิมนางไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเผยเยี่ยนจะแต่งกับใคร ทว่าเมื่อได้ยินนายหญิงอู๋พูดขึ้น พอนางคิดว่าเผยเยี่ยนอาจต้องกลายเป็นบุตรเขยของสกุลกู้ก็รู้สึกทรมานใจ รอจนส่งนายหญิงอู๋จากไปแล้ว อวี้ถังก็ช่วยนางหยิบชุดใหม่สำหรับเซ่นไหว้เข้ามาให้ นางอดจะพูดเรื่องนี้กับอวี้ถังไม่ได้ พยายามเลียบๆ เคียงๆ ถามอวี้ถังว่า “วันนั้นที่เจ้าเจอท่านหญิงเสิ่น นายหญิงเสิ่นกับท่านแม่เฒ่าคุยเรื่องอะไรกันรึ? คุณหนูกู้ใช่หรือไม่ว่าพยายามแสดงตัวให้โดดเด่นต่อหน้าท่านแม่เฒ่า?”

อวี้ถังได้ยินดังนั้นก็เหมือนถูกฟ้าผ่า เป็นนานกว่าจะดึงสติกลับมาได้

เผยเยี่ยนกับกู้ซี…ใครเป็นคนปล่อยข่าวลือเรื่องนี้?! ช่างมั่วซั่วเหลือเกิน! เผยเยี่ยนกับกู้ซีมีอาวุโสห่างกันหนึ่งขั้นเชียวนะ?!

ไม่ถูกสิ นางคิดผิดแล้ว

เผยเยี่ยนกับกู้ฉ่างอายุไล่เลี่ยกัน และรับราชการในราชสำนักเดียวกันด้วย

หากมิใช่มีความทรงจำของชาติก่อน มักทำให้รู้สึกว่านางกับกู้ซีนั้นเหมือนกัน นางก็คงไม่คิดว่ากู้ซีกับเผยเยี่ยนห่างวัยกันด้วยอาวุโส

เช่นนี้แล้ว กู้ซีก็อาจจะแต่งกับเผยเยี่ยนจริงๆ น่ะสิ!

กู้ซีแต่งกับเผยเยี่ยน…อวี้ถังคิดถึงฉากภาพเช่นนั้นไม่ค่อยจะออกเลย

แต่ถ้ากู้ซีแต่งกับเผยเยี่ยนจริงๆ ขึ้นมา?

จู่ๆ อวี้ถังก็รู้สึกเหมือนกลืนแมลงวันลงท้องไป

ไม่เพียงทรมานใจน่าขยะแขยง ทั้งไม่อาจยอมรับได้อีกด้วย

เผยเยี่ยนกับกู้ซี…เป็นไปไม่ได้หรอก!

กู้ซีคู่ควรกับเผยเยี่ยนรึ?

นางมีสิทธิ์อะไรแต่งให้เผยเยี่ยน?!

อวี้ถังกระเด้งตัวลุกขึ้น เดินเป็นวงกลมรอบห้องเหมือนสัตว์ที่ติดอยู่ในกรง

ไม่ได้ นางไม่ยอมให้กู้ซีแต่งกับเผยเยี่ยนแน่!

กู้ซีเป็นพวกจอมปลอม แสร้งว่าใจกว้าง และมีนิสัยใจคอต่ำช้า!

เผยเยี่ยนจะแต่งกับใครก็ได้ แต่ไม่ใช่กู้ซี

นางจะต้องไปคุยกับเผยเยี่ยนแล้ว

อวี้ถังคิดได้เช่นนั้น เท้าก็ขยับตามความคิดอย่างว่องไว พุ่งตัวไปที่ประตูทันที

“เจ้าจะทำอะไรน่ะ?” จนนางเดินถึงประตูแล้ว แต่กลับถูกคนสกุลเฉินดึงตัวเอาไว้

คนสกุลเฉินเอ่ยด้วยสีหน้าจนใจ “ข้าพูดกับเจ้าเรื่องนายท่านสาม เหตุใดเจ้ากลับหมุนตัวเดินหนี ปากก็เอาแต่ขมุบขมิบไม่รู้ว่าพูดอะไร…”

เจ้าเด็กคนนี้ มิใช่สาปแช่งใครอยู่หรอกนะ?

คนสกุลเฉินมองสำรวจไปทั่วร่างบุตรสาวด้วยความกังวล

เพราะถูกคนสกุลเฉินบีบแขนจนรู้สึกเจ็บ อวี้ถังจึงได้สติกลับมา

นาง…นางเป็นอะไรไป? เหตุใดจู่ๆ ก็จะวิ่งไปเตือนเผยเยี่ยนอย่างมุทะลุเช่นนั้น?

ยังไม่พูดถึงว่าเรื่องของเผยเยี่ยนกับกู้ซีเป็นเพียงสิ่งที่มารดาของตนไปได้ยินมาจากที่อื่น แต่ต่อให้เผยเยี่ยนจะแต่งกับกู้ซีจริงๆ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนางเล่า?

อีกอย่าง บุญคุณความแค้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกนางสองคน เผยเยี่ยนฉลาดเจ้าแผนการ ท่านแม่เฒ่าก็เฉียบแหลมแข็งแกร่ง มีตรงไหนด้อยกว่านางบ้าง? นางเอาความคิดมาจากไหนว่ากู้ซีกับเผยเยี่ยนไม่เหมาะสมกัน?

กู้ซีกับเผยเยี่ยนจะเหมาะสมกันหรือไม่นั้น ก็สมควรมีสกุลเผยเป็นคนตัดสิน มิใช่เพราะนางไม่ถูกกับกู้ซีจากนั้นก็คิดเองเออเองแล้วตัดสินใจแทนคนของสกุลเผย บอกว่ากู้ซีกับเผยเยี่ยนไม่คู่ควรกัน

อวี้ถังสูดหายใจลึกทีหนึ่ง ข่มอารมณ์ที่ตีกันวุ่นวายให้สงบ แล้วเอ่ยกับมารดาว่า “ข้าได้ยินมาว่าสกุลกู้ต้องการดองกับสกุลเผย เพราะตกใจมากไป จึงเสียกิริยา…”

คนสกุลเฉินไม่ได้ติดใจคิดมาก นางกระซิบว่า “อย่าว่าแต่เจ้าเลย ตอนที่ข้าได้ฟังก็แตกตื่นแทบแย่ แต่พอมาคิดๆ ดูอย่างละเอียดแล้ว สกุลกู้คิดจะเกี่ยวดองกับสกุลเผยก็ฟังเข้าทีอยู่…ลองมองไปทั่วเจียงซูและเจ้อเจียง ชายหนุ่มที่ยังไร้คู่หมายมีสักกี่คนที่เทียบเคียงกับนายท่านสามได้บ้าง หากว่าข้าเป็นมารดาของคุณหนูกู้ ก็คงมีความตั้งใจแบบนี้เช่นกัน ข้าเพียงคิดว่าเมื่อก่อนยังเคยได้ยิน บอกว่าท่านผู้เฒ่าลั่นวาจาเอาไว้ตอนมีชีวิตอยู่ คู่หมายของนายท่านสาม จะต้องเป็นสตรีสกุลใหญ่ตั้งแต่ขั้นสามขึ้นไปเท่านั้น บัดนี้ท่านผู้เฒ่าจากไปแล้ว งานมงคลของนายท่านสามถึงได้ล่าช้าออกไป…”

อาศัยสกุลกู้ เดิมก็ไม่ผ่านมาตรฐานที่ท่านผู้เฒ่าวางเอาไว้สักนิด

มิน่าใจนางจึงรู้สึกทรมานใจแปลกๆ

คนสกุลเฉินกับอวี้ถังคิดเหมือนกันอย่างไม่ได้นัดหมาย เมื่อต่างฝ่ายหาเหตุผลที่อธิบายความหนักใจของตนเองได้แล้ว อารมณ์จึงค่อยสงบขึ้น

อวี้ถังพยายามเค้นความทรงจำในวันที่นางเจอนายหญิงเสิ่นกับกู้ซี “ถ้าท่านไม่พูด ข้าก็คงไม่คิดไปในทางนั้น ท่านแม่เฒ่าเห็นชัดว่าไม่ต้อนรับนายหญิงเสิ่นเลย ส่วนคุณหนูกู้นั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านแม่เฒ่าก็ออกจะร่าเริงเกินไปหน่อย คิดว่านางมีเจตนาให้เป็นเช่นนั้น คงอยากให้ท่านแม่เฒ่าโปรดปรานนาง ตอนนี้ดูท่าแล้ว ที่พวกนางดึงดันจะค้างแรมในจวนสกุลเผยให้ได้ ก็คล้ายมีจุดประสงค์แอบแฝงอยู่จริงๆ”

ความจริง กู้ซีก็วางตัวเป็นปกติเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านแม่เฒ่า เพียงแต่อวี้ถังเคยใช้ชีวิตร่วมกับกู้ซีมาเมื่อชาติก่อน กู้ซีแต่งเข้าสกุลหลี่นั้นถือว่าแต่งกับสกุลที่ต่ำกว่าตน นับแต่ต้นจนจบจึงมักวางท่าเย่อหยิ่งอยู่หลายส่วน ทว่าชาตินี้ต่างออกไป อวี้ถังก็แค่สัมผัสได้ในทันทีเท่านั้นเอง

คนสกุลเฉินเลียริมฝีปาก “หากว่าเรื่องนี้สำเร็จ เห็นว่าคำสอนเรื่อง ‘ผู้ที่กล้าเสี่ยงมักได้ประโยชน์มากกว่า ผู้ที่ขี้ขลาดหวาดกลัวมักไม่ได้อะไร’ คงมีเหตุผลไม่น้อย เช่นนั้นข้าก็จะใจกล้ามากหน่อย ขอให้นายหญิงเสิ่นช่วยเจ้าเลือกลูกหลานสกุลเสิ่นที่มีความประพฤติดีงามมาเป็นบุตรเขยสักคน เรื่องบางเรื่องหากไม่ลองทำ คงไม่มีวันรู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่”

นับว่ากู้ซีได้มาเปิดหูเปิดตาให้กับคนสกุลเฉินแล้ว

อวี้ถังเม้มปากหัวเราะ ในใจไม่รู้ต้องทำเช่นไรดี ความอึดอัดเบาบางที่กระจายไปทั่ว ทำให้นางรู้สึกฉงนสงสัย

วันที่หนึ่งเดือนสิบหลังเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ทุกบ้านทุกสกุลต่างก็เริ่มเตรียมงานวันปีใหม่แล้ว

หูซิ่งมาเยี่ยมคารวะคนสกุลเฉินที่เรือนสกุลอวี้เป็นเพื่อนจี้ต้าเหนียงอย่างกะทันหัน บอกว่าท่านแม่เฒ่าจะไปพักที่คฤหาสน์นอกเมืองบนเขาเทียนมู่เหนือสักหลายวัน คิดจะเชิญอวี้ถังให้ร่วมทางไปกับท่านแม่เฒ่าด้วย สอบถามว่าคนสกุลเฉินอนุญาตหรือไม่

คนสกุลเฉินไม่อยากให้อวี้ถังไปค้างที่คฤหาสน์นอกเมืองสักเท่าไร แต่เห็นว่าจี้ต้าเหนียงมาเชิญด้วยตนเอง ทั้งยังพูดหลายครั้งเป็นทำนองว่า “ท่านแม่เฒ่าชื่นชมคุณหนูอวี้มาก นายหญิงรองกับคุณหนูห้าก็จะไปพักที่คฤหาสน์บนเขาด้วยเช่นกัน อย่างมากสิบวันครึ่งเดือนก็กลับมาแล้ว ท่านก็คิดเสียว่าคุณหนูอวี้ไปเยี่ยมญาติสิเจ้าคะ” ทำให้คนสกุลเฉินไม่อาจปฏิเสธได้ สุดท้ายจึงให้ไปถามความเห็นของอวี้ถังแทน

แม้ในเรือนจะจุดกระถางไฟ แต่ถ้าออกห่างจากกระถางไปก็ยังหนาวยะเยือกอยู่ดี

อวี้ถังคิดถึงห้องที่ดึงความร้อนจากพื้นไฟของท่านแม่เฒ่า ใจนางจึงคิดอยากจะไปด้วย

คนสกุลเฉินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ดีดหน้าผากอวี้ถังไปหลายครั้ง “พวกตะกละมักจะลำบาก ถ้าถึงตอนนั้นเจ้าเกิดร้อนใจขึ้นมา อย่ากลับมางอแงให้ข้าต้มชาเก๊กฮวยให้ดื่มก็แล้วกัน”

อวี้ถังหัวเราะเหอะๆ ทว่าในใจกลับคิดว่ากู้ซีกับนายหญิงเสิ่นจะกลับเมืองหัวโจวไปหรือยัง? ที่ตนได้ไปพักแรมที่คฤหาสน์นอกเมืองด้วยเป็นเพราะท่านแม่เฒ่าคะนึงถึงนางจริงๆ หรือ? หากว่ากู้ซีกับคนสกุลเสิ่นยังไม่กลับ นางควรวางตัวเช่นไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสองคนนั้น?

ทางหนึ่งนางก็เอาแต่ครุ่นคิด ทางหนึ่งก็กำกับให้ซวงเถาเก็บสัมภาระ เมื่อถึงวันที่นัดแนะกับคนสกุลเผย นางก็พาซวงเถาออกเดินทางโดยมีจี้ต้าเหนียงร่วมทางไปด้วย

คฤหาสน์นอกเมืองของสกุลเผยสร้างอยู่บนไหล่เขาครึ่งลูก ณ เขาเทียนมู่เหนือ เดินทางจากเมืองหลินอันใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน

ตลอดเส้นทาง อวี้ถังได้เห็นแต่ต้นไม้สูงตระหง่านใบเขียวครึ้ม แผ่นหินปูลาดเป็นทางเดินอันเงียบสงบ หากมิใช่ว่าตอนเปิดม่านเกี้ยวออกไปมีลมหนาวเสียดกระดูกพัดเข้ามา คงทำให้เข้าใจผิดว่านี่เป็นกลางฤดูร้อนแล้ว ตัวคฤหาสน์ของสกุลเผยเร้นกายอยู่ระหว่างต้นไม้ดกทึบกลุ่มหนึ่ง กำแพงเรือนสีขาว กระเบื้องหัวเสาสีเทา มีเพียงประตูหรูอี้สีดำบานหนึ่งโผล่ออกมาให้เห็น ซึ่งสามารถผ่านเข้าออกได้เฉพาะเกี้ยวเท่านั้น แต่เมื่อเข้าไปด้านในแล้ว เดินอ้อมกำแพงที่ใช้อิฐสีเทาตัดเป็นอักษร ‘ฝู’ ก็เหมือนจะได้เจอโลกใหม่อีกใบหนึ่ง

ภูเขาจำลองสูงต่ำทับซ้อน โอ่อ่าตระการตา เส้นทางคดเคี้ยวเลี้ยวลด ศาลาเหมันต์อันวิจิตร…นับว่าเป็นคฤหาสน์นอกเมืองที่ไม่ด้อยไปกว่าจวนสกุลเผยเลย

จี้ต้าเหนียงเดินนำทางอยู่ด้านหน้า บางครั้งก็หันมาพูดคุยกับอวี้ถังเป็นระยะ “นับแต่แรกเริ่มคนสกุลเผยอาศัยอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ ภายหลังต้องขึ้นเขาลงเขาลำบากมาก จึงได้สร้างจวนสกุลเผยหลังที่อยู่ปัจจุบันที่ตรอกเสี่ยวเหมยขึ้น จวนสกุลเผยทางนั้นตั้งอยู่ในเมือง เหล่านายท่านทำกิจการค้าขายได้ คุณชายทั้งหลายก็เรียนหนังสือได้สะดวกกว่า อย่างช้าๆ ที่นี่ก็มีเพียงคนที่อยากสงบใจมาอยู่เท่านั้น และเพราะเป็นสมบัติของบรรพบุรุษ คฤหาสน์หลังนี้จึงถือเป็นทรัพย์สินของสกุลสายตรง คนที่มาพักจึงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย แต่ตอนที่ท่านผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่ ก็ชอบมาอาศัยอยู่ที่นี่ ทั้งยังพาให้ท่านแม่เฒ่าหลงรักที่นี่ไปด้วย ครั้นท่านผู้เฒ่าเสียไป ท่านแม่เฒ่าคิดจะย้ายมาอยู่ที่นี่ถาวร แต่นายท่านสามก็ยังไม่ตบแต่งเป็นฝั่งฝา ธุระของบ้านอื่นในสกุลยังจำเป็นต้องให้ท่านแม่เฒ่าช่วยจัดการชั่วคราว ถ้าท่านแม่เฒ่าย้ายมาอยู่ที่นี่ก็คงไม่สะดวก จึงได้ยื้อเวลามาถึงตอนนี้เจ้าค่ะ”

อวี้ถังเห็นว่าห้องหับทางนั้นกำแพงต้นเสาล้วนสะอาดเอี่ยม ไม่มีร่องรอยถูกทิ้งร้างเลยสักนิด ไม่รู้ว่าปีๆ หนึ่งต้องใช้เงินบำรุงรักษาสักเท่าไร อดจะเอ่ยขึ้นไม่ได้ว่า “เช่นนั้นถ้าท่านแม่เฒ่าย้ายมาอยู่ที่นี่จริงๆ พวกเจ้ามิใช่ว่าต้องย้ายตามมาด้วยหรือ”

จี้ต้าเหนียงพยักหน้า เอ่ยพลางหัวเราะว่า “ฉะนั้นหลังจากที่ท่านผู้เฒ่าสิ้นไป พวกที่อายุน้อยกับไม่ได้ความก็ถูกปล่อยตัวออกไปหมด ที่รับใช้ข้างกายท่านแม่เฒ่าอยู่ตอนนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นบ่าวรับใช้ที่อยู่กับสกุลเผยมาแต่บรรพบุรุษแบบตัวข้า อีกอย่างก็จะเหมือนเจินจูกับหู่พั่วที่เติบโตอยู่ข้างกายท่านแม่เฒ่าตั้งแต่เล็กๆ”

สองคนเดินคุยกันไป ไม่นานก็มาถึงโถงหลักที่ท่านแม่เฒ่าใช้พักผ่อนซึ่งอยู่ฝั่งตะวันออกของเรือน

อวี้ถังนำข้าวของที่ตนเตรียมมาไปเก็บยังห้องข้างฝั่งตะวันออกซึ่งเป็นที่พักของนาง

พอเปิดประตูเข้าไป ไออุ่นก็ปะทะเข้าหน้าทันที

กระทั่งห้องพักของแขกก็ใช้ไอร้อนจากพื้นไฟด้วยรึ?

อวี้ถังประหลาดใจมาก แต่ข้อต่อกระดูกทั่วร่างที่คล้ายฟื้นคืนชีพอีกครั้งทำให้นางรู้สึกพอใจยิ่งกว่าเก่า มันสบายตัวจนแทบอยากพุ่งขึ้นเตียงทันที

นางหวีผมล้างหน้าและเปลี่ยนชุดใหม่ ถึงได้ตามจี้ต้าเหนียงไปคารวะท่านแม่เฒ่า

สีหน้าของท่านแม่เฒ่าเผยให้เห็นความอ่อนล้า สาวใช้กับหญิงรับใช้เจ็ดแปดคนคอยดูแลอยู่ข้างกาย นางกำลังใช้ก้านฟางแห้งแหย่นกขมิ้นเหลืองอยู่พอดี

อวี้ถังรีบเดินเข้าไปแล้วย่อกายคารวะ

ท่านแม่เฒ่าวางก้านฟางแห้งในมือลง สาวรับใช้เดินเข้ามายกกรงนกออกไปที่อื่น ก่อนจะยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ท่านแม่เฒ่าเช็ดมือ

“เจ้ามาแล้วรึ” ท่านแม่เฒ่าเอ่ยด้วยสีหน้านุ่มนวล นางเช็ดมือพลางบอกให้อวี้ถังนั่งลงที่ตั่งไม้เตี้ยด้านข้าง “มารดาเจ้าสุขภาพยังดีอยู่หรือไม่? ข้าเรียกเจ้ามา นางย่อมไม่อาจตัดใจปล่อยมาแน่ ข้าต้องขออภัยไว้ตรงนี้ก่อนด้วย”

“ท่านกล่าวหนักเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” อวี้ถังลุกขึ้นอีกครั้งแล้วกล่าวอย่างเคารพนบนอบว่า “ท่านแม่ไม่อาจตัดใจปล่อยให้ข้ามา แต่มิใช่เพราะไม่อยากให้ข้ามาอยู่เป็นเพื่อนท่าน เป็นเพราะว่าอากาศหนาวเหลือเกิน ไปทางใดล้วนต้องใช้ถ่านเผาไฟ กลัวว่าจะรบกวนท่านเจ้าค่ะ”