ตอนที่ 83-2 ร่องรอยของสวีชิงเฉิน

ชายาเคียงหทัย

ยามนั้น ภายในห้องส่วนตัวในภัตตาคารที่เปิดโดยคนต้าฉู่ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับโรงเตี๊ยม เยี่ยหลีในเครื่องแต่งกายอย่างชายหนุ่มกำลังนั่งจิบชาสบายๆ อยู่ริมหน้าต่าง ผู้ติดตามก็เปลี่ยนจากองครักษ์ลับสองเป็นองครักษ์ลับสามเรียบร้อยแล้ว นางมองออกไปนอกหน้าต่าง ทันได้เห็นหานหมิงซีที่เดินงอนตุ๊บป่องออกมาพอดี

 

เยี่ยหลีมองหานหมิงซีที่ค่อยๆ เดินตามฝูงชนไกลออกไปอย่างนึกขัน แล้วจึงถามว่า “เมื่อวานหานหมิงซีทำอันใดบ้าง”

 

องครัษก์ลับสามตอบเสียงขรึมว่า “คุณชายหานออกไปเมื่อตอนเที่ยงคืนของวันมะรืน จนเมื่อเที่ยงคืนเกือบหนึ่งเค่อของเมื่อวานถึงได้กลับเข้ามาขอรับ คิดว่าน่าจะไปที่จุดนัดพบของเทียนอี้เก๋อในหนานจ้าวขอรับ พวกเรากับเทียนอี้เก๋อต่างไม่เคยข้องเกี่ยวกันมาก่อน คุณชาย…จะให้ไปสืบหรือไม่ขอรับ”

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า พูดว่า “ไม่ต้องหรอก ขอเพียงเขาไม่ขัดขวางพวกเราเป็นพอ คอยฟังข่าวจากทางองครักษ์ลับสี่ด้วย อย่าให้หานหมิงเย่ว์เข้าถึงตัวพวกเราทั้งๆ ที่พวกเรายังไม่รู้ตัวได้”

 

           องครักษ์ลับสามพยักหน้า “คิดไปคิดมาแล้วคุณชายก็มิได้ถือว่าไปเล่นงานอันใดเทียนอี้เก๋อ คุณชายหานเองต่างหากขอติดตามมาที่หนานเจียงด้วย นายใหญ่ของเทียนอี้เก๋อไม่น่าจะมาหาเรื่องพวกเราถึงจะถูก”

 

           “นั่นก็ไม่แน่เสมอไป ข่าวจากทางเทียนอี้เก๋อยังส่งมาตามเวลาหรือไม่” เยี่ยหลีเอ่ยถาม

 

           “มีขอรับ ข้าน้อยลองเทียบข่าวที่ได้จากเทียนอี้เก๋อและข่าวของเราเองแล้ว ต่างกันไม่มากนัก” องครักษ์ลับสามพูดตอบ

 

เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ “เช่นนั้นก็ดี…หากว่ายังมีผู้ใดที่สามารถปิดบังเรื่องราวจากองครักษ์ลับและเทียนอี้เก๋อพร้อมๆ กันได้แล้ว เช่นนั้นต่อให้พวกเราติดกับก็ไม่ถือว่าผิดนัก อีกเดี๋ยวให้แจ้งทางเทียนอี้เก๋อว่าพวกเราต้องการข้อมูลธิดาเทพแห่งหนานเจียง ข้าบอกหานหมิงซีไว้ว่าข้าต้องการดอกโยวหลัวหมิง ยามนี้หากบอกเขาว่าต้องการข้อมูลของธิดาเทพแห่งหนานเจียง เขาน่าจะไม่สงสัยอันใด”

 

           “ขอรับ คุณชาย ฝั่งบัณฑิตขี้โรคนั้นก็เริ่มได้ข่าวแล้ว นายท่านเหลียงน่าจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ท่านได้…”

 

           เยี่ยหลีขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดใจ ไม่คิดว่ามาถึงหนานจ้าวได้ไม่เท่าไรก็จะได้ยินข่าวการหายตัวไปของพี่ใหญ่ ทำให้ตอนนี้นางไม่เพียงไม่ได้รับความช่วยเหลือหรือข้อชี้แนะจากสวีชิงเฉินแล้ว ยังต้องหาทางรู้ถึงที่อยู่ของสวีชิงเฉินให้ได้ภายในเวลาอันสั้นที่สุดอีกด้วย ทำให้นางไม่สามารถปลีกตัวออกไปไหนได้ แต่ฟากของบัณฑิตขี้โรคนั้นนางจะไม่สนใจเลยก็ไม่ได้

 

“นายท่านเหลียงมิใช่คนที่มีวิทยายุทธ์ อีกอย่างด้วยวิธีของบัณฑิตขี้โรคแล้ว เกรงว่าต่อให้เป็นคนที่มีวิทยายุทธ์ก็คงทนได้ไม่นานเช่นกัน” ก่อนหน้านี้ที่บัณฑิตขี้โรคกลัวว่านายท่านเหลียงจะตาย มาตอนนี้ก็แทบไม่เหลือร่องรอยของความกลัวนั้นแล้ว ตอนนี้ของชิ้นนั้นก็อยู่ในมือเขา ต่อให้นายท่านเหลียงตายโดยไม่ยอมปริปาก เขาก็เพียงต้องเสียเวลาเพิ่มอีกเล็กน้อยในการหาเบาะแสให้พบเท่านั้น แต่หากไม่มีของชิ้นนั้น ตัวนายท่านเหลียงเองก็คงยากที่จะตอบเรื่องนี้ได้

 

           “พวกเขาอยู่ที่ใด”

 

           “นอกเมืองขอรับ”

 

           เยี่ยหลีคิดเล็กน้อย “หาตัวพี่ใหญ่ให้เจอสำคัญกว่า ให้องครักษ์ลับจับตาดูพวกเขาไว้ให้ดีๆ หากจำเป็นจริงๆ ให้เขาช่วยคนหลัวอีปู้พวกนั้นพานายท่านเหลียงออกมาก็ได้ และอย่าได้ให้พวกเขาบอกวิธีการได้ดอกปี้ลั่วแก่บัณฑิตขี้โรคเป็นอันขาด อย่างน้อยๆ ก็ห้ามบอกก่อนที่พวกเราจะพอมีเวลา หากไม่ไหวจริงๆ คงต้องหาทางแย่งมา หากแย่งมาไม่ได้ก็ทำลายดอกปี้ลั่วเสีย อย่าให้บัณฑิตขี้โรคได้ไปเป็นอันขาด”

 

           องครักษ์ลับสามพูดด้วยความสับสนว่า “ดอกปี้ลั่วไม่แน่ว่าอาจช่วยรักษาโรคของท่านอ๋องได้ หากทำลายทิ้งเสีย…”

 

           “ดังนั้นจึงต้องรีบไปนำมาอย่างไร แต่หากเอามาไม่ได้จริงๆ ก็จะให้บัณฑิตขี้โรคได้ไปไม่ได้ เจ้าคิดว่าหากได้ดอกปี้ลั่วไป คนแรกที่เขาคิดจะจัดการคือผู้ใด” เยี่ยหลีถามขึ้นยิ้มๆ

 

           “ท่านอ๋องหรือขอรับ”

 

           เยี่ยหลียิ้มเรียบๆ พร้อมมองออกไปนอกหน้าต่าง “บัณฑิตขี้โรคเป็นหัวหน้าหน่วยสามของสำนักเยี่ยนอ๋อง หากเขาคิดจะทำอันใดย่อมสามารถส่งลูกน้องในสำนักเยี่ยนอ๋องไปทำแทนได้ แต่ครานี้เขากลับเดินทางมาหนานเจียงเพียงคนเดียว ทั้งยังมิได้ใช้อิทธิพลใดๆ ของสำนักเยี่ยนอ๋อง จะด้วยเพราะเหตุใดกัน นั่นต้องเป็นเพราะหัวหน้าหน่วยอีกสองคนของสำนักเยี่ยนอ๋องคงไม่เห็นด้วยเป็นแน่ ปีนั้นที่บัณฑิตขี้โรคป่วยหนักจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ถึงแม้ยามนี้ยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็เหลือเพียงครึ่งชีวิตเท่านั้น เขาจะไม่คิดแค้นได้หรือ แต่สำนักเยี่ยนอ๋องได้ให้คำสัตย์แก่ตำหนักติ้งอ๋องแล้วว่าจะไม่มีความขัดแย้งต่อกันอีก ดังนั้นเขาจึงต้องพึ่งตนเอง…” เยี่ยหลีนึกถึงสีหน้าเ**้ยมอำมหิตของบัณฑิตขี้โรคตอนที่พูดถึงนรกและสวรรค์ของดอกปี้ลั่วแล้ว อดรู้สึกใจสั่นเนื้อเต้นไมได้ ด้วยเหตุนี้ทำให้นางถึงขั้นคิดว่าจะลงมือฆ่าบัณฑิตขี้โรคก่อนดีหรือไม่ แต่ก็เป็นความคิดเพียงชั่ววูบเท่านั้น ไม่ว่าจะด้วยฐานะของบัณฑิตขี้โรคหรือฐานะใดๆ ก็ตาม ณ ตอนนี้นางมิอาจฆ่าเขาได้ อย่างน้อยเขาไม่อาจตายด้วยน้ำมือของพระชายาติ้งอ๋อง

 

           “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว จะไม่ได้ทางให้บัณฑิตขี้โรคได้ดอกปี้ลั่วไปแน่นอนขอรับ”

 

           ณ ตำหนักลึกลับแห่งหนึ่งในหนานจ้าว พื้นและเสาภายในตำหนักปูด้วยหินอ่อนที่ได้รับการแกะสลักอย่างปราณีตงดงาม ประดับตกแต่งด้วยเครื่องทองฝังอัญมณีหลากสี พร้อมด้วยไข่มุกราตรีที่เปล่งประกายแวววาวที่ให้แสงสว่างแทนแสงเทียน ผ้าลูกไม้ฝูหรงที่ล้ำค้าที่สุดของหนานเจียงแขวนอยู่เป็นชั้นๆ เบื้องหลังผ้าม่านนั้น มีชายหนุ่มในชุดสีขาวท่าทางสง่างามกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่อย่างสงบ ภายใต้แสงสว่างอันอ่อนนุ่มของไข่มุกราตรี ใบหน้าด้านข้างที่ได้รูปเปล่งประกายออกมาน้อยๆ ทำให้ตัวเขายิ่งดูเยือกเย็นและสงบนิ่งยิ่งขึ้น

 

           ประตูหินหนักๆ บานใหญ่ถูกผลักเปิดออก หญิงสาวรูปร่างโปร่งบางค่อยๆ เดินช้าๆ เข้ามา ชุดของหญิงสาวไม่เหมือนกับชาวหนานเจียงตามธรรมเนียมดั้งเดิม นางอยู่ในชุดเสื้อคลุมตัวใหญ่สีเหลืองสดลวดลายหงส์ ชายเสื้อคลุมกรุยกรายลากมาตามพื้น ผมสลวยรวบขึ้นเรียบๆ มีเครื่องประดับหินห้าสีเสียบแซมอยู่บนเส้นผม หน้ากากทองที่จัดทำขึ้นอย่างปราณีตปิดบังใบหน้าอยู่อย่างมิดชิด หน้ากากที่ปราณีตงดงามนั้นดูมีเสน่ห์อย่างประหลาด ซึ่งขับให้ดวงตาภายใต้หน้ากากนั้นยิ่งดูลึกลับยิ่งขึ้น หญิงสาวค่อยๆ เดินอย่างงามสง่าเข้ามา มองชายหนุ่มในชุดสีขาวแล้วจึงหัวเราะขึ้นเบาๆ “คุณชายชิงเฉิน ท่านไม่คิดจะมองข้าสักหน่อยหรือ ขอเพียงท่านพยักหน้า ข้าก็พร้อมที่จะถอดหน้ากากออกให้ท่านดูทันที”

 

           สวีชิงเฉินวางหนังสือในมือลง ถอนหายใจน้อยๆ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นถามว่า “ท่าน…งดงามกว่าหญิงสาวในภาพยอดหญิงงามแห่งต้าฉู่เหล่านั้นหรือ”

 

           ดูเหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกที่สวีชิงเฉินมีปฏิกิริยาต่อคำถามนี้ของนาง หญิงสาวจึงดูอึ้งไปเล็กน้อย “ท่านชอบหญิงสาวของต้าฉู่หรือ ยอดหญิงงามแห่งต้าฉู่ข้าเคยได้ยินมาบ้าง ท่านชอบคนใดเป็นพิเศษหรือ ใช่ซูจุ้ยเตี๋ยที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฉู่หรือไม่ ดูเหมือนนางจะตายไปแล้วมิใช่หรือ”

 

สวีชิงเฉินยิ้มน้อยๆ “ซูจุ้ยเตี๋ย…นางเป็นหญิงงามที่ไม่เลวเลยจริงๆ หากท่านงดงามไม่เท่านางก็คงไม่จำเป็นต้องเห็นหน้าท่านหรอก”

 

           “ท่าน” ดวงตาของหญิงสาวมีประกายขุ่นเคือง แต่ก็กลับเย็นลงอย่างรวดเร็ว นางหัวเราะหึหึแล้วพูดว่า “คุณชายชิงเฉินจะไม่ช่างเลือกไปหน่อยหรือ เท่าที่ข้ารู้เด็กสาวที่เป็นคู่หมั้นของท่านรูปร่างหน้าตาไม่เลวก็จริง แต่…ดูเหมือนจะยังไม่ถือว่าเป็นหญิงงามกระมัง”

 

สวีชิงเฉินหลุบตาลง ปกปิดประกายประหลาดในแววตา แต่หญิงสาวกลับถือเอาท่าทีนั้นเป็นการยอมรับของสวีชิงเฉิน นางส่งเสียงเหอะเบาๆ “จะว่าไปคุณหนูฉู่ท่านนั้นดูจะมีใจรักท่านอย่างลึกซึ้ง ถึงขั้นเดินทางมาเป็นพันๆ ลี้มายังหนานเจียงโดยมีองครักษ์ติดตัวมาเพียงคนเดียว หากมองจากข้อนี้ ดูคุณหนูฉู่จะมิค่อยเหมือนหญิงสาวจงหยวนสักเท่าไร”

 

           “นางอยู่ที่ใด” สวีชิงเฉินเอ่ยถามขึ้น

 

           “หึหึ เมื่อวานนางถึงขั้นบุกเข้าไปยังตำหนักองค์หญิงอันซี รัชทายาทหญิงของพวกเราเชียวนะ ในเมื่อองค์หญิงอันซีกับคุณชายเป็นสหายรักกัน ท่านคงต้อนรับดูแลคู่หมั้นของคุณชายเป็นอย่างดีเป็นแน่”

 

หญิงสาวผู้นั้นยกมือปิดปากหัวเราะ “คุณชายชิงเฉิน จะไม่พิจารณาข้อเสนอของข้าสักหน่อยหรือ หากสำเร็จ…ท่านกับข้าจะได้ร่วมกันแบ่งปันผืนดินในใต้หล้านี้เชียวนะ”

 

สีหน้าสวีชิงเฉินราบเรียบ พูดเสียงเบาขึ้นว่า “หากข้าน้อยคาดเดาไม่ผิด สามปีก่อน แม่นางได้ให้คำสัญญาที่จะร่วมกันเบ่งปันผืนดินในใต้หล้ากับหลีอ๋องแห่งต้าฉู่ไว้แล้ว”

 

หญิงสาวสะบัดแขนเสื้อพร้อมหัวเราะอย่างดูแคลน “ม่อจิ่งหลีน่ะหรือ เขาจะเทียบกับคุณชายได้อย่างไร ไม่สิ…ข้าเชื่อว่าในใต้หล้านี้ นอกจากติ้งอ๋องแล้วมิมีผู้ใดสามารถทัดเทียมท่านได้อีก น่าเสียดายก็เพียง…ติ้งอ๋องได้กลายเป็นคนไร้สมรรถภาพไปเสียแล้ว คุณชายจึงเป็นบุคคลที่สมบูรณ์แบบที่สุดในใต้หล้านี้ และก็เป็นชายหนุ่มที่เหมาะสมกับข้ามากที่สุดอีกด้วย”

 

           สวีชิงเฉินส่ายหน้า “ขอโทษด้วยจริงๆ ด้วยกฎการแต่งงานของตระกูลสวี ลูกหลานของตระกูลสวีมิอาจละโมบในความมั่งคั่งร่ำรวยและอำนาจอันหอมหวานได้ ชาตินี้ข้าน้อยขอแต่งงานกับคนเพียงคนเดียวก็พอแล้ว แม่นาง ท่านจับข้าขังไว้เช่นนี้เกรงว่าคงมิมีประโยชน์ เมืองหลวงของหนานจ้าวมิใช่เมืองใหญ่อันใด การที่คนจะหาที่นี่พบ เป็นเพียงเรื่องที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น”

 

หญิงสาวยืนพิงเสาหินอ่อนแล้วหัวเราะด้วยความขบขัน “ท่านไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าท่านหรือ ครึ่งปีมานี้ท่านเสนอความคิดแย่ๆ แทนอันซีมาตั้งเท่าไร ทำข้าเสียเรื่องไปมากน้อยเพียงใด ท่านมิได้ชื่นชอบหญิงสาวจงหยวนหรือ หรือว่าข้าเหมือนหญิงสาวจงหยวนสู้อันซีมิได้”

 

สวีชิงเฉินส่ายหน้า แล้วก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อไป พร้อมพูดว่า “หากท่านคิดจะฆ่าข้าก็คงฆ่าไปนานแล้ว อีกอย่าง…ฆ่าข้าแล้วท่านจะได้ประโยชน์อันใดหรือ”

 

           “ถูกแล้ว” หญิงสาวได้แต่ถอนใจ “หากฆ่าท่านเรื่องราววุ่นวายคงตามมาอีกมากนัก ตระกูลสวีแห่งจงหยวน ไม่แน่ว่าตำหนักติ้งอ๋องยังต้องมาหาเรื่องข้าด้วย แล้วยังรัชทายาทหญิงของพวกเราอีก คงคิดตามหาข้าอย่างเต็มกำลัง เพียงแต่…หึหึ ถึงแม้ข้าจะฆ่าท่านไม่ได้แต่ก็สามารถจับท่านขังไว้ที่นี่ได้ เพียงเท่านี้ท่านก็คงทำข้าเสียเรื่องไม่ได้แล้ว เมื่อไม่มีท่านคอยทำให้เสียเรื่อง ไม่นาน อันซีที่แสนจะเย่อหยิ่งและน่ารังเกียจนั่นคงได้ตายอย่างน่าทุเรศยิ่งขึ้น แน่นอนว่า…รวมถึงคู่หมั้นที่แสนน่ารักของท่านด้วย”

 

           “ท่านอย่าได้ทำอันใดนางเชียว” ดูเหมือนสวีชิงเฉินจะถูกทำให้โกรธเสียแล้ว เขาจึงเอ่ยเตือนเสียงเย็นขึ้น

 

           “เอ๋ ท่านเป็นห่วงนางจริงๆ หรือนี่” หญิงสาวมองสวีชิงเฉินด้วยความประหลาดใจ “เด็กสาวที่แค่มองก็รู้ว่ายังไม่โตนั่น ท่านชอบนางเข้าไปได้อย่างไร”

 

สวีชิงเฉินพูดเรียบๆ ว่า “ขอเพียงนางเป็นคู่หมั้นของข้า ข้าย่อมต้องห่วงเป็นธรรมดา”

 

หญิงสาวจ้องหน้าเขา “ท่านหมายความว่าไม่ว่านางจะเป็นคนเช่นไร ขอเพียงนางเป็นคู่หมั้นของท่านท่านก็จะเป็นห่วงอย่างนั้นหรือ”

 

สวีชิงเฉินหัวเราะ “นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดามิใช่หรือ ในเมื่อนางจะเป็นภรรยาข้าในอนาคต หากข้าไม่เป็นห่วงนางแล้วจะเป็นห่วงผู้ใดเล่า”

 

           “ท่าน…ดี ข้าจะจัดการนางให้ท่านดู” หญิงสาวพูดพร้อมยิ้มเย็น จ้องหน้าสวีชิงเฉินด้วยความโกรธก่อนสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป

 

           เมื่อได้ยินเสียงประตูหินอันหนักอึ้งปิดลง สวีชิงเฉินก็วางหนังสือในมือลง ดวงตาคมค่อยๆ หลุบลง “คู่หมั้น…คุณหนูฉู่…หลีเอ๋อร์หรือ…”