ภาค 1 บทที่ 94 หินเป็นหลักฐาน น้ำเป็นพยาน

จอมศาสตราพลิกดารา

ยามอยู่ต่อหน้ากัวอวี่ชิง พี่ใหญ่ที่เจอหน้ากันเพียงไม่กี่วัน หลี่มู่รู้สึกถึงความสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

เขาเปิดใจและปลดปล่อยความกดดันทั้งหมดโดยไม่รู้ตัว หลังจากมาถึงดาวดวงนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่มู่ไม่รู้สึกกดดันเพราะความลับที่ตนแบกเอาไว้ ทว่ามีความสงบแบบปล่อยไปตามใจตัวเอง

เคล็ดวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ กัวอวี่ชิงก็ถ่ายทอดให้หลี่มู่นานแล้ว

หลี่มู่จำได้ขึ้นใจ

เคล็ดวิชาการต่อสู้นี้ลึกลับอัศจรรย์ กว้างขวางลึกซึ้ง เวลาแค่ชั่วประเดี๋ยวไม่มีทางสัมผัสได้หมด หลี่มู่ต้องใช้เวลาช่วงระยะหนึ่งค่อยๆ ฝึกฝน เมื่อฝึกฝนสำเร็จพลังจะน่าครั้นคร้ามนัก หลี่มู่ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย

นอกจากนั้น กัวอวี่ชิงก็แทบจะสอนทุกอย่างบอกเล่าทุกสิ่ง ถ่ายทอดความรู้ที่ตนได้พบเห็น ได้ร่ำเรียนมาด้านวิถียุทธ์ให้กับหลี่มู่โดยไม่มีหวงวิชา

ส่วนหลี่มู่ นอกจากเก็บความลับเรื่องที่ตนเองเป็นคนจากโลกมนุษย์และ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ กับ ‘หมัดยุทธ์แท้’ สองวิชานี้ เนื่องจากเกี่ยวพันกับเรื่องสำคัญจึงไม่ได้เปิดเผยออกไป เรื่องอื่นเกี่ยวกับทฤษฎีหรือเคล็ดวิชาต่างๆ ที่ซินแสเฒ่าเคยพูดเอาไว้ ก็นำมาถกปัญหากับกัวอวี่ชิง

สำหรับกัวอวี่ชิงแล้ว ต่อให้เป็นสิ่งที่ซินแสเฒ่าพูดไปตามปาก ก็เป็นการเปิดโลกความคิดครั้งใหญ่

ในคำพูดมากมายของซินแสเฒ่าแฝงด้วยทฤษฎีวิถียุทธ์ จากพลังฝึกและความลึกซึ้งของหลี่มู่ในวันนี้ อาจจะยังเข้าใจไม่ล้ำลึกพอ แต่สำหรับกัวอวี่ชิง เขาไม่ใช่แค่เข้าใจเลยเท่านั้น แต่ยังมีความรู้สึกกระจ่างแจ้งในพริบตา

ข้อติดขัดและความสงสัยบางอย่างที่รบกวนใจอยู่นานพลันคลี่คลายลง

“ยอดเยี่ยมยิ่งนัก หากได้ทฤษฎีวิถียุทธ์ที่แท้จริงนี้มาตั้งแต่ทีแรก ข้าคงจะพลิกผันการต่อสู้ในครั้งนั้นได้”

กัวอวี่ชิงได้ฟังแล้วบรรลุถึงจุดที่น่าอัศจรรย์ ในใจรู้สึกเบิกบานจนอดกระโดดขึ้นมาไม่ได้

“น้องมู่ ตกลงเจ้ามาจากสำนักใดกันแน่? ความเชี่ยวชาญด้านการฝึกวรยุทธ์ของอาจารย์เจ้าเป็นมนุษย์ในหมู่เทพเซียนชัดๆ ทฤษฎีและมุมมองที่เยี่ยมยอดเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้เป็นเจ้าสำนักของสำนักเทพทั้งเก้าก็ใช่ว่ามองได้ทะลุ” กัวอวี่ชิงพูดอย่างทอดถอนใจ

หลี่มู่ตอบไปว่า “ท่านอาจารย์เก่งกาจเลิศล้ำ เหมือนมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง ข้าก็ไม่ได้เจอเขาบ่อยๆ ยิ่งไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาด้วย” เขาบรรยายรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ของซินแสเฒ่ารอบหนึ่ง แต่ย่อมไม่ได้พูดว่าที่จริงซินแสเฒ่าไม่ได้อยู่ที่ดาวดวงนี้

ปกปิดความจริงเช่นนี้ ทำให้ของหลี่มู่ค่อนข้างละอายใจ

เพราะกัวอวี่ชิงไม่ปกปิดอะไรกับเขาเลย

แต่เรื่องนี้สำคัญมากจริงๆ อีกทั้งนับว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับผู้อื่นและดาวดวงนี้ ดังนั้นหลังจากหลี่มู่ลังเลเล็กน้อยก็ตัดสินใจเก็บไว้ รอให้วันหน้ามีโอกาสค่อยสารภาพก็ได้

“บนโลกนี้มียอดฝีมือเหนือชั้นที่ท่องโลกผจญภัยมากมาย ก็เหมือนเช่นที่ว่านี้ อาจารย์ของเจ้าจะต้องเป็นยอดฝีมือวรยุทธ์สูงส่ง มีความรู้ลึกซึ้งเป็นแน่” กัวอวี่ชิงทอดถอนใจแล้วพูดขึ้นอีก “น้องมู่ เจ้าก็นับว่าเป็นศิษย์สำนักมีชื่อเสียงเหมือนกันนะ ฮ่าๆๆ ดื่มให้สะใจ มา ดื่มอีกถ้วย”

“หมดถ้วย” หลี่มู่ยกถ้วยเหล้าขึ้นสูง

‘วิชาก่อนกำเนิด’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ เปลี่ยนแปลงคุณสมบัติกายของเขา ทำให้เขาคอแข็งจนน่าตกใจ ดื่มกับกัวอวี่ชิงอย่างสะใจนานถึงเพียงนี้ หลงใหลวิชาธนูดุจหลงใหลสุรา ดื่มเหล้าร้อนแรงหกเจ็ดไหก็แค่รู้สึกกรึ่มๆ เท่านั้น ยังไม่รู้สึกเมาเท่าใดนัก

กัวอวี่ชิงดื่มเสร็จก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่า หัวเราะลั่นก่อนกล่าว “น้องมู่ เหล่ากัว[1]ผู้นี้เพิ่งได้พบกับเจ้า แต่เหมือนรู้จักกันมานาน พูดคุยด้วยก็สุขใจยิ่งนัก หากเจ้าไม่รังเกียจ เจ้าและข้ามีน้ำเป็นพยาน มีหินเป็นหลักฐาน มาสาบานเป็นพี่น้องต่างแซ่กันเป็นเช่นไร?”

หลี่มู่ดีใจอย่างยิ่งยวด ผุดลุกขึ้นยืน “ข้าก็หวังเช่นกัน เพียงแต่ไม่กล้าเอ่ยออกมา”

กัวอวี่ชิงหัวเราะร่า

ปราณธนูคมกริบหมุนวนขึ้นบนนิ้วทั้งห้าของเขา แล้วพุ่งไปในอากาศ ครั้นยื่นมือออกไปยังกำแพงหินตามอารมณ์ ก็คว้าก้อนหินขนาดกว้างคูณยาวราวสี่ฉื่อออกมา มันปราณธนูตัดได้เป็นระเบียบ ก่อนร่วงมาอยู่ต่อหน้าคนทั้งสอง จากนั้นกัวอวี่ชิงใช้นิ้วเป็นลูกธนู กรีดเฉือนไปยังก้อนหิน เพียงชั่วพริบตา กระถางธูปรูปทรงโบราณก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา

เขาตัดออกมาเหมือนเดิม ทำเป็นชามหินสองใบ

มีก้อนหินเป็นหลักฐาน

หลี่มู่เติมน้ำบาดาลจากน้ำตกเก้ามังกรลงไปในกระถางธูป

มีน้ำเป็นพยาน

สุราเลิศรสถูกรินลงไปในชามหิน

หลี่มู่กรีดข้อมือของตน หยดเลือดลงไปในเหล้าหนึ่งหยด

กัวอวี่ชิงอึ้งไป เห็นได้ชัดว่าโลกใบนี้ไม่มีขั้นตอนการสาบานแบบนี้ แต่ว่าเขาก็ตั้งตัวกลับมาได้ทันที ในใจตื่นเต้นนัก กรีดข้อมือหยดเลือดลงไปเช่นกัน

เลือด ในโลกวิถียุทธ์แห่งนี้ก็มีความหมายที่อัศจรรย์นักเช่นกัน

สายเลือด ในประวัติศาสตร์ของโลกใดหรือการขยายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตใดก็ตามแต่ ล้วนมีความสำคัญที่ไม่อาจมีสิ่งใดมาทดแทนได้

ทั้งสองคุกเข่าลงหน้ากระถางธูปหิน

“สวรรค์อยู่เบื้องบน ปฐพีอยู่เบื้องล่าง น้ำเป็นพยาน หินเป็นหลักฐาน หลี่มู่มนุษย์จากแดนโลก ขอสาบานเป็นพี่น้องต่างแซ่กับพี่กัวอวี่ชิง จากนี้มีทุกข์ร่วมต้าน มีสุขร่วมเสพ ไม่ขอเกิดวันเดือนปีเดียวกัน แต่จะขอตายในวันเดือนปีเดียวกัน”

หลี่มู่พูดเสียงดัง สีหน้าท่าทางฮึกเหิมเคร่งขรึม

หลี่มู่กรึ่มเหล้า จิตใจฮึกเหิม เอ่ยคำสาบานสามพี่น้องในสวนดอกท้อที่แพร่หลายบนโลกมายาวนานที่สุดและซาบซึ้งที่สุดรวดเดียว

กัวอวี่ชิงที่อยู่ข้างๆ ตะลึงไป เขาได้ยินว่า ‘มนุษย์จากแดนโลก’ จากปากของหลี่มู่ แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าเป็นชื่อสถานที่ใดในโลกใบนี้เท่านั้น เขาแค่คิดไม่ถึงว่าน้องชายคนนี้จะเอ่ยคำสาบานแบบนี้ออกมา ในใจจึงซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง ทว่ากลับลังเลเล็กน้อย

“พี่กัว?” หลี่มู่มองเขา

กัวอวี่ชิงพูดอย่างลังเล “น้องมู่ ข้า…”

เขาลำบากใจเล็กน้อย

จุดที่ลำบากใจ ตัวเขารู้แน่อยู่แก่ใจ ตอนนี้คนในยุทธจักรพบร่องรอยของตนและภรรยาแล้ว เกรงว่าอีกไม่นานเท่าใด การไล่สังหารจากสำนักเทพทั้งหลายก็จะมาถึง ถึงตอนนั้นแม้จะมีคำทำนายจากผู้กุมความลับสวรรค์ ก็เป็นแค่โอกาสรอดริบหรี่เท่านั้น หากตอนนั้นเกิดดับดิ้นขึ้นมา เอ่ยคำสาบานแบบนี้จะไม่เป็นการทำให้หลี่มู่เดือดร้อนไปด้วยหรือ?

“พี่กัว ข้าพอจะรู้เช่นกันว่าใจท่านกังวลอะไร”

หลี่มู่เอ่ยพร้อมยิ้มบาง

ตอนอยู่บนโลกเขาอ่านนิยายกำลังภายในต่างๆ มานับไม่ถ้วน สำหรับผู้หลบซ่อนตัว ที่จริงแล้วมีฉากไม่ค่อยดีมากมาย ยกตัวอย่างเช่นพิณประกาศิตฉบับละครโทรทัศน์ หรือคู่สามีภรรยาจางชุ่ยซาน (เตียชุ่ยซัว) ในเรื่องดาบมังกรหยก เมื่อถูกพบหรือถลำลึกเข้าไปในยุทธจักรก็ถูกดักล้อมไล่สังหาร จุดจบน่าสังเวช

เห็นได้ชัดว่ากัวอวี่ชิงกำลังกังวล หากเอ่ยคำสาบานเช่นนี้ไป แล้วพวกเขาสามีภรรยาถูกไล่สังหารดับดิ้น กลับจะทำให้ตนเดือดร้อนไปด้วย

“พี่กัว พี่น้องที่ดีต้องมีคุณธรรม” หลี่มู่ลอกคำพูดติดปากของอุ้ยเสี่ยวป้อเทพบุตรเจ้าสำราญมาได้อย่างไม่กระดาก “ในเมื่อสาบานเป็นพี่น้องกัน เช่นนั้นก็มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน หากข้าคิดอยากรับผลประโยชน์จากพี่กัวเพียงอย่างเดียว แต่ไม่กล้าแบกรับความรับผิดชอบในฐานะพี่น้อง เช่นนั้นคำสาบานนี้ไม่ต้องเอ่ยเสียก็ได้ พี่กัว ท่านคือบุรุษที่ออกมาจากที่ราบทุ่งหญ้า เหตุใดจึงกระบิดกระบวน วางเรื่องพวกนี้ไม่ลง?”

กัวอวี่ชิงได้ยินดังนั้น ก็ยิ่งประเมินหลี่มู่สูงขึ้นไปอีกขั้น เขาหัวเราะลั่น “ดี ข้ากัวอวี่ชิงท่องใต้หล้ามาหลายสิบปี วันนี้กลับยังไม่ผ่าเผยเท่าน้องมู่ เจ้าพูดได้ถูก พี่ชายคนนี้ผิดไปแล้ว…”

เขาเอ่ยคำสาบานเสียงดังด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งขรึมตามหลี่มู่ทันที

ครั้นดื่มเหล้าเลือดจนสิ้น ก็โยนชามทิ้งลงพื้น

“พี่ใหญ่” หลี่มู่ทำความเคารพอย่างจริงจัง

กัวอวี่ชิงหัวเราะ กอดหลี่มู่ไว้แล้วเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ฮ่าๆๆ คิดไม่ถึงว่าข้ากัวอวี่ชิง คนรู้จักหลีกลี้หนีหาย ร่อนเร่มาถึงยังเขาขาวพิสุทธิ์ กลับยังได้รู้จักอัจฉริยะเช่นน้องชาย วันนี้พี่ชายดีใจยิ่งนัก เจ้าและข้ามาดื่มให้สะใจ ไม่เมาไม่กลับ”

“ได้” หลี่มู่ก็หัวเราะเช่นกัน

ในนิยายหรือละครโทรทัศน์เมื่อก่อน เมื่อดูตอนศึกเขาเส้าซื่อที่เฉียวเฟิง (เฉียวฟง) พบกับหลวงจีนน้อยซวีจู๋ (ซีจู๋) ชายที่ในสภาพแวดล้อมอันตรายเช่นนั้นกลับยังหัวเราะอารมณ์ดี และสาบานเป็นพี่น้องกับซวีจู๋ แค่ส่งเสียงก็ไม่มีผู้ใดสู้ได้ เอะอะก็หัวเราะร่าดื่มเหล้า เขารู้สึกว่านั่นแหละคือกล้าหาญมีคุณธรรม เป็นวีรบุรุษที่แท้จริง วันนี้หลี่มู่ได้สัมผัสความรู้สึกนี้แล้วเช่นกัน

หลี่มู่เห็นท่วงท่าอย่างจอมยุทธ์เฉียวเฟิงจากนิยายในร่างของกัวอวี่ชิง

ทั้งสองอุ่นสุราถกเรื่องการต่อสู้ พูดคุยกันอย่างรู้ใจ สุขสำราญเป็นอย่างยิ่ง

นี่คือการจุดประกายมิตรภาพระหว่างลูกผู้ชาย

หลี่มู่นับจากที่ออกมาจากอำเภอก็ผ่านไปสี่วันแล้ว แต่เดิมควรรีบกลับไปให้เร็วหน่อย ด้วยค่อนข้างกังวลเรื่องในที่ว่าการ แต่คิดไปคิดมา ทุกอย่างในพื้นฐานแล้วก็อยู่ในการควบคุม หลังจากคนในยุทธจักรพวกนั้นผ่านการต่อสู้ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้คงสร้างปัญหาอะไรไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงวางใจและไม่รีบร้อนกลับไป

“น้องเล็ก บาดแผลของเจ้าฟื้นฟูสมบูรณ์แล้ว ไม่ควรอยู่ที่นี่นาน ผ่านคืนนี้ไป พรุ่งนี้พอเช้าก็รีบกลับไปยังอำเภอเสีย พี่ใหญ่ยังมีเรื่องบางอย่างต้องจัดการ” กัวอวี่ชิงกล่าวกลั้วยิ้ม

“ได้” หลี่มู่คิดๆ ดู พรุ่งนี้ก็ควรกลับไปได้แล้วจริงๆ

……

เวลาเดินผ่านไป

แสงอาทิตย์แผดเผาร้อนแรง

บนหลักไม้สูง สองแขนของชิงเฟิงบิดไปอยู่ข้างหลัง ถูกมัดไว้กับเชือกหยาบและแข็งในท่าที่เจ็บปวดที่สุด เหนือสุดของหลักไม้มีแดดเผาลมพัด ไหนจะบาดแผลในปาก เหงื่อไหลไม่ขาดสาย ลมหายใจเด็กชายรวยรินแล้ว

ดวงอาทิตย์ร้อนแรง แผดเผาร่างเขาราวกับเปลวเพลิง

ชิงเฟิงรู้สึกหน้ามืดวิงเวียนเป็นระยะๆ

การทรมานร่างกายที่น่ากลัวเช่นนี้ เป็นฝันร้ายในชีวิตสำหรับเด็กน้อยอายุสิบกว่าปีอย่างไม่ต้องสงสัย

ชิงเฟิงรู้สึกว่าชีวิตของตนหลั่งไหลออกไปทีละนิด ประหนึ่งเม็ดทรายในนาฬิกาทราย

แต่ว่าในใจของเขากลับไม่มีความหวาดหวั่น

และไม่ตื่นกลัวด้วยเช่นกัน

เขายังคงโทษตัวเองและละอายใจจากสิ่งที่พวกหม่าจวินอู่ต้องพบเจอ

เขายังคงเชื่อมั่นว่าคุณชายจะต้องกลับมา

เขาไม่กังวลเรื่องชะตาชีวิตของตน สิ่งที่เขากังวลคือหม่าจวินอู่และพวกเฝิงหยวนซิงที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกจะต้องเจอกับการเค้นความที่เหี้ยมโหดไร้มนุษยธรรมเพียงใด

‘ยืนหยัด จะต้องยืนหยัดต่อไป รอคุณชายมา จะต้อง…ช่วยพวกน้าหม่าให้ได้’

‘ข้า จะต้องมีชีวิตต่อไป จะต้องชดเชย…’

ชิงเฟิงพูดกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าในใจ

สติรับรู้ของเขากำลังรับแบบทดสอบและการฝึกฝนที่โหดร้ายที่สุด

เขากำลังอดทน รอคอยอย่างเงียบๆ

ไม่ว่าจะต้องรอไปจนถึงเมื่อไหร่ เขาก็ต้องให้ตัวเองยืนหยัดต่อไป

ต้องมีชีวิตอยู่ต่อ

มีชีวิตอยู่ถึงจะแก้แค้นได้ ถึงจะช่วยเหลือได้

……

คุกของที่ว่าการ

หม่าจวินอู่ที่แขนขาดไปข้างหนึ่ง ทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยแส้ รอยดาบ ตราประทับ แทบจะหาเนื้อหนังที่สมบูรณ์ไม่ได้ เขาที่แต่เดิมเสียเลือดมากเพราะแขนขาดจึงสลบเหมือดไป ต่อให้หลี่ปิงสั่งให้คนสาดน้ำเย็นไปสามสี่ถังก็ไม่อาจปลุกสติเขาให้คืนมาได้

“มารดามันสิ ตายเร็วขนาดนี้เลย”

หลี่ปิงพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ ใบหน้าแย้มยิ้มเหี้ยมเกรียม

จากนั้น สายตาของเขาหยุดลงที่บนร่างของเฝิงหยวนซิงและเจินเหมิ่งที่ถูกโซ่แขวนไว้บนหลักไม้

ทั้งสองคนสภาพไม่ได้ดีไปกว่าหม่าจวินอู่เท่าใด การถูกทรมานเค้นความลับไม่หยุด ทำให้ร่างกายของพวกเขาอยู่ในสภาพยับเยิน แต่ไม่รู้ว่าปณิธานตั้งมั่นจากที่ใดทำให้พวกเขายังรักษาสติเอาไว้ได้บ้าง

……………………………………………………

[1] การใช้คำว่า เหล่า แล้วตามด้วยแซ่ เป็นวิธีการเรียกสรรพนามแทนตัวของภาษาจีนอย่างหนึ่ง แสดงถึงความใกล้ชิดและสนิทสนม