บทที่ 138 ตระกูลประหลาด

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

จินเฟยเหยาเร่งรุดไปยังร้านเล็กๆ ที่ซื่อเต้าจิงเปิดบนเกาะซ่างเซียน เวลากลางวันคนในร้านมากกว่าตอนกลางคืนนิดหน่อย มีทั้งหมดสามคนกำลังคัดลอกสิ่งของ เห็นนางวิ่งเข้ามา ผู้บำเพ็ญเซียนวัยกลางคนที่ต้อนรับนางครั้งที่แล้ว ยื่นกระดาษสองแผ่นให้ ทว่ากลับถือไม่ยอมคลายมือ

ต้องจ่ายศิลาวิญญาณก่อนจึงอ่านได้…

“ข้าต้องจ่ายศิลาวิญญาณอีกเท่าไร?” จินเฟยเหยาทดลองดึงดูก็ไม่ขยับเขยื้อน ได้แต่เอ่ยถามอย่างจนปัญญา

“ไม่มาก จ่ายอีกเพียงสามหมื่นศิลาวิญญาณ” ผู้บำเพ็ญเซียนวัยกลางคนได้ยินคำถามของนาง ก็คลายมือพลางเอ่ย

สามหมื่นศิลาวิญญาณ เช่นนั้นก็แสดงว่าเวลาที่รอคอยมาห้าปี หาพบเพียงความเป็นมาของหวาซี ยังไม่รู้ที่อยู่ของเขาในตอนนี้

จินเฟยเหยาเตรียมกระเป๋าเก็บของไว้สองใบแต่แรก ใบหนึ่งบรรจุศิลาวิญญาณแปดหมื่น อีกใบบรรจุศิลาวิญญาณสามหมื่น เพื่อความสะดวกในการชำระบัญชี จินเฟยเหยาโยนกระเป๋าเก็บของให้เขา แล้วหยิบกระดาษในมือเขามาอ่านอย่างรีบร้อน

ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนวัยกลางคน ราวกับกลัวจินเฟยเหยาไม่รู้หนังสือ จึงเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อนอยู่ด้านข้าง “หวาซี บุตรหลานรุ่นที่สองร้อยห้าสิบสามของคฤหาสน์กุ่ยเม่ย เขาเป็นบุตรของอนุภรรยาคนหนึ่ง จัดเป็นศิษย์สายบุตรอนุภรรยา สามารถเรียกสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณออกมาได้เช่นเดียวกัน แต่เขาออกเดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์อยู่ภายนอกนานมาก ไม่ได้กลับมาตลอด คฤหาสน์กุ่ยเม่ยไม่ชอบติดต่อกับคนภายนอก ดังนั้นพวกเราใช้เวลาห้าปีจึงสอบถามข้อมูลเหล่านี้มาได้”

“พวกเจ้ามีกระดาษสองแผ่น เนื้อหาน้อยนิดแค่นี้ไม่พอเขียนหรือ เพิ่มอะไรเข้าไปด้านในอีกใช่หรือไม่?” เนื้อหาที่ผู้บำเพ็ญเซียนวัยกลางคนเอ่ย ก็จดบันทึกไว้บนกระดาษในมือจินเฟยเหยา นางอ่านแล้ว ทว่าดูจากปริมาณตัวอักษร ก็รู้ว่ายังมีสิ่งอื่นๆ อีก

“เจ้าอ่านดูแล้วก็จะรู้ ห้าปีสืบได้เพียงข้อมูลเล็กน้อยเท่านี้ พวกเรารู้สึกเสียใจ ดังนั้นจึงเพิ่มข้อมูลของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยให้เจ้าเปล่าๆ ด้วย” ผู้บำเพ็ญเซียนวัยกลางคนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

“พูดเหมือนข้าเอาเปรียบอย่างนั้นแหละ ที่จริงคิดรวมไว้ในศิลาวิญญาณห้าหมื่นก้อนแล้ว” ศิลาวิญญาณห้าหมื่นก้อนซื้อคำพูดไม่กี่ประโยค จินเฟยเหยารู้สึกว่าใช้ศิลาวิญญาณไปอย่างเจ็บปวดยิ่ง

นางบ่นงึมงำอย่างไม่พอใจพลางอ่านลงมาด้านล่างต่อ ยิ่งอ่านยิ่งตกตะลึง สุดท้ายอ้าปากอย่างหวาดผวาไม่หาย

คิดไม่ถึงว่าคฤหาสน์กุ่ยเม่ยจะเป็นตระกูลแบบนี้ เนื่องจากมีเพียงทายาทสายเลือดบริสุทธิ์จึงสามารถเรียกสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณได้ ดังนั้นจึงไม่ยอมแต่งงานกับคนนอกเผ่า ขอเพียงแต่งงานกับคนแซ่อื่น สายเลือดก็จะยิ่งไม่บริสุทธิ์ขึ้นทุกที ดังนั้นพวกเขาจึงแต่งงานกับญาติสนิทเสียเลย

ผลที่ตามมาน่าสลดใจอย่างยิ่ง ลูกพี่ลูกน้องแต่งงานกันเป็นสามีภรรยา พี่น้องแท้ๆ ก็แต่งงานกัน ให้กำเนิดทายาทปัญญาอ่อน พิการ เป็นโรค สุดท้ายหลังจากสังหารหมู่ในครอบครัวตนเองรอบหนึ่ง ก็เหลือเพียงกลุ่มทายาทที่งดงาม มีจำนวนคนเพียงยี่สิบสามสิบคน

พวกเขาไม่แต่งงานกับญาติอีก และไม่ยอมแต่งกับคนนอกแซ่ให้กำเนิดทายาทที่เรียกสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณไม่ได้ พวกเขาค้นพบวิธีที่จะไม่ทำลายสายเลือดและไม่ให้กำเนิดทายาทพิการ ก็คือใช้สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณเลี้ยงดูทายาทโดยตรง

อ่านถึงตรงนี้ จินเฟยเหยารู้สึกอ่านไม่เข้าใจอยู่บ้าง จึงขอคำแนะนำจากผู้บำเพ็ญเซียนวัยกลางคน

ผู้บำเพ็ญเซียนวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมองนางแวบหนึ่ง จากนั้นใช้คำพูดธรรมดาที่สุดอธิบาย “ก็คือหลังจากรุ่นปู่หรือบิดาเสียชีวิตก็จะนำสิ่งของอย่างหนึ่งที่คนภายนอกไม่รู้จักมอบให้บุตรชายหรือหลานแล้วใช้สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณเลี้ยงออกมาเป็นคนโดยตรง แบบนี้ปู่หรือบิดาก็จะกลายเป็นทายาทของบุตรชายหรือหลานก็จะหมุนเวียนแทนที่แบบนี้ ดังนั้นคนของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยจะไม่น้อยลง และไม่เพิ่มขึ้น สามารถรักษาสายเลือดบริสุทธิ์ไว้ได้ตลอดมา”

จินเฟยเหยาตกตะลึงไปนานจึงฟังเข้าใจ คิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีเรื่องปาฏิหาริย์เช่นนี้ด้วย ครุ่นคิดดูแล้วรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง หวาซีถือเกิดจากอนุภรรยามิใช่หรือ?

“เจ้าบอกว่าหวาซีเกิดจากอนุภรรยามิใช่หรือ? ถ้าใช้สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณคืนชีพผู้อาวุโสโดยตรง หวาซีก็น่าจะเป็นผู้อาวุโสของตัวเขาเอง แล้วอนุภรรยามาจากที่ใด” จินเฟยเหยาถามอย่างไม่เข้าใจ

ผู้บำเพ็ญเซียนวัยกลางคนเอ่ยด้วยสีหน้าดูแคลน “เจ้าเห็นว่าทุกคนล้วนมีจิตใจบริสุทธิ์สะอาดไร้ปรารถนาหรือ พวกเขาเพียงรักษาสายโลหิตหลักไว้ก็พอ ปกติก็หาคู่บำเพ็ญและอนุภรรยา มีคนให้กำเนิดบุตรธิดา ในจำนวนนั้นย่อมมีผู้สืบทอดสายโลหิตซึ่งสามารถเรียกสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณที่มีคุณสมบัติผสมออกมาได้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง”

“ความหมายของเจ้าคือ ลูกของคนคฤหาสน์กุ่ยเม่ยที่เกิดกับคนนอกแซ่ซึ่งสามารถเรียกสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณออกมาได้ก็คือสิ่งที่เรียกว่าทายาทสายอนุภรรยา?” จินเฟยเหยาเอ่ยถามต่อ

“แน่นอน ลักษณะภายนอกของสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณที่คนสายเลือดบริสุทธิ์เรียกออกมาจะไม่เหมือนกับสายอนุภรรยา สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณของสายอนุภรรยาจะมีขนยาวสีดำ ส่วนสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณที่สายบริสุทธิ์เรียกออกมาจะเป็นสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณสีขาวหิมะ” ผู้บำเพ็ญเซียนวัยกลางคนเอ่ยต่อ ที่จริงสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความลับอะไร อย่างไรเสียคฤหาสน์กุ่ยเม่ยก็คงอยู่มาหลายพันหลายหมื่นปีแล้ว คนที่มีเส้นสายล้วนรู้ความเป็นมาของคฤหาสน์กุ่ยเม่ย

แต่จำกัดเพียงความรู้ผิวเผิน ถ้าเรื่องภายในมากกว่านี้ ก็มีเพียงคนของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยจึงรู้ได้ จินเฟยเหยาลูบศีรษะเอ่ยอย่างหงุดหงิด “ข้อมูลที่พวกเจ้ามอบให้ ทำให้คนอ่านแล้วอยากรู้เรื่องอื่นๆ ของคฤหาสน์กุ่ยเม่ย ไม่ได้รายงานเรื่องผจญภัยของบุคคลสำคัญอะไรเสียหน่อย ถ้าช้าไปหลายเดือนก็น่าจะหาจุดขาย บอกเพิ่มหน่อยได้หรือไม่ อย่าให้ข้ารู้เพียงผิวเผิน จะหงุดหงิดมาก”

“เรื่องนี้ข้าจะมีหนทางใด ข้าก็อยากรู้เรื่องของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยอย่างยิ่งเช่นกัน ถ้าเจ้าได้รับข้อมูลอะไร ข้าสามารถซื้อในราคาสูงได้” ผู้บำเพ็ญเซียนวัยกลางคนเอ่ยตอบเช่นนี้ ทำให้จินเฟยเหยารู้สึกจนใจ

ท่าทางพวกเขาคงมีเพียงข้อมูลนี้จริงๆ แต่อ่านแล้วทำให้คนรู้นิดๆ หน่อยๆ นางขจัดคำว่าเพราะเหตุใดจำนวนมากออกไปจากในสมองไม่ได้ ราวกับมีแมลงวันหลายตัวทำเสียงหึ่งๆ อยู่เหนือศีรษะตลอดเวลา จินเฟยเหยาถือข้อมูลที่ดึงดูดใจ เดินไปตามถนนของเกาะซ่างเซียน เข้าไปในร้านหลอมอาวุธแห่งหนึ่งนำเตาหลอมยาที่ได้จากพานหยวนออกมา

เตาหลอมยาใบนี้ เนื่องจากมีการรับรู้ของพานหยวน ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงใช้การรับรู้ควบคุมไม่ได้ ปีที่แล้ว หาร้านหลอมอาวุธได้จึงลบการรับรู้ทิ้ง ถือว่านางโชคดี ก่อนมอบเตาหลอมยาให้ร้านหลอมอาวุธ จินเฟยเหยาตรวจสอบเตาหลอมยาดูอีกครั้ง เพ้อฝันว่าจะหาเศษซากของยาปราณฟ้าดินห้าธาตุพบ เพิ่มโอกาสในการเจี๋ยตันได้นิดหนึ่งก็ถือว่านิดหนึ่ง ต่อให้เป็นเศษยาเล็กน้อยก็ยังดีกว่าไม่มี

เรื่องที่คิดไม่ถึงคือนางค้นพบตำรับยาปราณฟ้าดินห้าธาตุที่ก้นของเตาหลอมยา ตำรับยาสลักอยู่ตรงก้นเตา ปกติตอนเพิ่งหลอมสิ่งของเสร็จไม่มีใครทำเรื่องเช่นนี้ น่าจะมีคนสลักลงไปภายหลัง

ยาปราณฟ้าดินห้าธาตุสามารถเพิ่มโอกาสเจี๋ยตันได้ ทว่าเตาหลอมยาใบนี้กลับเป็นของวิเศษที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ใช้ได้ ต่อไปก็ไม่ต้องเปลี่ยนเตาหลอมยาอีก ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ไม่มีเวลาว่างขนาดจะไปบันทึกตำรับยาปราณฟ้าดินห้าธาตุที่ไร้ประโยชน์สำหรับเขาไว้บนนั้น จะใช่สิ่งที่พานหยวนทำไว้ตอนเจี๋ยตันหรือไม่?

ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไร อย่างไรเสียจินเฟยเหยาก็ได้ตำรับยาปราณฟ้าดินห้าธาตุมาแล้ว นางคัดลอกทั้งหมดไว้โดยไม่ให้ตกหล่นสักตัว นางจึงมอบเตาหลอมยาให้คนของร้านหลอมอาวุธ เรื่องบนเตาหลอมยามีตำรับยาปราณฟ้าดินห้าธาตุต้องถูกคนที่ขจัดการรับรู้พบเห็นแน่ แต่เป็นเรื่องที่อับจนปัญญา

อีกอย่างหนึ่งต่อให้มีตำรับยาปราณฟ้าดินห้าธาตุ แต่ไม่มีวัตถุดิบ ถึงได้ตำรับยาไปก็ไร้ประโยชน์ สิ่งของแบบนี้อยากดูก็ดูไปเถอะ อย่างไรเสียตนเองก็บันทึกไว้แล้ว ผู้อื่นจดไปก็ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อตนเอง

หลายวันก่อนหน้านี้มีนกถ่ายทอดเสียงของร้านหลอมอาวุธมาแจ้งนางว่าลบการรับรู้ของเตาหลอมยาและหลอมในไฟใหม่แล้ว สามารถมารับสิ่งของได้ ทว่าจินเฟยเหยาคิดจะรอตอนแวะไปเกาะซ่างเซียนตั้งแผงแบกะดินค่อยไปเอาเตาหลอมยามาที่นี่ ดังนั้นจึงไม่ได้ไปมาตลอด ตอนนี้จึงเพิ่งแวะไปเอากลับมาพอดี

เตาหลอมยาที่หลอมขึ้นใหม่ สามารถใช้การรับรู้ควบคุมขนาดได้ ตอนนี้จึงหดเล็กลงเท่าฝ่ามือ ตั้งไว้บนมือจินเฟยเหยาได้ นางนั่งเล่นอยู่บนทุ่งหญ้าของเกาะเสี่ยวสือครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงเก็บเตาหลอมยาลงในถุงเฉียนคุน

ยังไม่มีข่าวคราวของหวาซีดังเดิม ใช้เวลาห้าปีได้มาเพียงข่าวสารเล็กน้อย หวนนึกถึงเนื้อหาในข้อมูล จินเฟยเหยาเหล่ตามองเนี่ยนซีที่อยู่ไกลๆ ใช้สายตามองพินิจนางขึ้นลงไม่หยุด

สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณสามารถคืนชีพคนที่ตายไปแล้วได้ เช่นนั้นเนี่ยนซีในตอนนี้เป็นใครกันแน่? เป็นมารดาหรือย่าของหวาซี? เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นสตรีที่รัก และเป็นไปได้ว่าอาจจะคืนชีพคนนอกที่สำคัญ

นึกถึงว่าเนี่ยนซีอาจจะเป็นผู้อาวุโสซึ่งเป็นลูกสาวของหวาซี จินเฟยเหยาก็รู้สึกปวดตับ ตระกูลวิปริตแบบนี้ คิดไม่ถึงว่าจะอยู่มานานขนาดนี้ หาได้ยากจริงๆ

ในเมื่อไม่มีข่าวของหวาซี จินเฟยเหยาก็ล้มเลิกแผนการส่งคนไปให้ถึงคฤหาสน์กุ่ยเม่ย จากสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณที่มีขนยาวสีดำของหวาซี ก็รู้ว่าเขาเป็นเพียงบุตรหลานสายอนุภรรยา และไม่รู้ฐานะเดิมของเนี่ยนซี ถ้าส่งไปหาถึงที่ แล้วคนเหล่านั้นพาเนี่ยนซีไป แต่ไม่จ่ายค่าตอบแทนที่เลี้ยงนางมาหลายปีจะทำอย่างไร

ยังมีต่อให้จินเฟยเหยามีเพียงศิลาวิญญาณชั้นล่างและไม่มีศิลาวิญญาณชั้นกลาง ซื้อสิ่งของหลายอย่างไม่ได้ นางอยู่มาหลายปีขนาดนี้ ก็รู้ว่าจะหาศิลาวิญญาณชั้นกลางได้อย่างไร ส่วนมากล้วนได้มาจากการขายตานสัตว์ปิศาจชั้นสูงและพืชวิญญาณ ถ้าอยากมีศิลาวิญญาณชั้นกลางใช้ จินเฟยเหยาต้องไปล่าเอาตานสัตว์ปิศาจจึงจะได้

ถ้าเป็นแบบนั้นจินเฟยเหยาก็ต้องหลอมสร้างอาวุธเวทแก่นชีวิต การไม่มีอาวุธเวทแก่นชีวิตก็คือมีอาวุธทรงประสิทธิภาพที่สามารถปกป้องตนเองได้น้อยกว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานคนอื่นๆ หนึ่งส่วน

จินเฟยเหยาไล่พวกว่างงานอย่างพั่งจื่อออกนอกห้องหลอมอาวุธ หลังจากสั่งกำชับพวกมันไม่ให้มารบกวนตนเอง ก็ปิดประตูศิลาของห้องหลอมอาวุธ เริ่มหลอมสร้างอาวุธเวทแก่นชีวิตของนาง

จินเฟยเหยานำศิลาน้ำแข็งขนาดเท่ากำปั้นสองก้อนออกมาวางลงเบื้องหน้าตนเองก่อน ใส่ตานสัตว์ปิศาจลงในอาวุธเวทแก่นชีวิตเป็นดีที่สุด ทว่านางไม่มีศิลาวิญญาณชั้นกลางเหลือมากพอจะซื้อตานสัตว์ปิศาจขั้นสูง ในมรดกของพานหยวนก็ไม่มีตานสัตว์ปิศาจขั้นสูงแบบนี้

ที่จริงจินเฟยเหยาทำความเข้าใจกับสิ่งของในถุงเฉียนคุนสองใบของพานหยวนนานแล้ว ทั้งหมดเป็นสิ่งของมูลค่าปานกลาง เหมือนกับเป็นสิ่งของจิปาถะที่วางทิ้งไว้ไม่ได้ใช้ จะขายก็ขายยาก จะใช้ก็ไม่มีที่ให้ใช้งาน จะทิ้งก็สิ้นเปลือง ได้แต่วางไว้แบบนั้น

ตอนนี้นางมีเพียงตานสัตว์ปิศาจขั้นสี่ไม่กี่เม็ด ตานสัตว์ปิศาจเหล่านี้มีระดับต่ำเกินไป ต่ำเกินกว่าจะใช้หลอมสร้างอาวุธเวทแก่นชีวิตจริงๆ จินเฟยเหยาเตรียมไม่ใส่ตานสัตว์ปิศาจชั่วคราว รอหลังจากตนเองหาศิลาวิญญาณชั้นกลางได้ ต่อไปต้องหาตานสัตว์ปิศาจระดับสูงพบค่อยหลอมใส่ในอาวุธเวทแก่นชีวิต

ตานสัตว์ปิศาจที่จินเฟยเหยาคิดไว้ในใจ อย่างต่ำต้องเป็นตานสัตว์ปิศาจขั้นเจ็ด สัตว์ปิศาจเช่นนี้มีการรับรู้แล้ว ส่วนมากล้วนเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ อยากได้ตานสัตว์ปิศาจพร้อมใช้งานเม็ดหนึ่ง ต้องแล้วแต่โชคชะตาไม่อาจบังคับแข็งขืน แต่นางคิดว่ายอมขาดดีกว่าได้ของไม่มีคุณภาพ ตอนนี้ใช้เพียงศิลาน้ำแข็งล้วนๆ หลอมสร้างอาวุธเวทแก่นชีวิต จะไม่เติมสิ่งที่ไม่จำเป็นลงไปในนั้นเด็ดขาด