มุมมองของผู้หญิงกับผู้ชายที่มีต่อปัญหานั้นไม่เหมือนกัน
เสี่ยวเชี่ยนแค่ดูก็รู้ว่า เพื่อนผู้หญิงคนนี้คิดไม่ซื่อกับเสี่ยวเฉียงของเธอ แต่คู่หมั้นจอมซื่อบื้อกลับรู้สึกแค่ดีใจที่ได้เจอเพื่อนเก่า
ยังดีที่เขาไม่ได้เสนอไว้กินข้าวกันอะไรแนวๆนั้น ถ้าเขาพูดขึ้นมา เสี่ยวเชี่ยนจะเอาแตงโมทุบหัวเขา
แต่ถึงจะเป็นแบบนี้เธอก็ยังไม่พอใจเขาอยู่ดี
ตลอดทางอวี๋หมิงหลางพยายามชวนเธอคุย เสี่ยวเชี่ยนเอาแค่ทำหน้าเชิ่ดไม่ยอมคุยด้วย เขาจึงได้แต่เดาความคิดเธอ เพราะอะไรนะทำไมเสียวเหม่ยถึงดูอารมณ์เสีย?
บ้านหลังนี้ของเสี่ยวเชี่ยนอยู่ไม่ไกลจากสถานีวิทยุโทรทัศน์ จัดเป็นคอนโดตึกสูงที่หาได้ยาก ผู้อาศัยส่วนใหญ่เป็นชนชั้นระดับกลาง สภาพแวดล้อมค่อนข้างดี มีที่จอดรถชั้นใต้ดิน เข้าออกต้องใช้คีย์การ์ด ดังนั้นเธอถึงได้กล้าทำงานที่เลิกดึกแบบนี้ แต่พออวี๋หมิงหลางมาเขาก็ได้สำรวจรอบทิศ เป็นความเคยชินจากหน้าที่การงาน เพื่อหาดูว่ามีปัจจัยที่ไม่ปลอดภัยหรือไม่
ตอนนี้ในบ้านเหลือแค่เสี่ยวเชี่ยนคนเดียว อีกห้องว่างอยู่ เสี่ยวเชี่ยนพอกลับถึงบ้านก็เปลี่ยนไปใส่รองเท้าแตะ แขวนกระเป๋าไว้ที่ตู้ ไม่มองหน้าอวี๋หมิงหลางแม้แต่น้อย เดินตรงไปที่ห้องน้ำ อวี๋หมิงหลางดึงตัวเธอกลับมาแล้วมองเธอด้วยสายตาหม่นๆ
“คุณโกรธ”
“เปล่า”
เวลาที่ผู้หญิงพูดว่าเปล่าความหมายที่แฝงอยู่ก็คือ ใช่ โกรธจนจะบ้าอยู่แล้ว แต่ไม่ยอมรับจะทำไมล่ะ
“เพราะแตงโม? งั้นเดี๋ยวผมไปซื้อที่อื่นให้” อวี๋หมิงหลางนั่งคิดมาตลอดทางก็ยังคิดไม่ออก
เสี่ยวเชี่ยนฟังเขาที่ยังกล้าพูดเรื่องแตงโม จึงเอื้อมมือไปผลักตัวเขาออก “ออกไปเลยนะ”
“ผมไม่ออก นี่เป็นบ้านเมียผม ทำไมผมต้องออกไปด้วย?”
มีสิทธิ์อะไร ไม่เจอกันตั้งนาน ไม่ให้เขา ‘เข้าไป’ ก็ช่าง นี่ยังจะให้เขาออกไปอีก?
“ไปหาผู้หญิงที่ตอนดึกใส่ชุดนอนแล้วยังแต่งหน้าคนนั้น น่าสงสัยว่าเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำหรือเปล่า ไปกินแตงโมด้วยกันเลยไป ไปนั่งรำลึกความหลังด้วยกัน ฉันใจแคบมีที่ไม่พอให้ผู้ชายจิตใจดีเลี้ยงแตงโมเพื่อนสาวอย่างนายอยู่หรอก จริงสิ พรุ่งนี้นายจะไปตีเทนนิสกับเขาก็ได้นะ เล่นกันเก่งไม่ใช่เหรอ? อีกทั้งยังเคยโดดเรียนไปด้วยกัน พวกนายให้การสนับสนุนอุปกรณ์กีฬาของประเทศขนาดนี้ ไม่ไปวางแผนมีลูกด้วยกันเลยเล่า”
อวี๋หมิงหลางใช้เวลาสามวินาทีวิเคราะห์กลิ่นดินระเบิดจากเสี่ยวเชี่ยน สุดท้ายจึงได้ข้อสรุป เขาถอยไปเงียบๆหนึ่งก้าว แล้วมองเสี่ยวเชี่ยนจากบนลงล่าง
“เสียวเหม่ย ประจำเดือนมาก่อนกำหนดเหรอ?”
ประจำเดือนเธอมาเมื่อไรเขาจำได้หมด ถึงจะยังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือนกว่า แต่ก็ตัดความเป็นไปได้ที่ประจำเดือนจะมาผิดพลาดทิ้งไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคู่หมั้นที่สุขุมเยือกเย็นมาตลอดของเขาทำไมอยู่ๆก็พูดจาไร้ตรรกะได้มากมายขนาดนี้?
อุปกรณ์กีฬา วางแผนมีลูก มีอะไรเกี่ยวข้องกัน?
“อะไรของปู่วะแม่ง ออกไป” เสี่ยวเชี่ยนโมโหเขาสุดๆ
“ปู่อายุแปดสิบกว่าแล้วปล่อยท่านไปเถอะนะ”
อวี๋หมิงหลางรับของตกแต่งบ้านที่เธอโยนมาแบบฉิวเฉียด เห็นแล้วก็ใจหายวาบ
“จอมทำลายข้าวของ นี่มันหยกเลยนะ น้าผมให้แต่ของดีๆมาทั้งนั้น ถ้าแตกไปจะทำไง”
ของตกแต่งใหญ่ขนาดนี้แพงมากเลยนะ น้าฉีเยี่ยให้มา
เสี่ยวเชี่ยนไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย ข้างมือมีอะไรเธอก็ปาอันนั้น อวี๋หมิงหลางมือซ้ายรับหยกผักกาดขาว มือขวารับถ้วยรางวัลของเธอแบบฉิวเฉียด ปากก็ยังคาบชุดนอนผ้าไหมสไตล์ผ้ากันเปื้อน—โอ่ยเสียวเหม่ย ชุดแบบนี้ทำไมเอามาวางแบบนี้ ถูกคนอื่นเห็นเข้ามันจะไม่ดีนะ
ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนยกรูปปั้นสไตล์ยุคหลังที่ทำจากทองแดง อวี๋หมิงหลางทนไม่ไหวแล้ว
เขาคายชุดผ้าไหมทิ้ง แล้วรีบทำท่ายอมแพ้
“แม่จ๋า เล่นอย่างอื่นเถอะนะ อันนั้นอย่าเขวี้ยงเลยจ้าแม่”
ของหนักขนาดนั้นถ้าเธอโยนไม่โดนเขาแล้วหล่นทับเท้าเธอจะทำไง
เสี่ยวเชี่ยนเห็นท่าทางของเขาก็ทั้งโกรธทั้งขำ
ความหึงหวงที่แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเมื่อครู่ลดลงไปไม่น้อยแล้ว เธอรู้ว่าอวี๋หมิงหลางไม่ได้คิดไปทางนั้น เขาเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างยึดตึดกับเรื่องความสัมพันธ์ ไม่มีทางมีอดีตที่เกินเลยกับผู้หญิงที่น่าสงสัยว่าเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำเสพติดการแต่งหน้าแบบนั้นแน่
ด้วยนิสัยแบบเขาที่ถ้าถูกใจอะไรก็ต้องครอบครองให้ได้ ถ้าสมัยมอปลายชอบก็คงจีบไปนานแล้ว ไม่มีทางขาดการติดต่อไปหลายปี แล้วนับประสาอะไรกับการที่เพิ่งเจอกันแล้วอวี๋หมิงหลางไม่ได้แสดงท่าทางพิเศษเลยสักนิด ก็แค่เป็นท่าทางของคนปกติเวลาเจอเพื่อนเก่า
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเสี่ยวเชี่ยนก็ยังหงุดหงิด
พอเธอนึกว่าช่วงหลายปีนั้นตอนที่เธอยังไม่ปรากฏตัว หมาฮัสกี้หน้าหนาตัวนี้โดดเรียนไปตีเทนนิสกับสาวแล้วเธอก็หมดความอดทน
“เสียวเหม่ย คุณไม่ชอบเสียวอวี่ใช่ไหม?”
“ไม่ชอบ”
“นิสัยเขาก็เหมือนผู้ชายนะ ตัวเขาเองก็บอกว่าตัวเองดูห้าวแต่ในใจไม่ได้คิดร้ายกับใคร ตอนเรียนก็แบบนั้น พวกคุณมีเรื่องขัดแย้งกันในที่ทำงานเหรอ?”
“ฉันกับเขาไม่ได้ขัดแย้งกัน แต่ตอนนี้ฉันสงสัยว่านายกับเขาขัดแย้งกันในอดีตหรือว่ามีความคิดที่ขัดแย้งกันเรื่องอนาคต? อวี๋หมิงหลางตานายมีปัญหาหรือเปล่า เขาแต่งหน้าหนาเหมือนคนเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำขนาดนั้นนายยังกล้าชมเขาว่าใสซื่อไม่เสแสร้งอีกเหรอ? นายรู้ไหมว่าคนแบบไหนถึงเป็นโรคนี้? เขาบอกว่าตัวเองดูห้าวนายก็เลยถูกเขาล้างสมองงั้นสิ?”
ผู้ชายของจิตแพทย์ถูกคนอื่นล้างสมองแบบนี้มันยอมไม่ได้ ต้องคิดหาวิธีล้างคืน
“เสียวเหม่ย คุณเรียนหนักทำงานหนักไปหรือเปล่า? ทำไมในสายตาคุณทุกคนผิดปกติทางจิตหมดเลยล่ะ?”
อวี๋หมิงหลางไม่ได้มีเจตนาร้าย เขาก็แค่คิดว่าเสี่ยวเชี่ยนคิดเยอะไปหน่อย
“นายสงสัยในความสามารถฉันเหรอ? นายเคยเห็นใครดึกดื่นขนาดนี้ใส่ชุดนอนแต่งหน้าลงมาซื้อของบ้าง?”
ในสายตาของผู้ชายผู้หญิงที่งดงามใสซื่ออาจดูดัดจริตในสายตาของผู้หญิง ขนาดแต่งหน้ามาเห็นๆก็ยังรู้สึกว่าเป็นความงดงามอันบริสุทธิ์
“เขาแต่งหน้าด้วยเหรอ? พอคุณพูดแบบนี้ผมก็เพิ่งเอะใจนะ เขาไม่ค่อยเหมือนกับตอนเรียนจริงๆ แต่ผู้หญิงหลังเลิกงานก็อาจมีงานเลี้ยงสังสรรค์บ้างเลยขี้เกียจล้างเครื่องสำอางหรือเปล่า? แต่เมียผมนี่ดีจริงๆ งานไม่เป็นทางการก็ไม่แต่งหน้า”
ในใจของเสี่ยวเชี่ยนเขียนตัวโตๆว่า เหอๆ จะไม่แต่งหน้าได้ไง? เธอไม่ชอบแต่งหน้า แต่บางโอกาสที่ไปเจอคนไข้ที่สำคัญๆเธอแต่งหน้าอ่อนๆไปเพื่อให้เกียรติอีกฝ่าย เธอแต่งหน้าเบาๆแบบคนทำงาน คนละเรื่องกับยัยเสียวอวี่เมื่อกี้เลย
เธอไม่แก้คำพูดของอวี๋หมิงหลาง แต่ลากกลับเข้าเรื่องสำคัญ
“เนื้อตัวมีกลิ่นหอมของครีมอาบน้ำ ผมก็หมาดๆ รู้ได้เลยว่าเขากลับบ้านอาบน้ำใส่ชุดนอนแล้ว แต่กลับอยู่ๆก็อยากกินผลไม้เลยลงมาซื้อ ขนาดแค่ไม่กี่นาทีเขายังลงรองพื้น ลงคอนซีลเลอร์กลบ ทาอายแชร์โดวปัดเป็นประกายวิ้งๆ ปะแป้งบล็อคเครื่องสำอาง ขนตาปลอมยังติด ไอน์ไลเนอร์ก็เขียน ทาปากสีอ่อน แต่ฉันสงสัยว่าเดิมสีปากเขาเข้ม เลยลงรองพื้นปากก่อนแล้วค่อยทาลิปสติกสีอ่อน ไหนยังจะปัดแก้ม แต่งหมดนี่ต่อให้มือโปรแค่ไหนก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบกว่านาที เพื่อมาซื้อของแค่นี้เขากลับลงทุนแต่งหน้า นายบอกฉันซิ ว่านี่คือสาวน้อยบริสุทธิ์เสแสร้งไม่เป็นจริงเหรอ? ถ้าเขาไม่ได้เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำเสพติดการแต่งหน้าล่ะก็ ฉันยกใบอนุญาตให้นายไปเลย”
ฟังนักสืบเชอร์ล็อคเสี่ยวเชี่ยนพูดออกมาเยอะแยะ อวี๋หมิงหลางถึงกับแน่นิ่ง