ตอนที่ 129 นามแฝงอักษรตัวเดียว หยาง

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

หากมองจากมุมของพ่อบ้านเฉิง ฉินหร่านยังเป็นแค่เด็กมัธยมปลายคนหนึ่ง

 

 

คดีที่ผู้บัญชาการเฉียนกับพวกเฉิงมู่กำลังทำเป็นคดีใหญ่ ให้เด็กมัธยมปลายคนหนึ่งเข้ามาข้องเกี่ยวดูเป็นเรื่องเด็กเล่นเกินไปหน่อย

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเลิกคิ้วแล้วยิ้ม “ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ฉินเสี่ยวหร่านเก่งมาก คุณอย่ากังวลไปเลย”

 

 

เขาเคยลองพูดอ้อมๆ กับผู้บัญชาการเฉียนหลายครั้ง หลอกถามตัวตนที่แท้จริงของฉินหร่านไม่ได้ แต่ก็พอจะล้วงข้อมูลได้บ้างเหมือนกัน

 

 

เดินลงไปตามแนวบันได

 

 

พ่อบ้านเฉิงตามหลังลู่จ้าวอิ่งด้วยความกังวลนิดหน่อย

 

 

อย่างไรเสียในใจเขาก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี รู้สึกว่าลู่จ้าวอิ่งตามใจฉินหร่านเกินไปหน่อยหรือเปล่า

 

 

เด็กมัธยมปลายคนหนึ่ง ต่อให้เก่งแต่จะเก่งสักแค่ไหนเชียว

 

 

“ใกล้แล้ว” ฉินหร่านกดปุ่ม Enter ทีหนึ่ง หันหน้าเล็กน้อยมาพูดกับผู้บัญชาการเฉียนว่า “เดี๋ยวให้เจ้าหน้าที่ไอทีในทีมของคุณ…”

 

 

พ่อบ้านเฉิงตามหลังลู่จ้าวอิ่งได้ยินเสียงของฉินหร่าน ระหว่างนี้ยังมีศัพท์เฉพาะหลายตัวสอดแทรกอยู่ด้วย

 

 

ผู้บัญชาการเฉียนกับพวกเฉิงมู่ต่างก็ตั้งใจฟังอย่างยิ่ง

 

 

เฉิงมู่เห็นฉินหร่านวางโน้ตบุ๊กลงแล้ว จึงเดินไปอีกทางเพื่อชงชาแก้วใหม่ให้ฉินหร่าน

 

 

วางลงตรงหน้าฉินหร่าน ท่าทางดูสุภาพมีมารยาทยิ่งนัก

 

 

มือหนึ่งของฉินหร่านเคาะแป้นพิมพ์ อีกมือยกถ้วยชาขึ้นจิบคำหนึ่ง ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้น น้ำเสียงยานคาง “เฉิงมู่ นายขึ้นไปที่ห้องนอนแขกชั้นบน หยิบมือถือเครื่องหนึ่งบนโต๊ะมาให้ฉันหน่อย”

 

 

เฉิงมู่พยักหน้า ไม่ลังเลเลยแม้แต่นิด “ได้ครับ”

 

 

เขาหันไปถามพ่อบ้านเฉิงว่าอยู่ในห้องนอนแขกห้องไหนแล้วขึ้นไปอย่างพินอบพิเทา

 

 

คราวนี้พ่อบ้านเฉิงตะลึงงันแล้ว

 

 

เขารู้จักเฉิงมู่ดี เป็นผู้ช่วยมือดีที่มักจะติดสอยห้อยตามคอยทำธุระให้เฉิงเจวี้ยน เพราะอยู่กับเฉิงเจวี้ยนตั้งแต่เด็ก ปกติแล้วจะเชื่อฟังแค่เฉิงเจวี้ยน

 

 

คนอื่นๆ ในสกุลเฉิงไม่มีใครเรียกใช้คนของเฉิงเจวี้ยนได้เลย รวมถึงท่านเฉิงด้วย

 

 

ตอนนี้เฉิงมู่กลับเชื่อฟังคุณหนูฉินท่านนี้ขนาดนี้

 

 

พอผู้บัญชาการเฉียนกับผู้บัญชาการห่าวกลับไปแล้ว พ่อบ้านเฉิงเพิ่งสังเกตเห็นปัญหาหนึ่ง สรุปก็คือพวกผู้บัญชาการเฉียนไม่ได้มาหาลู่จ้าวอิ่ง แต่ตั้งใจมาหาฉินหร่านงั้นเหรอ

 

 

ในใจพ่อบ้านเฉิงมีข้อกังขามากมาย แต่ทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ทำได้แค่เก็บไว้ในใจ หงุดหงิดงุ่นง่าน ราวกับมีอุ้งมือแมวกำลังตะกุย

 

 

 

 

งานของเฉิงมู่เสร็จแล้วจึงไม่ได้ออกไปพร้อมกับพวกผู้บัญชาการเฉียน

 

 

ลู่จ้าวอิ่งถือโน้ตบุ๊กลงมาเล่นเกม นึกถึงเรื่องของหยางเฟย เลยบ่นเรื่องที่ฉินหร่านไม่รู้จักแม้แต่หยางเฟยกับเฉิงมู่

 

 

“ฉินเสี่ยวหร่าน เธอเข้าเกม ฉันจะพาเธอโลดแล่นสักตา” ลู่จ้าวอิ่งกดล็อกอิน

 

 

ฉินหร่านเอนตัวอยู่บนโซฟา ตามองมือถือ ไม่เงยหน้าด้วยซ้ำ “ไม่มีไอดีแรงก์ปรมาจารย์”

 

 

เฉิงเจวี้ยนลงมาจากชั้นบน ในห้องโถงเปิดเครื่องปรับอากาศ จึงไม่หนาวมากนัก เขาถอดเสื้อโค้ตแล้วสวมแค่เสื้อเชิ้ตสีดำ

 

 

พับแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นท่อนข้อมือแกร่ง

 

 

“ฉันนึกออกแล้ว” ลู่จ้าวอิ่งจ้องเฉิงเจวี้ยนพลางลูบคาง “หมอนั่นมี”

 

 

เขาชี้ไปทางเฉิงเจวี้ยนยิ้มๆ

 

 

จากนั้นก้มหน้าพูดกับฉินหร่านว่า “เมื่อก่อนไอดีนั่นเป็นภรรยาของคุณชายเฉิง การ์ดพรีเมียมเพียบ แถมยังมีการ์ดระดับอัลฟ่าหายากด้วยนะ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะไม่เล่นแล้ว แต่ก็ไม่มีใครยืมได้ แต่ถ้าเธอจะยืม เขาต้องให้แน่”

 

 

ฉินหร่านรู้สึกแปลกใจ เธอเอียงหัวน้อยๆ “ท่านเจวี้ยนก็เล่นเกมด้วยเหรอ”

 

 

ดูจากท่าทางเขาแล้ว ไม่เหมือนเลย

 

 

“แหงอยู่แล้ว เกมท่องยุทธภพเมื่อสามปีก่อนฮิตกว่าตอนนี้อีก เขาเป็นคนที่ใช้เวลากับเกมเยอะที่สุดคนหนึ่ง ทีม OST เคยชวนเขาด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะ..” พูดถึงตรงนี้ คำพูดของลู่จ้าวอิ่งก็หยุดลง “ท่านเจวี้ยน ไอดีนายล่ะ”

 

 

เฉิงเจวี้ยนนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้าม มือหยิบถ้วยชา ดวงตาดำสนิทมองฉินหร่าน “เธอจะเล่นเกมเหรอ”

 

 

“ใช่แล้ว” ตอนแรกฉินหร่านไม่ค่อยอยากเล่นมากนัก แต่ถูกลู่จ้าวอิ่งกระตุ้นความสงสัย “แรงก์สูงสุดของนายคืออะไร”

 

 

เกมอย่างเกมท่องยุทธภพเป็นอย่างนี้ มีฟังก์ชันปิดคะแนนความนิยมอยู่ ขอแค่เฉิงเจวี้ยนเคยไต่ถึงแรงก์ปรมาจารย์หรือสูงกว่าปรมาจารย์ ต่อให้ตกลงมา ก็สามารถจับคู่กับลู่จ้าวอิ่งได้

 

 

“จักรพรรดิมั้ง ลืมไปแล้ว เธอลองดูเอง” เฉิงเจวี้ยนหาว ท่าทางดูไม่ค่อยมีอารมณ์มากนัก

 

 

เขาแจ้งตัวอักษรภาษาอังกฤษกับรหัสเป็นพรวนออกมาช้าๆ

 

 

พ่อบ้านเฉิงหยิบกระดาษกับปากกาออกมาช่วยจดให้ฉินหร่าน เมื่อเขาได้ปากกากับกระดาษมาหาฉินหร่าน

 

 

กลับพบว่าฉินหร่านความจำดีเยี่ยม แค่รอบเดียวก็จำได้แล้ว

 

 

กดปุ่ม Enter…

 

 

ฉินหร่านถึงได้เห็นคำศัพท์ที่สะกดจากตัวอักษรภาษาอังกฤษทั้งหมด…

 

 

lonely—hawk001

 

 

มือของฉินหร่านชะงัก

 

 

คืนนี้ฉินหร่านไม่ค่อยเล่นเกมเท่าใดนัก ใช้มือซ้ายบังคับตัวละครตามหลังลู่จ้าวอิ่งอย่างเชื่องช้า

 

 

ทุกครั้งที่ลู่จ้าวอิ่งใกล้ตาย ฉินหร่านก็จะเติมเลือดไม่ก็ปล่อยท่าไม้ตายช่วยชีวิต

 

 

“ฉินเสี่ยวหร่านทักษะของเธอใช้ได้นี่นา ตอบสนองเร็วสุดๆ เหมือนกัน” ครั้งหรือสองครั้งพูดว่าโชคดีได้ แต่นับครั้งไม่ถ้วนจนลู่จ้าวอิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากล เขาหันหน้ามองฉินหร่าน น้ำเสียงฟังดูเสียดายมากทีเดียว “มีก็แต่ APM นี่แหละ ถ้าเธอเร็วได้ครึ่งของเมิ่งซินหรานก็คงดี”

 

 

ฉินหร่านมองเขาแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร

 

 

 

 

วันจันทร์

 

 

ในที่สุดนักเรียนใหม่ที่ห้องเก้ารอคอยนานเนิ่นนานก็มาสักที

 

 

พวกเฉียวเซิงลอดผ่านหน้าต่าง เห็นเมิ่งซินหรานตามหลังเกาหยาง เธอไม่ได้ใส่ยูนิฟอร์ม หน้าตาสะสวย มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพียงแต่ใบหน้าที่เจือความเย่อหยิ่งเล็กน้อย

 

 

ความหยิ่งยโสแบบนี้แตกต่างกับความถือตัวที่มีแต่กำเนิดของสวีเหยากวง

 

 

และไม่เหมือนความไม่แยแสเป็นตัวเองที่เจือบนใบหน้าฉินหร่านเช่นกัน

 

 

แต่มันแฝงความหัวสูงยโสโอหังอยู่

 

 

ทำให้คนรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย

 

 

“เมิ่งซินหราน เธอนั่งกับเซี่ยเฟยก็แล้วกัน” เกาหยางให้เพื่อนร่วมโต๊ะของเซี่ยเฟยย้ายไปข้างหลัง

 

 

เซี่ยเฟยเป็นคนที่ซื่อตรงที่สุดในห้อง มนุษยสัมพันธ์ก็ค่อนข้างดี

 

 

ผู้อำนวยการติงบอกว่าเมิ่งซินหรานคนนี้ไม่ธรรมดา เกาหยางก็กังวลใจอยู่เหมือนกัน

 

 

คนดังอย่างเฉียวเซิง สวีเหยากวงกับฉินหร่านสามคนนี้ยังไม่พอ มีเมิ่งซินหรานเพิ่มมาอีกคน องค์ประกอบของห้องเก้าซับซ้อนเหลือเกิน

 

 

เซี่ยเฟยแค่รู้สึกว่าเสื้อผ้าบนตัวเมิ่งซินหรานสวยหรูเกินไป ท่าทางระแวดระวังไม่กล้าแตะต้อง เธอเลยแค่ทักทายเมิ่งซินหราน

 

 

เมิ่งซินหรานพยักหน้า ไม่พูดอะไร

 

 

พอหมดคาบ นักเรียนคนอื่นก็เริ่มมีคนดูนักเรียนใหม่ตรงทางเดินแล้ว

 

 

มีคนแบบนี้อยู่ทั้งประตูหน้าห้องหลังห้องของห้องเก้า

 

 

“ได้ยินว่าเป็นเมิ่งซินหราน สมาชิกทีม OST คนนั้น”

 

 

“ก็ใช่น่ะสิ เป็นเธอจริงๆ เคยแข่งโปรลีกครั้งหนึ่ง ฉันจำหน้าของเธอได้!”

 

 

แต่เมิ่งซินหรานเข้าใกล้ไม่ง่ายเท่าใดนัก

 

 

หยิ่งและเย็นชามากทีเดียว

 

 

เฉียวเซิงนั่งอยู่ข้างหลัง มือลูบคาง เขาจ้องเมิ่งซินหราน ในใจเกิดความรู้สึกประหลาดบางอย่าง

 

 

รู้สึกบางมุมของเมิ่งซินหรานคล้ายฉินหร่านมาก

 

 

โดยเฉพาะท่าทางที่ไม่คลุกคลีกับคนอื่น

 

 

แต่ฉินหร่านกับเมิ่งซินหราน ก็คือความแตกต่างระหว่างของแท้กับของปลอม

 

 

แต่ออร่า ‘อย่ามายุ่งกับฉัน’ ของฉินหร่านกับออร่า ‘ไม่คลุกคลีกับคนอื่น’ ของเมิ่งซินหรานแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

 

ตอนแรกเขาคาดหวังรอคอยสมาชิกคนนี้มากที่สุด แต่พอเธอมา เขากลับไม่ค่อยอยากเข้าใกล้มากนัก

 

 

ขณะที่คิดเฉียวเซิงก็เหลือบมองไปทางฉินหร่าน บนหัวเธอมีเสื้อกันหนาวคลุมอยู่ กำลังฟุบอยู่บนโต๊ะ แค่ภาพข้างหลัง ก็ทำให้คนรู้สึกว่ารับมือยากยิ่งนักแล้ว

 

 

 

 

“คุณเมิ่ง ตัวจริงเทพพระอาทิตย์เป็นยังไงเหรอ” ผู้ชายโต๊ะข้างหลังหันหลังมา มองเมิ่งซิ่นหรานด้วยความตื่นเต้น “ในอวิ๋นกวงดีมากใช่ไหม เธอเคยไปที่ตึกของอวิ๋นกวงกรุ๊ปหรือเปล่า”

 

 

เมิ่งซินหรานก้มหน้าพลิกดูหนังสือ “งั้นๆ”

 

 

“แล้วเธอมีบัตรเข้าชมการแข่งขันของพวกเทพพระอาทิตย์ไหม” ผู้ชายคนนั้นเกาหัว

 

 

เมิ่งซินหรานไม่ได้ปฏิเสธตรงๆ เพียงแค่ยิ้มส่งๆ “คืนนี้ฉันจะถามหยางเฟยดูว่ายังมีบัตรเหลือหรือเปล่า”

 

 

“โอ้โห ติดต่อกับเทพพระอาทิตย์ได้โดยตรงด้วย อิจฉาจังเลย!”

 

 

ผู้ชายในห้องพากันอุทาน ผู้หญิงเองก็เอะอะเป็นการใหญ่

 

 

เมิ่งซินหรานกลับเห็นสถานการณ์แบบนี้จนชินตา

 

 

นักเรียนในห้องเป็นอย่างที่เธอคาดไว้ไม่มีผิด มาทักทายเธอเกือบจะทุกคน

 

 

มีนักเรียนที่เกือบจะเทียบเท่าดารา ก็ยังสร้างความแตกตื่นฮือฮาให้กับโรงเรียนได้เหมือนกัน

 

 

แต่ในห้องมีคนสามคนที่ดูแตกต่างมากทีเดียว

 

 

เมิ่งซินหรานสังเกตอยู่พักหนึ่ง

 

 

ผู้หญิงที่หลบอยู่หลังกองหนังสือที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน มีเสื้อกันหนาวคลุมหัว นอนในคาบเรียนอาจารย์ก็ไม่สนใจเธอ

 

 

เมิ่งซินหรานขมวดคิ้ว คิดว่าคงเพราะผลการเรียนแย่เกินไป อาจารย์เลยถอดใจแล้ว

 

 

อีกสองคนก็คือเฉียวเซิงกับสวีเหยากวง

 

 

เธอไม่ได้สนใจเฉียวเซิง แต่สวีเหยากวง… เมิ่งซินหรานรู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูนิดหน่อย

 

 

หลังเลิกเรียนตอนกลางคืน

 

 

เมิ่งซินหรานกลับหลังจากที่จัดหนังสือเสร็จแล้ว

 

 

พบว่ามีผู้ชายหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้อง ในมือเขามีปากกากับกระดาษแผ่นหนึ่ง ท่าทางเขินอาย ใบหน้าแดงก่ำ

 

 

เมิ่งซินหรานเอ่ยปากอย่างลืมตัว ยิ้มแย้ม “ลายเซ็น? อยากให้เขียนคำอวยพรอะไรหรือเปล่า”

 

 

ผู้ชายคนนั้นสะดุ้ง จากนั้นหน้าก็แดงยิ่งกว่าเดิม สายตามองผ่านเธอไป พูดกระอึกกระอัก “เปล่า เปล่าครับ ผมมาหารุ่นพี่ฉินหร่าน”

 

 

มือที่กำลังจะรับกระดาษกับปากของเมิ่งซินหรานนิ่งไป

 

 

เธอแทบจะโพล่งออกไปแล้วว่า ‘นายไม่รู้จักฉันเหรอ’

 

 

แต่กลับอดกลั้นไว้

 

 

“เจ๊หร่าน เลิกเรียนแล้ว ลุกไปให้ลายเซ็นของแฟนคลับเธอ” เฉียวเซิงที่ไม่เคยคุยกับเมิ่งซินหรานเดินไปยืนข้างโต๊ะฉินหร่าน ยกเท้าสะกิดเก้าอี้เธอ

 

 

ท่าทางไม่หยาบคายแต่อย่างใด

 

 

ฉินหร่านลุกขึ้นจากโต๊ะอย่างเชื่องช้า เธอหยิบแก้วเก็บความร้อนขึ้นมาดื่มน้ำแล้วกระแอมไอ จากนั้นก็เซ็นชื่อให้ผู้ชายคนนั้นอย่างฝืนใจอย่างยิ่ง

 

 

ฝืนใจและรังเกียจมากจริงๆ

 

 

เมิ่งซินหรานไม่เห็นใบหน้าของฉินหร่าน เห็นแค่แผ่นหลัง แต่ท่าทางแบบนี้… ก็มีแฟนคลับกับเขาด้วยเหรอ

 

 

ผู้ชายคนนั้นกลับขอบคุณด้วยความซาบซึ้งเป็นล้นพ้น “ขอบคุณครับรุ่นพี่ฉินหร่าน!”

 

 

ถือกระดาษราวกับเป็นของรักของหวง

 

 

เมิ่งซินหรานย่นคิ้ว ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันแน่

 

 

 

 

วันต่อมา เฉียวเซิงกับสวีเหยากวงมาไม่สาย แต่ก็ไม่ได้เร็วเกินไป

 

 

ตอนที่ไปถึง ห้องเก้าเอะอะกันมากทีเดียว

 

 

“มีอะไรกัน ทำไมวุ่นวายขนาดนี้” เฉียวเซิงนั่งลงบนเก้าอี้ เห็นฉินหร่านนอนฟุบกับโต๊ะ ท่าทางดูจะหงุดหงิดมากทีเดียว เขาเลยเพิ่มเสียง

 

 

เสียงเจี๊ยวจ๊าวในห้องลดลงเกือบครึ่ง

 

 

จะเห็นได้ว่า เขาค่อนข้างมีบารมีในห้องเก้า

 

 

“เฉียวเซิง คืออย่างนี้” เหอเหวินกดเสียงลง ในน้ำเสียงมีแต่ความตื่นเต้นและลิงโลด “เมิ่งซินหรานมีบัตรสามใบ!”

 

 

เท้าที่พาดอยู่บนโต๊ะของเฉียวเซิงนิ่งไป ลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที “สามใบ?”

 

 

“ฉันเห็นกับตาเลย”

 

 

เจ้าหน้าที่ภายใน มีตั๋วสามใบไม่ใช่เรื่องแปลก

 

 

เฉียวเซิงไม่คลางแคลงใจ เขานั่งลงบนโต๊ะ ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

 

 

ถ้าไม่มีตั๋วเขายังถอดใจ อดทนไม่ไปหาพ่อปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่เข้าไปในสนามแข่งได้

 

 

แต่ตอนนี้มีบัตร เฉียวเซิงสะกดความรู้สึกไว้ไม่ได้แล้ว

 

 

เขาคิดๆ ดูแล้ว ก็ฉีกกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่ง เขียนตัวหนังสือบรรทัดหนึ่งลงไปแล้วยื่นให้เมิ่งซินหราน

 

 

แต่เมิ่งซินหรานไม่ตอบ

 

 

เหอเหวินหาโอกาสคุยกับเฉียวเซิง “เมิ่งซินหรานหยิ่งมาก เธอแทบจะไม่อ่านข้อความเลย แต่ละวันมีคนที่ส่งข้อความให้เธอเยอะจะตายไป”

 

 

นอกจากฉินหร่านแล้ว เฉียวเซิงไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนแสดงท่าทีแบบนี้กับตัวเองเลย

 

 

เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วยิ้ม “ไม่เบานี่นา”

 

 

พักทานข้าวกลางวัน เฉียวเซิงลากสวีเหยากวงไปหาเมิ่งซินหรานหน้าระรื่น “คุณเมิ่ง รู้หรือเปล่าว่าโรงอาหารอยู่ไหน พวกเราจะพาเธอไปเอง”

 

 

เมิ่งซินหรานมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ปฏิเสธ เพียงแค่เอ่ยขอบคุณเสียงเรียบเท่านั้น

 

 

 

 

เฉียวเซิงเรียกเมิ่งซินหรานไปกินข้าวด้วยทุกครั้งติดต่อกันสามวันแล้ว

 

 

“พวกนายมีเพื่อนอีกคนไม่ใช่เหรอ ไม่เรียกเธอมากินข้าวด้วยกันล่ะ” สายตาของเมิ่งซินหรานมองผ่านสวีเหยากวงไป เอ่ยถามขึ้นมา

 

 

เฉียวเซิงโบกมือ “ไม่ต้องไปสนใจเธอ เธอไม่ไปกับพวกเราหรอก”

 

 

เมิ่งซินหรานพยักหน้าราวกับคิดอะไรอยู่ ไม่ถามอะไรอีก

 

 

ฉินหร่านไม่ไปกินข้าวที่โรงอาหารตั้งแต่สอบกลางภาคเสร็จ เฉียวเซิงรู้ว่าเธอไปห้องพยาบาล

 

 

ณ ห้องพยาบาล

 

 

ฉินหร่านถือมือถือเดินเข้าไปข้างหน้าอย่างเอื่อยเฉื่อย

 

 

ลู่จ้าวอิ่งที่นั่งข้างนอกขมวดคิ้ว “ฉินเสี่ยวหร่านเป็นอะไรหรือเปล่า”

 

 

ดูเหมือนหลังจากกลับจากคฤหาสน์ครั้งก่อน ฉินหร่านก็มีท่าทางแบบนี้แล้ว ดูอ่อนล้าไม่มีแรง

 

 

ฉินหร่านไม่แยแสมากนัก เธอเอนตัวพิงเก้าอี้ ถือโอกาสหยิบมือถือออกมา “ไม่เป็นไร”

 

 

“แล้วการแข่งขันของ OST วันมะรืนเธอไปไหม” ลู่จ้าวอิ่งกำลังควงปากกา ใบหน้าเผยรอยยิ้ม

 

 

ฉินหร่านพึมพำว่า “ฉันกำลังคิดอยู่เหมือนกัน”

 

 

“อะไรนะ” ลู่จ้าวอิ่งได้ยินไม่ชัด

 

 

“ไม่มีอะไร” ฉินหร่านเปิดเกมมือถือ โพล่งออกมาว่า “นายหาบัตรแฟนมีตติ้งได้หรือเปล่า”

 

 

ฉินหร่านนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้

 

 

ลู่จ้าวอิ่งถอนหาย “บัตรของอวิ๋นกวงกรุ๊ป เธอคิดว่าหาง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ จริงสิ เธอน่าจะไม่เคยได้ยินชื่ออวิ๋นกวง”

 

 

ฉินหร่านเหลือบมองเขา

 

 

ในห้องเฉิงเจวี้ยนกำลังเรียกเธอ

 

 

ฉินหร่านโยนมือถือให้ลู่จ้าวอิ่ง “ช่วยฉันเล่นตาหนึ่ง”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งรีบรับมาเป็นพัลวัน รับช่วงต่อเกมตานี้ของฉินหร่าน

 

 

เป็นเกมท่องยุทธภพเวอร์ชันมือถือ

 

 

หลังเล่นเสร็จแล้ว ลู่จ้าวอิ่งเลยแอบมองหน้าหลักของเกม เขาถึงได้พบว่า ไอดีของฉินหร่านเป็นอีกโซน

 

 

เป็นไอดีพรีเมียมเช่นเดียวกับท่านเจวี้ยนงั้นเหรอ

 

 

ลู่จ้าวอิ่งสงสัยนิดหน่อย ขณะที่เขากำลังคิดอยู่ จู่ๆ มือถือของฉินหร่านก็แผดเสียง

 

 

เป็นวิดีโอคอลของวีแชท

 

 

“ฉินเสี่ยวหร่านมีวิดีโอคอล!” ลู่จ้าวอิ่งขานเรียน ก้มหน้ามองแวบหนึ่ง นามแฝงมีแค่อักษรตัวเดียว…

 

 

หยาง