ผู้อาวุโสซุนให้คนพาฉู่หนิงส่งกลับบ้าน และหาคนดูแลเป็นพิเศษเพราะกลัวว่าจะมีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น
เขาเข้าใจความรู้สึกของฉู่หนิงเป็นอย่างดี แต่สภาพของเขาในตอนนี้ หากไปคนเดียวแล้ว เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่
ทำไมเขาจะไม่รู้สึกโศกเศร้าเสียใจล่ะ
ตอนแรกเขาถูกชะตากับฉู่หลิวเยว่มากขนาดนั้น จนถึงขั้นรับอยากนางมาเป็นศิษย์ของตน ถ้าหากว่าเขาไม่ถูกท่านอาจารย์ลุงแย่งนางไปล่ะก็ บางทีตอนนี้เขาอาจจะเป็นซือฝุของนางไปแล้วจริงๆ ก็ได้
เมื่อเห็นอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นมาตายตกไปกับตาตนเอง เขากลับรู้สึกว่าตัวเองด้อยความสามารถ ในใจของผู้อาวุโสเองก็ทุกข์ระทมยากที่จะเอ่ยเช่นกัน
หลังจากส่งฉู่หนิงออกไปแล้ว ผู้อาวุโสเองก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่ออกมาเป็นเวลานาน
…
ฉู่เยี่ยนที่หายใจรวยรินถูกคนนำตัวส่งกลับไปยังตระกูลฉู่ แต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากผู้ใด ทั้งยังถูกหลายคนหัวเราะเยาะซ้ำเติมอีก
ตั้งแต่คราวก่อนที่ฉู่หลิวเยว่มาก่อความวุ่นวาย แล้วแบ่งเอาสมบัติของตระกูลฉู่ไปจำนวนไม่น้อย คนในตระกูลฉู่หลายคนก็รู้สึกเกลียดแค้นฉู่เยี่ยนและลู่เหยาสองสามีภรรยาจนเข้ากระดูกดำ
สองคนนี้ ผู้หนึ่งอาศัยสถานะนายน้อยสามของตนใช้อำนาจในทางมิชอบ ส่วนอีกผู้หนึ่งใช้โอกาสที่ตนเป็นผู้จัดการทรัพย์สินแล้วโกยเข้ากระเป๋าตนเอง จนทำให้ทรัพย์สมบัติของตระกูลฉู่หมดแทบเกลี้ยง!
ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าต้องการให้พวกเขาสองคนไม่สามารถอุดหลุมนี้ คนในตระกูลฉู่ก็ไม่ปล่อยพวกเขาเอาไว้หรอก
ยิ่งไปกว่านั้น ฉู่เซียนหมิ่นอยู่ในจวนรัชทายาทก็มีสถานะเป็นเพียงแค่นางสนมเท่านั้น ไม่มีทางไต่เต้าขึ้นมาเชิดหน้าชูตาได้ ทว่าพวกเขากลับยิ่งกำเริบเสิบสาน
แล้วยังจะมีผู้ใดเห็นพวกเขาอยู่ในสายตาอีกเล่า
บ่าวรับใช้นำข่าวนี้มารายงานแก่ผู้อาวุโสใหญ่ แต่ก็ได้รับเพียงเสียงหัวเราะเย็นชากลับไปเท่านั้น
“เขารนหาที่ตายเอง ไปหาเรื่องยั่วโมโหฉู่หนิงแบบนั้น แล้วจะโทษผู้ใดได้!”
ฉู่หลิวเยว่ตายแล้ว ตระกูลฉู่ของพวกเขาก็หมดเสี้ยนหนาม ใครจะไม่แอบดีใจบ้างเล่า
คนในตระกูลฉู่มีตั้งมากมาย กลับมีเพียงฉู่เยี่ยนผู้เดียวที่โง่ไปหาฉู่หนิงเอง!
ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้ฉู่หนิงก็เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าแล้ว ไม่มีทางทำอะไรเขาได้เด็ดขาด มีเพียงแค่คนโง่เง่าเต่าตุ่นเท่านั้นที่คิดจะต่อกรกับฉู่หนิงซึ่งๆ หน้า!”
“ผู้อาวุโสใหญ่ขอรับ ฉู่หนิงในฐานะผู้บัญชาการทหารองครักษ์ ตีท่านชายสามจนเกือบตายเช่นนั้นคงไม่เหมาะสมกระมัง…หรือว่า จะยื่นฎีกาถึงฝ่าบาทดีหรือไม่ขอรับ”
มุมปากของผู้อาวุโสใหญ่กระตุก
“เขาโง่เอง พวกเจ้าก็ไร้สมองตามเขาเช่นกัน! ฉู่หลิวเยว่เพิ่งตาย ฉู่หนิงกำลังอยู่ในความโศกเศร้า ฝ่าบาทจะเอาความเรื่องนี้ในเพลานี้ได้อย่างไร อีกอย่าง ฉู่เยี่ยนเป็นฝ่ายไปยั่วยุเขาก่อน ตอนนั้นผู้คนมากมายที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ยินเรื่องเหลวไหลที่เขาพูดอย่างชัดเจน ต่อให้รายงานฝ่าบาทก็ฟังไม่ขึ้น มิสมเหตุสมผลเลยสักนิด ทางที่ดีควรจัดการกับเรื่องนี้อย่างเงียบเชียบและเฉียบขาดก็พอแล้ว”
“ที่ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวมาก็ถูกต้อง แต่…ทำเช่นนี้ฉู่หนิงจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ช่างน่าเสียดายจริงๆ…”
เวลานี้ถ้าเหยียบย่ำซ้ำเติมเขาให้จมลงไปได้อีกถึงจะเรียกว่าสาแก่ใจ!
ผู้อาวุโสใหญ่แสยะยิ้มอย่างเย็นชา
“พวกเราไม่ต้องออกแรง ฉู่หนิงเองก็คงต้านรับไม่ไหว ฉู่หลิวเยว่เป็นดั่งความหวังเดียวของเขา ตอนนี้นางตายไปแล้ว เขาก็คงจะเสียสติไปแล้วล่ะ เหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์เมื่อหลายปีก่อนในครั้งนั้นทำให้เขาต้องตกอับไปสิบปี ถึงกระนั้นเขาก็ต้องอาศัยฉู่หลิวเยว่ถึงจะมีชีวิตดั่งเช่นวันนี้ได้ ทว่าตอนนี้ฉู่หลิวเยว่ดันมาตายจากไป ตอนนี้เขาสิ้นไร้ไม้ตอกแล้ว คนแบบนี้ก็มิต่างอะไรกับมีชีวิตอยู่เพื่อรอความตาย”
เหลือเพียงฉู่หนิงเพียงผู้เดียวแล้ว อนาคตค่อยๆ จัดการเขาก็ได้มิใช่หรือ
“น่าเสียดาย…ฉู่หลิวเยว่ไปตายข้างนอกอย่างง่ายดายเช่นนี้ ช่างไม่คุ้มเลยจริงๆ…”
ผู้อาวุโสใหญ่พึมพำเสียงทุ้มต่ำ
มีเพียงทางเดียวคือสังหารนางด้วยน้ำมือตนเองถึงจะสาสมกับความแค้นในใจของเขา!
“ได้ข่าวคืบหน้าจากทางรัชทายาทบ้างหรือไม่ เหตุใดระยะนี้ฝ่าบาทถึงได้ทรงเย็นชากับรัชทายาทเช่นนี้” เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเปลี่ยนเรื่อง
“ในรั้ววังปิดข่าวอย่างเข้มงวด พวกเราแอบสืบอยู่หลายครั้งแต่ก็มิได้ความอะไรกลับมา มีบางอย่างน่าสงสัยมากขอรับ ในค่ำคืนวันเข้าหอของรัชทายาทและคุณหนูสาม รัชทายาทถูกเรียกให้เข้าเฝ้าเป็นการด่วน โดยไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าฝ่าบาทตรัสสิ่งใดกับรัชทายาท หลังจากที่ออกมาแล้ว รัชทายาทก็เสด็จกลับจวนและไม่ออกมาอีกเลย ก่อนหน้านั้น องค์ชายสามยังเคยเสด็จเข้าวังอีกด้วยขอรับ…”
“เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับองค์ชายสาม”
“ไม่แน่ใจขอรับ ตอนนี้ฝ่าบาทรับสั่งให้องค์ชายสามประทับอยู่แต่ในเมืองหลวง ไม่ได้เสด็จกลับค่ายทหารที่ซีเป่ย เกรงว่าพระองค์ก็คงไม่นิ่งดูดายนะขอรับ”
ผู้อาวุโสใหญ่ขมวดคิ้วเป็นปม
ไม่กี่วันก่อนเขาส่งเทียบเชิญเป็นการส่วนตัว แต่ก็ถูกปฏิเสธเช่นกัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันของรัชทายาทแย่กว่าที่คาดไว้
เขารู้สึกว่าสถานะของรัชทายาทดูเหมือนจะตกอยู่ในอันตราย
ถึงอย่างไรพวกเขาก็มีความสัมพันธ์อันดีกับรัชทายาทมาโดยตลอด ทั้งลงเรือลำเดียวกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เวลานี้การสนับสนุนองค์ชายองค์อื่น เห็นได้ชัดว่าเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ
เช่นนั้นพวกเขาจึงต้องหาวิธีช่วยรัชทายาทฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้!
…
มู่หงอวี๋สลบเหมือดไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ หลังจากที่นางฟื้นขึ้นมาแล้วก็นั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียง นางดูเหมือนถูกสูบพลังออกไปจนหมด ไม่มีแม้แต่กระทั่งความโกรธใดๆ
สมองของนางว่างเปล่าขาวโพลน ทว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในบรรพตวั่นหลิงกลับยังคงลอยวนเวียนซ้ำๆ อยู่ในหัว
ฉากทั้งหมดถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความชัดเจนที่ไม่มีสิ่งใดมาเปรียบเปรยได้ และมันก็ทำให้นางรู้สึกทรมานเจียนตาย
ถ้าหากว่าตอนนั้น พวกเขาสามารถห้ามฉู่หลิวเยว่เอาไว้ได้ ทุกอย่างก็คงไม่กลายเป็นแบบนี้ใช่หรือไม่
เป็นเพราะพวกเขาชะล่าใจเกินไป เป็นเพราะพวกเขาประมาทเกินไป!
ไม่ว่าฉู่หลิวเยว่จะเก่งกาจมากแค่ไหน แต่นางก็เป็นเพียงนักเรียนคนหนึ่งเหมือนกับพวกเขา อีกทั้งนางยังเข้าเรียนในสำนักช้ากว่าพวกเขามากกว่าครึ่งปี!
พวกเขาจะปล่อยให้นางเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระดับเจ็ดเพียงลำพังได้อย่างไร!
นั่นมันเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งปานใด!
แม้แต่ผู้อาวุโสในสำนักก็อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน แล้วนับประสาอะไรกับฉู่หลิวเยว่กันเล่า!
มู่หงอวี๋คิดอย่างเหม่อลอย น้ำตาของนางไหลรินลงมาเงียบๆ จากนั้นนางก็ตบหน้าตัวเองอย่างแรง!
เพี๊ยะ!
เสียงตบอันคมชัดนั้นดังชัดเจนภายในห้องที่เงียบสงบ
ความเจ็บปวดรวดร้าวบนใบหน้าของนางเทียบไม่ได้เลยกับการโทษตัวเองและความรู้สึกผิดในใจของนาง!
“ฮึอ…”
ลูกหมีแผงคอทองคำตสังเกตเห็นความโศกเศร้าที่แผ่ออกมาจากนาง และดูเหมือนว่าจะสื่อสารถึงกันได้ มันจึงคลานต้วมเตี้ยมไปจับแขนของนางและส่งเสียงครางเบาๆ
มู่หงอวี๋ซุกศีรษะไว้ในอ้อมแขนของมันแล้วสะอื้นไห้เงียบๆ
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก
มู่หงอวี๋เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วและเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของนาง ก่อนจะลากสังขารที่เหนื่อยล้าและเจ็บปวดของตนเพื่อเดินไปเปิดประตู
“ผู้ใดน่ะ”
เมื่อนางเห็นใบหน้าของผู้ที่อยู่ด้านนอกอย่างชัดเจน สีหน้าของมู่หงอวี๋ก็เย็นชาทันที
นางปิดประตูทันทีโดยไม่พูดอะไร
แม้ว่าคนผู้นั้นจะมาพร้อมผ้าคลุมหน้าและเผยให้เห็นดวงตาเพียงคู่เดียว แต่นางก็จำได้ในพริบตา เพราะว่านั่นคือ ฉู่เซียนหมิ่น!
“นี่…เดี๋ยวก่อน!”
ฉู่เซียนหมิ่นดึงประตูด้วยมือข้างเดียวเพื่อป้องกันไม่ให้มู่หงอวี๋เคลื่อนไหว
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ ข้าก็เลยมาเยี่ยมเจ้าสักหน่อย เจ้าจะรีบปิดประตูทำไมเล่า”
ฉู่เซียนหมิ่นพูดพลางกวาดสายตามองหน้ามู่หงอวี๋อย่างรวดเร็ว และหางตาของนางก็กระตุกเล็กน้อย
มู่หงอวี๋รู้สึกหงุดหงิดกับสายตาของนาง จากนั้นนางจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า เจ้ารีบไปซะ! เจ้ามายั่วยุข้า มันไม่มีประโยชน์อะไรกับเจ้าหรอกนะ!”
มู่หงอวี๋มีสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“ตอนที่เจ้ายังสุขสบาย เจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่เจ้าบาดเจ็บ การข่มขู่เช่นนี้ มันไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น”
“เจ้ากำลังพยายามทำสิ่งใดกันแน่!” มู่หงอวี๋หมดความอดทนแล้ว
ฉู่เซียนหมิ่นก้าวเข้ามาใกล้นางอีกก้าว ดวงตาฉายแววชั่วร้าย ก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา
“ฉู่หลิวเยว่ตายไปแล้ว ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสองคนสนิทกันมาก ดังนั้นข้าก็เลยมาเยี่ยมเจ้า ดูสภาพของเจ้า นางต้องตายอย่างน่าอนาถมากแน่ๆ ใช่หรือไม่”