EP.122****ฉินเหยียน

“ข้าก็ไม้รู้ว่าดีหรือไม่ดี เพียงแค่เบื่อไปหน่อยเท่านั้นเองขอรับ…” หลินมู่อวี่พูด “ยังดีที่ฝึกสมาธิอยู่ตลอด เลยพอทนได้ ท่านปู่เหลยหงวางใจเถอะ!”

เหลยหงหัวเราะลั่น “เจ้าเด็กบ้า เจ้าตัดแขนจ้าวจิ้นไปข้างหนึ่ง ทำให้เขาใช้หอกไม่ได้ไปชั่วชีวิต มือหอกอันดับหนึ่งของวิหารศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นคนพิการเพราะฝีมือเจ้า เจ้ายังมาบ่นกับข้าอีก ว่ามาสิ ครั้งนี้เรียกข้ามามีเรื่องอันใดหรือ”

“คืออย่างนี้ขอรับ”

หลินมู่อวี่คิดแล้วคิดอีกก่อนถามขึ้น “ท่านปู่เหลยหง ท่านรู้จักวิญญาณหรือไม่ขอรับ”

“วิญญาณ?”

เหลยหงตะลึงเล็กน้อย “รู้จัก พลังวิญญาณจะเพิ่มตามพลังที่เพิ่มขึ้นของผู้ฝึกยุทธ์ นี่เป็นเรื่องปกติ ทำไมหรืออาอวี่”

“ข้าคิดจะฝึกเฉพาะพลังวิญญาณอย่างเดียว มีวิธีหรือไม่ขอรับ”

“ฝึกพลังวิญญาณอย่างเดียวหรือ”

เหลยหงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “นี่…ข้ายังไม่เคยได้ยินว่ามีคนคิดที่จะไปฝึกพลังวิญญาณอย่างเดียวมาก่อนจริงๆ ระดับของพลังวิญญาณกับพลังยุทธ์นั้นส่งเสริมซึ่งกันและกัน”

“งั้น…ไม่มีวิธีฝึกแยกอย่างเดียวเลยหรือขอรับ”

“จะว่ามีก็มี” เหลยหงขมวดคิ้วแน่นแล้วกล่าว “ข้าเคยได้ยินมาว่าร้อยปีก่อนมีคนประหลาดผู้หนึ่ง คิดค้นวิชาการฝึกพลังจิตขึ้นมาด้วยตนเอง แต่หลังจากที่ฝึก ทำให้พลังแข็งแกร่งเกินไป ประสาทรับกลิ่น และรับเสียงดีกว่าคนธรรมดาถึงร้อยเท่า จนสติฟั่นเฟือนไปในที่สุด ต่อมาเขาก็กระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตาย ดังนั้นจึงไม่มีใครศึกษาค้นคว้าและฝึกวิชาของเขาอีก”

“ขนาดนั้นเชียว…”

หลินมู่อวี่ชะงัก แต่พอมาคิดดีๆ ความจริงถ้าตนได้พลังเจ็ดประทีปมา พลังเจ็ดประทีปนั้นก็จะผลาญพลังวิญญาณไปไม่น้อย ไม่น่าจะถึงขั้นที่ทำให้สติฟั่นเฟือน จึงถามต่อ “เช่นนั้นยังพอจะหาคัมภีร์วิชานี้ของเขาได้อยู่หรือไม่ขอรับ”

“น่าจะได้ หอสมุดของตำหนักเจ๋อเทียนจัดเก็บสะสมตำราไว้มากมาย จะหาตำราทักษะยุทธ์ระดับสามเล่มหนึ่งน่าจะไม่มีปัญหา” ระหว่างพูด เหลยหงมองหลินมู่อวี่ด้วยสายตาจริงจัง “อาอวี่ เจ้าแน่ใจว่าเจ้าฝึกวิชานี้แล้วจะไม่เป็นบ้า”

“ไม่มีทางขอรับ ท่านปู่วางใจเถอะ!”

“เช่นนั้นก็ดี!”

……

ก่อนที่ตะวันจะตกดิน เหลยหงให้คนนำตำราโบราณเล่มหนึ่งที่เก่าเหลืองจนกระดาษเปื่อยจวนจะหลุดมาส่งให้เขา บนนั้นมีตัวอักษรสามตัวเลือนลางเขียนว่า ทักษะชีพจรวิญญาณ!

หลินมู่อวี่ประคองคัมภีร์ทักษะชีพจรวิญญาณเอาไว้ แล้วนั่งอ่านอยู่ทั้งคืน ตัวอักษรกว่าสองหมื่นตัวเด่นชัดอยู่ในใจ

ที่เรียกว่าชีพจรวิญญาณ แท้จริงแล้วก็คือการผสานฌาณสัมผัสเข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบตัว รวมเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ เพิ่มพลังจิตของตนผ่านชีพจรอันละเอียดอ่อนของพลังงาน อุณหภูมิและอากาศของต้นไม้ใบหญ้ารอบตัว เป็นจริงดังที่เหลยหงว่าไว้ ทักษะชีพจรวิญญาณไม่ใช่วิชายุทธ์ชั้นยอด หากไม่แข็งแกร่งพอ การฝึกทักษะชีพจรวิญญาณก็ทำให้คนเป็นบ้าได้จริงๆ

ทว่าหลินมู่อวี่นั้นต่างออกไป เขาเข้าสู่ขอบเขตนภาแล้ว พลังวิญญาณเดิมทีก็แข็งแกร่งอยู่แล้ว รวมกับการก่อชั้นผิว หลอมกระดูกและชำระไขกระดูก อีกทั้งร่างกายยังมีสายเลือดมังกรที่แท้จริง ถึงฌาณสัมผัสจะเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยก็ไม่เป็นปัญหา

ตกดึก เขานอนอยู่บนเตียง แผ่ญาณสัมผัสออกไป รับรู้ได้ถึงจังหวะชีพจรของเสียงจริงๆ ด้วย เสียงคนเดินอยู่ห่างประมาณห้าร้อยเมตร มีสองคน คนหนึ่งหนัก คนหนึ่งเบา พวกเขาไม่ได้พูดคุยกัน น่าจะเป็นฉินจื่อหลิงกับจางเหว่ย เพราะกลิ่นอายบนร่างของคนทั้งสองคนหนึ่งแข็งแกร่ง อีกคนหนึ่งอ่อนแอ กลิ่นอายที่แข็งแกร่งค่อนข้างจะดุดัน ส่วนที่อ่อนแอนั้นค่อนข้างอ่อนโยน เป็นสองคนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

“ก๊อก ก๊อก…”

หลังจากนั้นไม่กี่นาที เสียงเคาะประตูดังขึ้น จางเหว่ยหัวเราะเสียงดัง “ท่านหลินจื้อ ข้ากับจื่อหลิงนำสุราอาหารมาเยี่ยมท่านน่ะ!”

หลินมู่อวี่พลิกตัวลุกขึ้น เปิดประตูให้พวกเขาเข้ามา ทั้งสองคนถือสุราอาหารมาจริงๆ เขายิ้มอย่างยินดีปรีดาทันที “พวกเจ้ามาแล้วหรือ เข้ามานั่งก่อนเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ”

แน่นอนว่าจางเหว่ยไม่เกรงใจอยู่แล้ว เขาถือไก่ย่างหนึ่งตัวและขากวางหนึ่งน่องมาด้วย ส่วนฉินจื่อหลิงถือผัดผักและสุราชั้นดีสองไห หลังวางสุราลง ทั้งสามคนกินอาหารไปคุยไป

“จ้าวจิ้นเจ้าลูกเต่านั่น ยังจะพูดว่าต้องการฝึกกระบี่ด้วยมือเดียว จะต้องจัดการเจ้าด้วยตัวเอง…” จางเหว่ยพูดน้ำลายฝอย หน้าแดงก่ำ สีหน้าโกรธแค้น

หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ช่างเขาเถอะ จ้าวจิ้นเป็นคนพิการไปแล้ว”

ฉินจื่อหลิงกลับพูดว่า “หลินจื้อ เจ้าออกไปแล้วต้องระวังตัวด้วยล่ะ ข้าได้ยินคนข้างนอกพูดกันว่า คนของค่ายเสินเวยปล่อยข่าวว่าขอแค่มีโอกาส จะต้องฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ!”

“ค่ายเสินเวย?” หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว “ช่างเถอะ ข้ารู้อยู่แล้วว่าต้องไปล่วงเกินค่ายเวยเสิน อีกอย่าง…เจิ้งฟางก็คงไม่ปล่อยข้าไปง่ายหรอกๆ”

จางเหว่ยตบหน้าอกแล้วกล่าว “วางใจเถอะ ท่านอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ใครก็ทำอะไรท่านไม่ได้”

“อืม”

จางเหว่ยยิ้มมีเลศนัย ก่อนพูดขึ้น “ท่านหลินจื้อ หลังจากท่านชนะจ้าวจิ้น เรื่องของท่านก็กระจายไปทั่วเมืองหลันเยี่ยน พวกเขาต่างพูดกันว่าท่านเป็นอันดับหนึ่งของรุ่นเยาว์ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ทัดเทียมกับผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์เฟิงจี้สิง ผู้บัญชาการองครักษ์อวี้หลินฉินเหลยได้เลย!”

“จะเป็นไปได้อย่างไร”  หลินมู่อวี่อดหัวเราะไม่ได้ “เฟิงจี้สิงและฉินเหลยล้วนเป็นอัจฉริยะ ส่วนข้าแค่บังเอิญโชคดีชนะจ้าวจิ้นได้เท่านั้นเอง อีกอย่างพวกเขาต่างเป็นผู้บัญชาการกองทัพมีทหารนับพันอยู่ในมือ ข้าจะไปสู้อะไรได้”

จางเหว่ยยิ้มเล็กน้อย “อำนาจทหารน่ะหรือ ความจริงหากต้องการอำนาจทหารนั้นง่ายมาก เพียงแค่ท่านตัดสินใจออกจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ เชื่อเถอะว่าค่ายทหารจำนวนไม่น้อยต่างเต็มใจรับท่าน ด้วยพลังของท่าน…เป็นนายพลก็ไม่ใช่ปัญหา”

“เลิกคุยเรื่องนี้ได้แล้วน่า ดื่ม!” หลินมู่อวี่รู้สึกสับสนวุ่นวายอย่างไร้เหตุ ถึงจะเป็นผู้บัญชาการแล้วอย่างไร สุดท้ายก็ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูมากมายอยู่ดี  กลางคืนก็นอนไม่หลับ กินอยู่ก็ไม่สงบ

“ได้ ดื่ม!”

……

พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกหลายวัน ในที่สุดการกักบริเวณเจ็ดวันก็สิ้นสุดลง เมื่อหลินมู่อวี่เดินออกมาจากห้องลับ เขาฝึกทักษะชีพจรวิญญาณไปถึงระดับหนึ่วแล้ว เขายืนอยู่กลางลานด้วยความรู้สึกสดชื่นปลอดโปร่ง

“พรึ่บ!”

เขากำหมัด ปราณยุทธ์สีขาวนวลไหลเวียนรอบหมัด เขาโคจรพลังเบาๆ พลังหนึ่งประทีปพิฆาตชีวันปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ เป็นสีเลือด ที่เรียกว่าพิฆาตชีวันก็คือสงคราม พลังนี้ดุเดือดทรงอำนาจ เป็นหนึ่งในพลังเจ็ดประทีปที่ตนใช้ได้ดั่งใจมากที่สุด เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆ เพิ่มความระดับความแข็งแกร่งของปราณยุทธ์ หลินมู่อวี่คำรามเบาๆ “สองประทีประบำปีศาจ!”

“วิ้ง!”

มวลอากาศรอบตัวไหลกระเพื่อมอย่างรวดเร็ว เส้นพลังสีดำชั่วร้ายลอยอยู่กลางฝ่ามือ นั่นคือพลังของสองประทีประบำปีศาจ การฝึกทักษะชีพจรวิญญาณนั้นได้ผลจริงๆ ทำให้ใช้พลังประทีปที่สองแล้วไม่รู้สึกกินแรงมาก ส่วนพลังประทีปที่สามนั้น ความจริงหลังจากหลอมด้วยติ่งหลอมอาวุธเป็นเวลาเจ็ดวัน เขาก็ได้เคล็ดลับของประทีปที่สามมาจากวิญญาณของราชาปีศาจเจ็ดประทีปแล้ว เพียงแต่เมื่อหลินมู่อวี่เรียกปราณยุทธ์ขึ้นมา เพื่อจะใช้ประทีปที่สาม เขาก็รู้สึกเจ็บปวดรุนแรงไปทั่วร่าง เส้นเลือดปูดโปนทั่วแขนทั้งสองข้าง ราวกับจุดตันเถียนใกล้จะระเบิด สุดท้ายแล้วพลังวิญญาณของตนก็ยังไม่สามารถรองรับพลังประทีปที่สามได้

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ยอมแพ้ที่จะบังคับพลังประทีปที่สาม ช่างมันก่อนก็แล้วกัน อย่างไรเสียก็ฝึกทักษะชีพจรวิญญาณทุกวันอยู่แล้ว ไม่แน่ว่าสักวันอาจจะควบคุมพลังประทีปที่สามได้ อีกอย่างพลังของตนตอนนี้ก็น่าตกใจมากแล้ว ความจริงหลินมู่อวี่มั่นใจในตนเองอย่างยิ่งว่าถ้าคู่ต่อสู้อยู่ในขอบเขตนภาระดับไม่เกินเจ็ดสิบ เขาสามารถเอาชนะได้แน่นอน!

“อาอวี่!”

เกอหยางถือเอกสารของวิหารศักดิ์สิทธิ์ผ่านเข้ามาในลาน ยิ้มพูดมาแต่ไกล “ครบกำหนดกักบริเวณของเจ้าแล้ว วันนี้ช่วงเช้าเป็นวันต้อนรับสมาชิกใหม่ของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ผู้ช่วยฝึกดาวทองเช่นเจ้าควรไปร่วมด้วย”

“ขอรับ ท่านปู่เกอหยาง”

เขารีบเดิน และจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว ชุดศึกของวิหารศักดิ์สิทธิ์ชุดนี้เหมาะกับเขามากและยังดูดีมากอีกด้วย แม้แต่เกอหยางเองก็อดไม่ได้ที่จะมองอยู่หลายครั้ง เขาถอนหายใจ สมัยตนเองยังหนุ่มไม่มีคุณสมบัติพอที่จะสวมชุดศึกนี้เลย

ห้องโถงใหญ่วิหารศักดิ์สิทธิ์ กลุ่มครูฝึกและผู้ช่วยฝึกแบ่งเป็นสองฝั่ง เหลยหงรับผิดชอบพิธีการต้อนรับสมาชิกใหม่เข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์ด้วยตนเอง

“ท่านหลินจื้อ ท่านมาแล้วหรือ” จางเหว่ยยิ้มทักทาย

หลินมู่อวี่ยิ้มเล็กน้อย ยืนตรงข้ามกับจางเหว่ย ด้านหลังคือกลุ่มครูฝึกและผู้ช่วยฝึกดาวสีเงิน ดาวสีทองแดงและดาวเหล็กที่มองหลินมู่อวี่ด้วยแววตาเคารพ ความจริงคือหลินมู่อวี่กับจางเหว่ยล้วนอยู่ระดับดาวทอง สถานะในวิหารศักดิ์สิทธิ์ไม่เหมือนกับในวันแรกที่พวกเขาเข้ามาที่นี่

“เริ่มพิธีได้!” เหลยหงกล่าวเสียงเรียบ

เกอหยางคลี่ม้วนกระดาษออก เสียงชายชราที่สั่นพร่าดังขึ้น “ตอนนี้ วันนี้มีสมาชิกใหม่เข้าร่วมวิหารศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดสิบสี่คน อันดับที่หนึ่งของการทดสอบ ฉินเหยียน เชื้อพระวงศ์ ปรมาจารย์สวรรค์ระดับ 62 วิญญาณยุทธ์เกราะเกล็ดมังกร บรรจุเป็นครูฝึกดาวสีทอง เงินเดือนสองร้อยเหรียญทอง! อันดับที่สอง หลี่หมิงข่าย สามัญชน ปราชญ์สงครามระดับ 59 บรรจุเป็นครูฝึกดาวสีทอง เงินเดือนแปดสิบเหรียญทอง อันดับที่สาม เหลยหม่านหง สามัญชน ปราชญ์สงครามระดับ 55 บรรจุเป็นผู้ช่วยฝึกดาวสีทอง เงินเดือนห้าสิบเหรียญทอง…”

เมื่อเกอหยางประกาศรายชื่อสมาชิกสิบสี่คนมาได้ครึ่งหนึ่ง หลินมู่อวี่ก็สังเกตเห็นคนหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าสุดของแถว คิ้วคมดวงตาประกาย หน้าตาหล่อเหลา แต่หน้าผากมีประกายหยิ่งทะนงอย่างบอกไม่ถูก เจ้าเด็กนี้หน้าตาคล้ายฉินเหลยอยู่บ้าง ดูท่าคงจะเป็นน้องชายของฉินเหลย บุตรชายคนรองของจี้หนิงอ๋อง ฉินเหยียน!

ฉินเหยียนเองก็สังเกตเห็นหลินมู่อวี่ ทรงถือทวนสีแดงเพลิงเดินขึ้นไปข้างหน้า แย้มพระโอษฐ์ “ท่านก็คือหลินจื้อ?”

“ข้าเอง”

“ข้าได้ยินท่านพี่พูดถึงท่านมาก่อน บอกว่าท่านเก่งนักเก่งหนา ข้าดูแล้วก็ไม่เห็นจะเท่าไร” เขาเลิกคิ้ว กล่าวยั่วยุขึ้นมาตรงๆ

หลินมู่อวี่อดหัวเราะไม่ได้ ฉินเหยียนคือน้องชายของฉินเหลย เขาคร้านที่จะโต้เถียง จึงประสานมือกล่าว “อีกหน่อยคงจะได้มีโอกาสประลองฝีมือกัน ท่านอ๋องน้อย”

“เหอะ ข้ารู้แล้ว”

……

“ทั้งหมดเงียบก่อน”

เหลยหงส่งเสียงพูดออกมาหนึ่งประโยค จากนั้นกล่าว “พวกเจ้าทั้งสิบสี่คนตั้งแต่นี้ไปเป็นสมาชิกคนหนึ่งของวิหารศักดิ์สิทธิ์แล้ว ต้องรู้ว่าวิหารแห่งนี้เป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์ของยอดฝีมือในใต้หล้า ในระหว่างที่ฝึกอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ห้ามต่อสู้กันเอง ห้ามฆ่าคน นี่คือกฎเหล็กพื้นฐานของพวกเรา เอาล่ะ ผู้ดูแลเกอหยาง อ่านกฎของวิหารศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดสิบสี่ข้อให้พวกเขาฟังเถอะ!”

“ขอรับ ท่านผู้ดูแลอาวุโส!”

เมื่อเกอหยางอ่านกฎทั้งเจ็ดสิบสี่ข้อจนครบ ทุกคนแทบจะหลับกันหมด เหลยหงจึงประกาศให้แยกย้ายกันได้ทันที หลังจากมื้อเที่ยง จะเป็นการฝึกซ้อมอย่างเป็นทางการ

แต่ตอนที่หลินมู่อวี่กำลังจะเดินออกไปกินข้าว จู่ๆ มือของฉินเหยียนก็กดบ่าเขาไว้แล้วแย้มพระโอษฐ์ตรัสขึ้น “หลินจื้อ เจ้าอย่าเพิ่งไป พวกเราตัดสินแพ้ชนะกันก่อนค่อยไปกินข้าวก็ยังไม่สาย!”