หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.433 – ปล่อยให้มันตาย

 

กระทั่งผู้ฝึกยุทธของเขตลมปราณจิตก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้

 

หากเป็นแบบนี้ ก็หมายความว่าพลังอำนาจของมารโลกาก็คงจะไม่ใช่สิ่งที่สามารถต่อกรได้

 

กู่ฉิงซานครุ่นคิด แต่แล้วจู่ๆก็มีบางสิ่งที่ขยับไหว จนกระชากสติเขากลับคืนมา

 

-โซ่ตรวนที่พันธนาการตามร่างกายของฉินรั่วและว่านเอ๋ออยู่ๆก็เริ่มรัดแน่นขึ้นอย่างกระทันหัน

 

เมื่อถูกโซ่ตรวนรัดพัน คิ้วบนใบหน้าอันงดงามก็ขมวดเข้าหากัน ขณะที่สีหน้าของสาวใช้ทั้งสองเริ่มแสดงอาการเจ็บปวดออกมา

 

ผนึกโซ่ตรวนที่คอยพันธนาการพลังยุทธของพวกเธอ จู่ๆก็รุนแรงขึ้น

 

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามเสียงหม่น

 

“เมื่อใดก็ตามที่ลางร้ายปรากฏ มันจะเป็นช่วงเวลาที่ผู้ฝึกยุทธในโลกใบนี้หวาดกลัวมากที่สุดว่าพวกเราเหล่าทาสรับใช้อาจคิดไม่ซื่อและก่อกบฏได้” ฉินรั่วกล่าว

 

ว่านเอ๋อยังกล่าวเสริมว่า “ตราบใดที่เข้าสู่ช่วงลางร้าย พวกเขาจะไม่ยินดีหรือกล้าใช้พลังวิญญาณออกมาตอบโต้ เพราะเกรงว่านั่นจะเป็นการดึงดูดมารให้เข้ามา”

 

“และหากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น โชคชะตาเดียวที่เหลืออยู่ของพวกเขาคงมิแคล้วคือต้องจบชีวิตลงสินะ” กู่ฉิงซานพยักหน้า แสดงออกว่าเข้าใจ

 

กู่ฉิงซานย้อนระลึกไปถึงข้อมูลที่เคยได้รับมา และมีอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่สอดคล้องกัน

 

ทาสที่ถูกเหล่าผู้ฝึกยุทธทรมานจู่ๆก็เกิดสติขาดผึง เขาได้ระเบิดพลังวิญญาณของตนเองออกมาในช่วงเวลาที่เกิดลางร้าย แน่นอนว่านั่นมิใช่เพื่อต่อสู้ขัดขืน แต่เป็นการทำเพือเรียกมารโลกาเข้ามาต่างหาก!

 

และเหตุการณ์ในครั้งนั้นส่งผลให้เหล่าผู้ฝึกยุทธถูกมารโลกากลืนกินไปกว่าหลายสิบคน

 

สิ่งที่กล่าวมานี้ ส่งผลให้เหล่าผู้ฝึกยุทธที่มีทาสเอาไว้ในครอบครองเกิดความหวาดระแวงเป็นอย่างมาก

 

ดังนั้น พวกเขาจึงใส่คำสั่งห้ามเอาไว้ในโซ่ตรวน ว่าเมื่อใดก็ตามที่ช่วงเวลาลางร้ายได้มาถึง โซ่ตรวนจะต้องสำแดงเดช พันธนาการเหล่าทาสให้รุนแรงหนักหนาขึ้น จนพวกเขาไม่อาจดึงพลังออกมาได้

 

และโซ่ตรวนนี้ทรงประสิทธิภาพมากจริงๆ ขนาดนางเซียนไป่ฮั่วที่เคยได้ประเมินมัน ยังเอ่ยปากออกมาด้วยตัวเองว่า หากนางถูกโซ่ตรวนนี้พันธนาการ ตนคงมิอาจต่อต้านได้

 

กู่ฉิงซานที่ขบคิดมาถึงจุดนี้ก็เอ่ยถามออกมาในทันใด

 

“หากช่วงเวลาลางร้ายมาถึง แล้วผู้ฝึกยุทธไม่มีเวลามากพอที่จะก้าวเข้าสู่ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอก หนทางที่เหลือก็จะมีเพียงความตายเท่านั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“หากได้รับการสนับสนุนด้วยเทคนิคยับยั้งลมหายใจ และมิได้ปล่อยให้พลังวิญญาญเล็ดลอดแม้เพียงเล็กน้อยก็แล้วไป มิฉะนั้นแล้วมันจะเป็นการดึงดูดร่างแยกที่ไร้สตินึกคิดเข้ามาหา แล้วจากนั้นก็คงจะไร้ซึ่งหนทางจริงๆ” ฉินรั่วกล่าว

 

ฉานนู่กำลังรับฟังอย่างเงียบๆ ขณะนี้สีหน้าของเธอเริ่มเป็นกังวลแล้ว

 

เธอเอ่ยถามเสียงกระซิบ “นายน้อย โลกนี้ช่างอันตรายยิ่งนัก ท่านได้ตระเตรียมการ ค้นหาวิธีช่วยเหลือโลกใบนี้เอาไว้แล้วใช่หรือไม่?”

 

“ช่วยเหลือโลกใบนี้?” กู่ฉิงซานเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าแปลกๆ “เพราะเหตุใดข้าจึงต้องช่วยมันด้วยเล่า?”

 

ฉานนู่หันไปมองฉินรั่วกับว่านเอ๋อ ปากเอ่ยกล่าวอย่างลังเล “ก็เพราะทุกสิ่งที่เจ้ากระทำมาก่อนหน้านี้ มันล้วนเป็นการช่วยเหลือโลกแทบทั้งสิ้นเลยนี่นา ดังนั้น ข้าก็พาลคิดไปว่าที่เจ้ามาที่นี่ ก็คงเพราะต้องการจะทำแบบเดียวกัน”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “ก่อนอื่นเลยนะ สำหรับโลกใบนี้แล้วตัวข้าไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำแบบนั้นหรอก”

 

“อีกอย่าง ตัวข้าได้รับข้อมูลเกี่ยวกับโลกใบนี้มาแล้ว -ผู้คนของที่นี่น่ะชมชอบในการฆ่าฟัน และบังคับผู้อื่นให้ต้องตกเป็นทาสเท่านั้นแหละ”

 

ว่าแล้วเจ้าตัวก็เชิดหน้าขึ้นเบาๆ เสยคางชี้ไปยังฉินรั่วกับว่านเอ๋อ

 

“คนที่ไร้ค่าจะถูกสังหาร เจ้ามองลองดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกนางซี – มีเพียงหญิงงามอย่างพวกนางเท่านั้นแหละที่จะถูกนำมาเป็นทาสรับใช้ และสามารถยืดชีวิตอยู่ต่อไปได้”

 

“ส่วนตัวข้า ถึงแม้ว่ามักจะล่าสังหารอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็มิได้ชมชอบในการกระทำดังกล่าวนี้”

 

ฉานนู่พยักหน้าด้วยความครุ่นคิด

 

ว่าจบ วิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานก็เลื่อนตกลงบนพื้นดิน ก่อนที่เขาจะยื่นมือออกไปและลูบไล้หินไม่กี่ก้อนที่อยู่บนพื้น

 

“นี่เป็นเกาะส่วนตัวของฉีหยานใช่หรือไม่ และสิ่งที่มีค่ามากที่สุดก็คงจะเป็นค่ายกลตัดขาดพลังวิญญาณจากโลกภายนอกนี้?” เขารำพึงออกมา

 

“เป็นเช่นนั้น อันที่จริงแล้วสิ่งที่เจ้าว่ามาน่ะ มันคือสิ่งล้ำค่ามากที่สุดบนโลกใบนี้เลยต่างหากล่ะ” ฉินรั่วกล่าว

 

พอเอ่ยประโยคนี้ออกมา ฉินรั่วก็มองไปยังกู่ฉิงซานด้วยสีหน้าที่เผยถึงความเอ็นดูเล็กน้อยในความหลักแหลมของเขา

 

ถึงแม้ว่าพื้นฐานวรยุทธของกู่ฉิงซานจะมิได้ร้ายกาจอะไร ทว่าการกระทำของเขาในโลกเทวะมันกลับตรงกันข้ามเลย ทุกกลยุทธ์ของเขาล้วนเป็นสิ่งที่ฉินรั่วไม่เคยได้ยินได้เห็นมาก่อน

 

ขนาดมารสวรรค์ซึ่งเป็นมอนสเตอร์ที่ชมชอบในการดูดกินมนุษย์มากเป็นพิเศษ ก็ยังทุ่มออกด้วยกองกำลังขนาดใหญ่ และเต็มใจที่จะร่วมมือกับเขา

 

ทั้งๆที่ในเวลานั้น เขาเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธในขอบเขตก่อกำเนิดเองแท้ๆ

 

แต่ฝ่ายตรงข้ามคือมารสวรรค์ แถมยังเป็นถึงจักรพรรดินีมารสวรรค์อีกด้วย

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินรั่วก็มิกล้าที่จะดูถูกชายตรงหน้าอีกต่อไป

 

ว่านเอ๋อกล่าวตอบออกมาด้วยตนเอง “นอกเหนือไปจากได้รับอนุญาตจากฉีหยาน จะไม่มีใครสามารถหยั่งเท้าลงมาบนเกาะนี้ได้โดยเด็ดขาด หากละเมิดกฏนี้ คนๆนั้นก็จะถูกสังหารลงทันทีโดยนิกายกวงหยาง”

 

“ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกที่มีผลช่วยกักพลังวิญญาณเอาไว้ไม่ให้เล็ดลอดออกไป … ข้าเข้าใจแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมผู้ฝึกยุทธในโลกใบนี้ถึงต้องสวมใส่หมวกไม้ไผ่กัน”

 

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นและหันไปมองรอบๆ

 

โลกช่างมืดมิด และเงียบงัน

 

ตลอดทุกเกาะที่ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆของพลังวิญญาณ

 

นี่คือช่วงเวลาลางร้าย ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่สามารถทำได้

 

กู่ฉิงซานเอ่ยปากออกมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอใช้ช่วงเวลานี้พักผ่อนสักเล็กๆน้อยๆก็แล้วกัน ยามที่ลางร้ายได้จากไป ก็ปลุกข้าด้วยล่ะ”

 

“เจ้าค่ะ” ฉินรั่วกล่าว

 

กู่ฉิงซานนั่งในท่วงท่าสมาธิ หลับตาลง และเริ่มปรับลมหายใจ

 

มองไปยังสีหน้าของเขาที่ค่อยๆผ่อนคลายลง คิ้วที่ยับย่นค่อยๆแยกออกจากกันอย่างช้าๆ

 

เพียงไม่นาน สามสาวก็ได้ยินเสียงลมหายใจของเขากลายเป็นมั่นคงและสม่ำเสมอ

 

เขาผล็อยหลับไปแล้ว

 

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อหันมามองหน้ากันและกัน ก่อนที่ทั้งกายใจของพวกเธอที่ตึงเครียดมานานจะค่อยๆผ่อนคลายลง

 

นั่นสินะ ก็ตัวกู่ฉิงซานพึ่งจะผ่านพ้นการต่อสู้ครั้งใหญ่มานี่นา

 

เขาได้ใช้พลังทั้งหมดที่มี ต่อสู้แลกชีวิตกับฉีหยานที่อยู่ในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าโดยการส่งอีกฝ่ายไปยังโลกของมารสวรรค์ … นี่ช่างเป็นการต่อสู้ที่หนักหนาเสียจริงๆ

 

ดังนั้น เวลานี้ก็สมควรแล้วที่เขาจะได้รับการพักผ่อน

 

ทว่าจริงๆแล้ว พวกเธอไม่อาจทราบได้เลย ว่าหลังจากเหตุการณ์นั้น ประสบการณ์ต่อๆมาที่กู่ฉิงซานต้องเผชิญมันคืออะไร

 

หลังจากกลับสู่โลกจริง ช่วงเวลาที่กู่ฉิงซานได้ผ่อนคลายก็คงจะเป็นการดื่มสุราไปหนึ่งแก้วในบาร์เท่านั้น

 

หลังจากที่เขาออกไปจากเมืองหลวงพร้อมกับเย่เฟย์หยู ตนก็ได้ต่อสู้ครั้งใหญ่ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังทะเลทรายรกร้างเพื่อก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ ยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตก้าวสู่เทพ , ต่อมาก็มุ่งหน้าไปยังพระราชวังโอเซซิสกลางทะเลทรายของฟูซีเพื่อค้นหาความลับขององค์จักรพรรดิ , ค้นพบเบาะแสของนรกเยือกแข็ง , กลับไปยังเมืองหลวงของรัฐบาลกลางเพื่อขัดขวางแผนการขององค์จักรพรรดิ , ขับไล่โครงกระดูกในชุดคลุมดำ , สนับสนุนจักรพรรดินีเวโรน่าให้ขึ้นครองบัลลังก์ , สังหารพระสันตะปาปา , ต้อนรับเครื่องจักรจากปรภพในช่วงเวลาสุดท้ายที่โลกกำลังจะถูกทำลาย และค้นพบทางเลือกสุดท้าย มุ่งหน้าไปยังโลกปรภพเพียงลำพัง …

 

กล่าวได้ว่าเขาต้องฟันฝ่าอุปสรรคอยู่ตลอดเวลา และแทบไม่ได้พักหายใจเลยในระหว่างทาง

 

ในขณะนี้ ช่วงเวลาที่เขาถูกขังอยู่ในค่ายกลตัดขาดโลกภายนอก และคงจะอีกสักพักจึงจะได้ออกไป

 

มันจึงเป็นโอกาสเดียวของเขาเท่านั้นที่จะได้พักผ่อน

 

ตลอดทั้งสวรรค์และโลกจมลงสู่ความเงียบ

 

เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างช้าๆ

 

ผ่านไปชั่วเวลาหนึ่ง ท่ามกลางความมืดมิดในโลกก็บังเกิดเสียงถอนหายใจยาวเหยียดออกมา

 

เสียงถอนหายใจนี้สั่นสะเทือนไปทั้งผืนฟ้า ข้ามผ่านทุกหนแห่ง ลากยาวออกไปยังจุดสิ้นสุดของโลกที่ไม่อาจเข้าไปสำรวจได้

 

ว่านเอ๋อลดศีรษะลง เพื่อมองยันต์ในมือ

 

ตัวอักษร ‘ร้าย’ ขนาดใหญ่ได้หายไปแล้ว และมันถูกแทนที่ด้วยตัวอักษรคำว่า ‘ดี’

 

“นายน้อย ช่วงเวลาลางร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้ว” ว่านเอ๋อกล่าว

 

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น

 

เขายืดตัวบิดขี้เกียจและเอ่ยปากออกมา “ฉันคงจะหลับไปนานเลยสินะ เฮ้อ ไม่ได้หลับสบายแบบนี้มานานมากแล้ว”

 

“นายน้อย ท่านพักผ่อนไปแค่เพียงครู่เดียวเท่านั้น” ฉานนู่กล่าว

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็ตกใจ “อ้าวหรอ? ข้าก็นึกว่าตัวเองได้หลับไปนานเลยซะอีก?”

 

“เจ้าคงจะเหนื่อยเกินไป” ฉานนู่จ้องมองเขาและกล่าว

 

ทันใดนั้นเหล่าผู้คนก็หุบปากลง

 

เพราะว่าได้มีเกาะยักษ์ใหญ่ลอยข้ามผ่านเกาะเล็กๆที่กู่ฉิงซานและคนอื่นๆพำนักอยู่ไป

 

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นมองมัน

 

เห็นแค่เพียงส่วนล่างของเกาะที่เป็นหลุมกระจุกตัวอยู่หนาแน่นราวกับรวงผึ้ง

 

ในแต่ละหลุม จะมีแสงสวรรค์สดใสสาดแสงออกมา และมีบ้างเป็นบางครั้งที่จะสามารถมองเห็นถึงเงาของผู้คนอยู่รำไร

 

แสงสวรรค์สาดส่องสะท้อนออกไปรอบเกาะ ราวกับดวงดาราบนฟากฟ้าที่เปล่งประกายสดใส

 

เกาะยักษ์ใหญ่ลอยข้ามผ่านผืนฟ้าไปอย่างเงียบๆ บินไกลออกไป

 

นี่บ่งบอกได้ว่าช่วงเวลาแห่งลางร้ายได้จบลงแล้ว

 

และในท้องฟ้า ก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆขึ้น

 

หมู่เกาะมากมายที่ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า เริ่มที่จะสาดแสงสดใส

 

พวกมันสาดแสงสวรรค์ ตัดแต่งออกไปทั่วฟ้า

 

ทันใดนั้น ตลอดทั้งท้องฟ้ายามค่ำคืนก็สาดแสงราวกับอยู่ในทะเลดวงดาว

 

“ช่างงดงามจริงๆ นี่น่ะหรือคืออารยธรรมของโลกล่องเวหา?” กู่ฉิงซานเอ่ยชมคำหนึ่ง

 

เขาจ้องมองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ  แต่สักพักก็ต้องขมวดคิ้วออกมา

 

เพราะแสงสวรรค์สาดไสวออกมาแค่ในช่วงแรกเท่านั้น แต่เพียงไม่นาน ทุกสิ่งก็กลับคืนสู่ความมืดมิดดังเดิม

 

แต่ถ้าคุณลองเพ่งมองอย่างใกล้ชิด คุณจะรู้สึกได้ว่าแสงสวรรค์เหล่านั้นช่างดูน่าสงสารจนแทบมิอาจทนไหว

 

“แสงสวรรค์เป็นสีเหลืองแถมยังบางเบา เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ … ” เขาบ่นพึมพำ

 

“นั่นเป็นเพราะว่าแผ่นดินในโลกใบนี้ได้เหือดหายไปจนสิ้นแล้ว ดังนั้นจึงไม่อาจเก็บเกี่ยวศิลาวิญญาณได้อีกต่อไป” ฉินรั่วตอบเขา

 

“ตอนนี้ศิลาวิญญาณทั้งหมดจึงถูกเก็บรักษาเอาไว้เพื่อใช้งานค่ายกลในช่วงเวลาลางดี ขณะเดียวกันมันก็จะถูกแยกออกจากค่ายกลขนาดยักษ์เมื่ออยู่ในช่วงเวลาลางร้าย”

 

“ดังนั้นแล้ว จึงมีกำหนดตารางเวลาในการใช้งานค่ายกลให้อยู่ในระดับที่เพียงพอ กล่าวโดยทั่วไปแล้ว มันจะถูกใช้งานแค่เพื่อให้เกาะสามารถลอยตัวอยู่ได้พิดิบพอดีเท่านั้น” ว่านเอ๋อกล่าว

 

*(กล่าวได้ว่าศิลาวิญญาณมีจำกัด และจะถูกใช้งานเพื่อให้เกาะลอยฟ้าเพิ่มความสูงเท่านั้น แล้วก็ถูกเก็บไป พอเกาะลดระดับลงก็ใช้อีกเพื่อให้เกาะสูงขึ้นอีกรอบ ทำแบบนี้เพื่อนเป็นการประหยัดศิลาวิญญาณ ไม่เหมือนกับในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธที่ยัดศิลาวิญญาณใส่เรือเหาะตลอดเวลา เปิดใช้งานให้ลอยฟ้าอยู่ตลอดๆ)

 

“เนื่องจากไม่อาจเก็บเกี่ยวศิลาวิญญาณได้ เช่นนั้นแล้วเหล่านิกายเล็กจะไปหาศิลาวิญญาณมาได้จากที่ใดกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อหันมามองหน้ากับวูบหนึ่ง

 

“มันก็จะมีอยู่บ่อยครั้ง” ฉินรั่วกล่าวเสียงกระซิบ

 

“อย่างเช่นในบางนิกาย ผู้ฝึกยุทธระดับต่ำจะถูกทอดทิ้งไม่ก็สังหาร และมีเพียงปรมาจารย์ค่ายกลและกำลังรบขั้นสูงเท่านั้นที่โชคดีกว่าพวกแรกที่กล่าวมา โดยพวกเขาจะถูกดึงตัวไปยังนิกายอื่นๆ”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า แล้วตนก็นึกได้ถึงปัญหาสำคัญขึ้นมาได้พอดี

 

“โดยทั่วไปแล้วผู้คนในโลกท่องเวหาได้พิชิตโลกมาแล้วหลากหลายใบ แล้วพวกเขาเคยผสานรวมโลกเหล่านั้นเข้ากับโลกล่องเวหารึเปล่า?  เขาเอ่ยถาม

 

“แน่นอน ว่าทุกโลกที่ถูกพิชิตมาได้ผสานรวมเข้าด้วยกันแล้ว ทว่าตอนนี้พวกมันทั้งหมดก็ได้ตกเป็นของมารโลกาไปแล้ว” ฉินรั่วกล่าว

 

ว่านเอ๋อเอ่ยความทุกข์ของผู้อื่นออกมาด้วยความสุข “พวกเขาสามารถพิชิตโลกทั้งหมดที่ตนค้นพบ แต่ในตอนท้ายที่สุดกลับถูกมารโลกายึดครองไปเสียนี่ ยามเมื่อนึกถึงผลลัพธ์อันเลวร้ายนี้ทีไร มันมักจะช่วยให้ข้าหลงเลือนความเจ็บปวดจากการถูกกระทำข่มเหงในฐานะทาสได้ทุกที”

 

“แล้วตอนนี้พวกเขาไม่สามารถค้นหาโลกใบใหม่พบได้เลยหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“นับว่าเป็นช่วงเวลาหมื่นปีแล้ว ที่ได้พบเจอกับโลกใหม่ครั้งล่าสุด และได้ผสานรวมเข้ากับมัน”

 

“แต่ฉีหยานมีวิธีการหลอมกลั่นโลกด้วยตัวเองนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ฉินรั่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นคือเทคนิคหลอมกลั่นที่ได้รับการศึกษาและคิดค้นขึ้นมาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้  เพื่อใช้ในการหลบออกจากโลกล่องเวหา แต่น่าเสียดายที่ ..”

 

ว่านเอ๋อหัวเราะออกมา “น่าเสียดายที่พวกเขาไม่สามารถค้นหาโลกใบใหม่เจอได้เลย”

 

ขณะที่ทั้งสองสาวใช้กล่าวออกมา สีหน้าท่าทีของพวกเธอเต็มไปด้วยร่องรอยของความสะใจ