ตอนที่ 145 สิ้นเปลืองไม่ได้

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

ชวีฉิวหมิงก้มมองกระดาษในมือของตน สีหน้าซีดเผือดในทันใด ในดวงตามีบางอย่างแวบผ่านไป นิ่งอึ้งอยู่สักพักถึงได้โยนกระดาษทิ้งลงบนพื้นไป สีหน้ามั่นใจในตอนแรก หลงเหลือเพียงความโกรธ ก่อนจะตะโกนเสียงดังใส่อวิ๋นเจี่ยว “เจ้า…เจ้ากำลังดูถูกข้าหรือ?!”

“ดูถูก?” อวิ๋นเจี่ยวตกตะลึงที่ในท่าทีหุนหันของอีกฝ่าย ภายในใจเกิดความสงสัยเล็กน้อย แต่ใบหน้ายังคงแสดงท่าทีจริงจัง พร้อมตอบกลับว่า “การทดสอบขึ้นทะเบียนของสำนักเทียนซือแบ่งออกเป็นสามรอบ การเขียนแบบทดสอบเป็นรอบแรก นี่เป็นเรื่องที่ลูกศิษย์เสวียนเหมินทุกคนรู้ มีปัญหาอันใดเหรอ”

สีหน้าของเขาแย่ลงยิ่งกว่าเดิม สายตาของเขาล่องลอย ไม่เพียงไม่ตอบคำถามของนาง แต่ยังพูดเสียงดัง “ฮึ! ไม่คิดว่าสำนักเทียนซือจะเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยคนขี้อิจฉา ฝีมือของข้าประชาชนในเมืองเถียนฟางต่างรู้ดี เจ้ากล้าเอาข้อสอบง่ายเช่นนี้มาดูถูกข้า!”

ฉ่ายเตี๋ยที่อยู่ด้านข้างกระโดดออกมาต่อว่าพวกนางเสียงดัง ท่าทางราวกับแฟนคลับไร้สมอง “ใช่ พวกท่านทำเกินไปแล้ว พี่หมิงของข้าเป็นถึงหมอเทวดา พวกท่านไม่ได้บอกว่าจะเชิญเขามาเป็นท่านอาวุโสหรือ เช่นนั้นการทดสอบจะเหมือนกับลูกศิษย์คนอื่นได้อย่างไร เอาข้อสอบง่ายเช่นนี้ออกมา ช่างดูถูกพี่หมิงเสียเหลือเกิน”

เหล่าท่านอาวุโสที่พยายามทำข้อสอบแต่ทำไม่ได้ “…”

ชายแก่ที่ยังคงพยายามทำข้อสอบ “…”

พวกเขาได้ยินอะไร กล้าบอกว่าข้อสอบของสหายอวิ๋นง่าย ง่ายที่ไหนกัน กล้าพูดประโยคเมื่อครู่ต่อกลุ่มการศึกษาของพวกเขาหรือไม่ ดูสิว่ามีคนจำนวนมากแค่ไหนอยากทุบเจ้าให้ตาย!

“ไม่ต้องพูดมาก” เมื่อมีคำพูดของฉ่ายเตี๋ย ชวีฉิวหมิงยิ่งได้ใจ เขาพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “หากจะพูดถึงฝีมือการรักษา คงต้องดูด้วยกับตาตนเอง พวกท่านไม่ต้องทำอะไรเช่นนี้ หากอยากทดสอบก็พาข้าไปหาคนป่วย”

สีหน้าของทุกคนดำทะมึนในทันที แลกเปลี่ยนสายตาแสดงความไม่พึงพอใจออกมา ไม่เพียงแต่

ชวีฉิวหมิงปฏิเสธที่จะทำบททดสอบของอวิ๋นเจี่ยว แต่ยังเพราะนิสัยที่เข้ากับคนได้ยากของชายหนุ่มคนนี้ ตามหลักแล้วคนมีความสามารถมีนิสัยแปลกประหลาดเล็กน้อยถือเป็นเรื่องปกติ อย่างเช่นหัวหน้าห้องเจียวอารมณ์ร้อน อาจารย์อวิ๋นชอบออกข้อสอบเป็นต้น

แต่ความรู้สึกที่ชวีฉิวหมิงให้พวกเขา กลับไม่เหมือนกับคนที่ไม่รู้ประสา เพราะมัวแต่จมอยู่ในการฝึกฝนเฉพาะทาง แต่กลับเหมือน…คนที่ได้ทีขี่แพะไล่?

เจ้าสำนักสวียิ่งคิดยิ่งไม่เห็นด้วยกับความคิดที่อยากจะให้เป็นท่านอาวุโส คนที่ฝึกฝนทางเต๋าอย่างพวกเขา สิ่งสำคัญอยู่ที่การฝึกใจ ถึงแม้ฝีมือของเขาอาจจะเก่งกาจ แต่หากนิสัยไม่ดี ก็คงไม่เหมาะกับการถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์

“ได้!” เจ้าสำนักสวีกำลังจะเอ่ยปากพูด อวิ๋นเจี่ยวกลับพยักหน้าตอบรับขึ้นมา ราวกับไม่ได้ใส่ใจในการท้าทายของอีกฝ่าย เพียงแค่กวาดตาขึ้นลงมองดูอีกฝ่าย หรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้ามีความมั่นใจขนาดนี้ เช่นนั้นก็ลองไปรักษาดูเถอะ”

พูดจบก็หันหน้าไปพูดกับสวีชิงเฟิง “เจ้าสำนักสวี พวกท่านน่าจะมีเตรียมเอาไว้?”

เจ้าสำนักสวีผงะ แต่ก็ยังพยักหน้า “ในสำนักมีจัดตั้งโรงรักษา ผู้ที่ถูกสิ่งชั่วร้ายทำร้ายล้วนจะไปรักษาที่นั่น คงจะมีคนป่วยไม่น้อย”

“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะไปรักษาพวกเขาที่นั่น ถือเป็นการทดสอบ” พูดจบชวีฉิวหมิงหันหลังเดินออกจากตำหนักไปทันที ไม่มีทีท่าว่าจะรอคนอื่น

ทุกคนในตำหนักต่างขมวดคิ้วมุ่น

“พี่หมิง รอข้าด้วย!” ฉ่ายเตี๋ยรีบหันหลังเตรียมวิ่งตามไป

อวิ๋นเจี่ยวกวาดตามองนางครั้งหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบเฉย “เจ้าใกล้จะตายแล้ว”

“…” ฝีเท้าของฉ่ายเตี๋ยหยุดชะงักลง ดวงตาเบิกโพลงมองไปยังนางด้วยความเหลือเชื่อ

อวิ๋นเจี่ยวไม่คิดจะอธิบายเพิ่ม เพียงแค่เดินออกไปพร้อมกับเหล่าเจ้าสำนัก

ฉ่ายเตี๋ยช้าไปก้าวหนึ่ง จากนั้นวิ่งตามขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้มองไปยังอวิ๋นเจี่ยว ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่นางพูดเมื่อครู่ นางเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อตามชวีฉิวหมิงให้ทัน จากนั้นจับมือของอีกฝ่ายไว้แน่นเหมือนก่อนหน้า เพียงแต่สีหน้าของนางซีดเผือดลงกว่าเดิมเล็กน้อย

โรงรักษาของสำนักเทียนซือเป็นสถานที่เดียวที่เปิดให้กับทุกคน ไม่ใช่เฉพาะลูกศิษย์เสวียนเหมินเท่านั้น โรงรักษาที่ขาดแคลนหมอรักษาพลังลมปราณ คนจำนวนมากที่ถูกทำร้ายโดยมารหรือปีศาจ หมอทั่วไปไม่อาจรักษาได้ ดังนั้นสำนักเทียนซือจึงจัดตั้งโรงรักษานี้ร่วมกันกับตระกูลใหญ่อย่างตระกูลชาง ในทุกเดือนจะมีหมอรักษาพลังลมปราณสามถึงสี่ท่านผลัดกันมาช่วยดูแลรักษา

ที่นี่เป็นสถานที่แห่งเดียวที่มีคนป่วยทุกวันภายในสำนักเทียนซือ อีกทั้งวันนี้ยังเป็นวันขึ้นทะเบียน คนมีฝีมือจำนวนมากล้วนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ คนป่วยที่ได้ข่าวก็อาศัยเวลานี้มารักษา ดังนั้นวันนี้คนในโรงรักษาจึงมีจำนวนมากเป็นพิเศษ ถึงแม้อาการของคนบางส่วนจะไม่ได้เกิดจากสิ่งชั่วร้าย แต่สำนักเทียนซือก็ไม่ได้ห้ามพวกเขาเข้ามารักษา เพราะที่นี่มีหมอรักษาพลังลมปราณฝึกหัดอยู่จำนวนไม่น้อยเหมือนกัน

แน่นอนว่าค่ารักษาที่นี่ค่อนข้างสูง

เมื่อพวกเขามากันกลุ่มใหญ่ ทำให้ดึงดูดสายตาของผู้คน ไม่นานนัก หมอรักษาพลังลมปราณลูกศิษย์ในชุดขาวที่อยู่ด้านหน้าก็เดินมาต้อนรับ กำลังจะทำความเคารพเจ้าสำนักสวีที่อยู่ด้านหน้าสุด แต่หางตาเหลือบไปเห็นอวิ๋นเจี่ยวที่อยู่ด้านข้าง สายตาของเขาลุกวาว หลังที่ก้มลงไปครึ่งเดียวเปลี่ยนทิศทางในทันที “อาจารย์อวิ๋น! ไม่คิดว่าจะเจอท่านอีก”

“อืม สวัสดี” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า รู้สึกคุ้นหน้า แต่ว่า…ใครอ่ะ?

“ตำรา ‘ต่อเส้นชีพจร’ ที่ท่านให้ข้ามาครั้งที่แล้ว ข้าได้อ่านไปสี่รอบ ลูกศิษย์ละอายใจอย่างยิ่งที่ตอนนี้ยังมีจุดที่ไม่เข้าใจมากมาย โดยเฉพาะเรื่องการใช้พลังลมปราณในการฟื้นคืนเส้นชีพจร” เขาขมวดคิ้วมุ่น

อวิ๋นเจี่ยวตอบกลับ “เจ้าไปดูภาพเส้นชีพจรอีกหลายรอบ จากนั้นรวมกับลำดับการชักนำพลังเข้าร่างก็จะเข้าใจ แน่นอนว่าจะแตกต่างกันไปตามบุคคลและสายพันธุ์”

“เช่นนี้นี่เอง!” ชายหนุ่มตาลุกวาว ราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง “ข้าเข้าใจแล้ว ดูท่าข้าต้องกลับไปอ่านตำราอีกหลายรอบ ขอบคุณอาจารย์อวิ๋นชี้แนะ”

“อืม ไม่ต้องเกรงใจ” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า

“จริงสิ ยังมีอีกหนึ่งคำถาม…”

ดูท่าทางทั้งสองคนกำลังจะเข้าสู่การอภิปรายด้านการรักษา เจ้าสำนักสวีจึงพูดขัดขึ้น “ศิษย์หลานชาง พวกข้ายังมีธุระสำคัญ หากเจ้ามีข้อสงสัย ค่อยถกเถียงภายหลัง”

อีกฝ่ายผงะไป ก่อนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ ทำความเคารพด้วยหน้าแดงก่ำ ก่อนจะถอยออกไปด้านข้าง “ลูกศิษย์เสียมารยาท! ขออภัยอาจารย์!”

“ไม่เป็นไร” อวิ๋นเจี่ยวใจกว้างกับนักเรียนที่รักการเรียนรู้เสมอ ครุ่นคิดอยู่สักครู่ ก่อนจะยื่นบางอย่างออกไปให้ “มา รับไว้! หากมีข้อสงสัยอีก ทำข้อสอบก็จะเข้าใจเอง” นางยัดข้อสอบใส่มือของอีกฝ่าย อีกทั้งยังเป็นแผ่นที่ชวีฉิวหมิงโยนทิ้งไปพอดี “ไม่พอข้ายังมี!” อย่าสิ้นเปลือง

เจ้าสำนักสวี “…”

ชายแก่ “…”

ทุกคน “…”

สายตาเห็นใจจากสิบกว่าคนรวมอยู่บนตัวของอีกฝ่ายในทันที สหายอวิ๋นเป็นโรคที่เมื่อออกข้อสอบต้องมีคำตอบอะไรหรือเปล่า จุดเทียนไว้อาลัยให้ศิษย์หลานชาง!

ชางผิง “…”

ไม่! อาจารย์ฟังข้าอธิบายก่อน เขาแค่อยากถามคำถาม ไม่ได้อยากทำข้อสอบ!

(๑ŐдŐ)b