ตอนที่ 132 เยือนโม่โฉวอีกครา

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

ในวันที่สองหลังจากไปทะเลสาบลี่หู ซั่งกวนเจวี๋ยกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์แยกไปที่ทะเลสาบโม่โฉว หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดชวนให้ขบขัน แม้จะไม่ได้ไปด้วยกัน แต่ก็ยังเว้นที่ว่างไว้สำหรับทั้งสองคน

มีทะเลสาบโม่โฉวกว่าสิบแห่งในใต้หล้า ส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุดคือทะเลสาบโม่โฉวเซิ่งจิงกับทะเลสาบโม่โฉวลี่โจว เซิ่งจิง ตั้งอยู่ทางตอนเหนือ ลี่โจวตั้งอยู่ทางตอนใต้ ทะเลสาบโม่โฉวลี่โจวจึงได้รับการขนานนามว่าโม่โฉวแห่งทักษิณ เพราะมันตั้งอยู่ทางตอนใต้ของลี่โจวพอดี

ทางตอนใต้ของลี่โจวเป็นกลุ่มยอดเขาที่โดดเดี่ยว แบ่งออกเป็นยอดเขาป่าไม้กับยอดเขาพุ่มไม้เกือบร้อยยอดและกลุ่มยอดเขาโดดเดี่ยว ทะเลสาบโม่โฉวตั้งอยู่ทางเหนือของยอดเขาที่โดดเดี่ยว ยอดเขาป่าไม้และยอดเขาพุ่มไม้กระจัดกระจายอย่างเป็นระเบียบในรูปทรงที่แตกต่างกัน ทะเลสาบโม่โฉวตั้งอยู่ใกล้กับยอดเขาพุ่มไม้ แล้วล้อมรอบด้วยยอดเขาป่าไม้ เป็นเทือกเขาที่เชื่อมต่อกัน มีทะเลสาบล้อมรอบ ขุนเขาและแม่น้ำต่างอาศัยซึ่งกันและกัน รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว

ทิวทัศน์ของทะเลสาบโม่โฉวนั้นยอดเยี่ยมมาก แต่สิ่งที่ทำให้ทะเลสาบโม่โฉวมีชื่อเสียงเลื่องลือยังคงเป็นดอกบัวแห่งทะเลสาบโม่โฉว ในทะเลสาบโม่โฉวมีดอกบัวอยู่สองชนิด ชนิดแรกคือบัวที่คนเพาะพันธุ์ปลูกเองมานานหลายพันปี บัวประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นกลีบเดี่ยว มีโคนบัวขนาดใหญ่ รากบัวมีกลิ่นหอม ทั้งยังเป็นเอกลักษณ์พิเศษที่สำคัญของลี่โจวอีกด้วย ส่วนอีกชนิดหนึ่งเป็นบัวป่าแห่งทะเลสาบโม่โฉว ดอกบัวเหล่านี้ล้วนเป็นกลีบคู่ บานสะพรั่งในช่วงกลางเดือนห้าของทุกปี ระยะเวลาออกดอกมีได้ถึงสี่เดือน ดอกใหญ่ที่สุดมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึงหนึ่งฉื่อครึ่ง กลีบใหญ่ที่สุดมีมากกว่าสองร้อยกลีบ ครั้นผู้คนพบเห็นแล้วจะน่าทึ่งจนชมเปาะไม่ขาดปากเลยทีเดียว

“น้ำนี้ใสมาก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เดินอยู่บนเขื่อนหินกรวดไข่ห่านที่ก่อสร้างอย่างเรียบง่าย มองชมดอกบัวที่พลิ้วแกว่งไปมาท่ามกลางสายลมโชยแผ่วโผย โดยไม่สนใจดอกบัวโม่โฉวที่มีชื่อเสียงลือลั่นไปทั่วใต้หล้านั้น หากแต่สังเกตน้ำในทะเลสาบที่ใสแจ๋ว

“น้ำของทะเลสาบโม่โฉวใสสะอาดหวานชุ่มคอ ไม่ด้อยไปกว่าน้ำพุอันมีชื่อเสียงเลยขอรับ” พ่อบ้านของเรือนโม่โฉวเล่าด้วยรอยยิ้มว่า “แทบไม่มีบ่อน้ำใกล้ทะเลสาบโม่โฉว พวกชาวบ้านดื่มน้ำจากทะเลสาบนี้ สะใภ้ใหญ่ท่านดูสิ ที่นั่นเป็นที่กักเก็บน้ำประจำวัน ด้านนอกถูกกั้นด้วยไม้ไผ่สานตาถี่อย่างดี เพื่อไม่ให้ปลาและกุ้งเข้ามาได้ขอรับ”

“น้ำในทะเลสาบมีรสหวาน เช่นนั้นปลาและกุ้งที่นี่คงมีรสชาติดีไม่น้อย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เดินไปที่กักเก็บน้ำ ซึ่งมีน้ำเต้าครึ่งลูกแขวนอยู่ที่นั่นพอดี เห็นได้ชัดว่าใช้มาตักน้ำดื่ม นางจึงตักน้ำเล็กน้อยมาชิมคำหนึ่ง หวานอร่อยดังคาด ไม่ได้แย่ไปกว่าน้ำพุเย็นมากนัก

“ปลาจีนลี่โจวของโม่โฉวนั้นดีรสเลิศ ปลาจีนในทะเลสาบโม่โฉวไม่เหมือนใคร จะได้ลิ้มรสในตอนเที่ยง” ซั่งกวนเจวี๋ยมองท่าทีที่จริงจังของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แล้วยิ้มเล็กน้อย เขาไม่ได้คาดหวังว่ามี่เอ๋อร์จะตรวจสอบให้แน่ใจว่าน้ำในทะเลสาบนั้นหวานหรือไม่จึงทดลองชิมเอง ควรรู้ไว้ว่านางไม่เคยสัมผัสน้ำดิบ นับประสาอะไรกับน้ำในทะเลสาบแบบนี้

“มีปลาจีนเท่านั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มบางๆ พลางถามว่า “ในทะเลสาบนี้ยังมีอะไรที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอีกหรือไม่?”

“สะใภ้ใหญ่ถามผู้คนละแวกนี้ดูได้ขอรับ” พ่อบ้านหัวเราะร่วนแล้วเล่าว่า “ทะเลสาบโม่โฉวอุดมไปด้วยปลาและกุ้ง เช่น ปลาเงินเกล็ดละเอียด กุ้งมรกต หอยทะเลสาบ ปลาจี้และปลาดำล้วนมีเยอะแยะ ยังมีวิธีการทำ การกินที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใครต่างๆ มากมาย ทั้งดอกบัว ใบบัว เม็ดบัวและรากบัวก็มีคุณสมบัติพิเศษอีกด้วย ผู้น้อยได้แจ้งทางห้องครัวแล้ว ให้เตรียมทำสำรับอาหารโต๊ะพิเศษของทะเลสาบโม่โฉวอย่างดีเยี่ยมเพื่อคุณชายใหญ่กับสะใภ้ใหญ่ได้ลิ้มชิมรสขอรับ”

“ท่านพี่ ดูเหมือนปีก่อนๆ จะไม่มีการต้อนรับด้วยอาหารพิเศษของทะเลสาบโม่โฉว ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นเล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว นึกได้ว่าข้อมูลที่ซั่งกวนจิ่นให้นางนั้นไม่มีอาหารเลิศรสที่เกี่ยวกับทะเลสาบโม่โฉว

“ผู้ที่มาล้วนเป็นแขกผู้มีเกียรติจากหลายพื้นที่ นิสัยการกินของพวกเขาก็ไม่เหมือนกันเลย ไหนๆ ก็จะทำให้พวกเขาที่เป็นแขกเหรื่อได้รู้สึกเสมือนอยู่บ้าน ย่อมอยากให้พวกเขาได้ลิ้มรสอาหารบ้านเกิดแท้ๆ แต่ไม่สามารถใช้ของเหล่านี้ต้อนรับได้” ซั่งกวนเจวี๋ยอธิบาย แน่นอนสิ่งสำคัญที่สุดคือของเหล่านี้ยากจะทัดเทียมกับอาหารในห้องโถงที่สง่างาม หากนำขึ้นโต๊ะ จะไม่ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะเอาได้หรือ

“แต่ท่านพี่ ถ้าเป็นข้าละก็ ข้าอยากจะเลือกชิมอาหารท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์มากกว่างานเลี้ยงหรูหราที่เป็นแบบเดียวกันหมด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เองแทบจะไม่ได้ออกไปไหน จึงโหยหาอาหารอร่อยต่างๆ ที่เขียนอธิบายไว้ในหนังสือ แขกทั่วไปที่มางานชมดอกบัวก็เป็นแบบนี้เช่นกัน พวกนางอาจไม่ชอบอาหารเหล่านี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกนางไม่อยากรู้อยากเห็น

“มี่เอ๋อร์หมายความว่าจะให้ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติด้วยของเหล่านี้หรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยขมวดคิ้วมุ่น แขกผู้ชายยังพอได้ ลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์เดินทางรอนแรมไปทั่วทั้งเหนือใต้ ออกท่องยุทธภพ รสนิยมของพวกเขาจะไม่ได้พิถีพิถันขนาดนั้น แต่แขกผู้หญิงไม่ใช่เรื่องง่าย หากเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นจะให้พวกนางชิมอาหารบ้านๆ เหล่านี้ เกรงว่าพวกนางจะเป็นลมล้มพับไปเสียก่อน

“ข้ารู้ว่าท่านพี่กังวลอะไร” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มพูดกลั้วหัวเราะว่า “หากพูดตรงๆ ว่าจะใช้อาหารเหล่านี้เลี้ยงแขกเหรื่อมันออกจะทำให้คนทั่วไปครหาได้ แต่ถ้าให้พวกเขาเลือกเองเล่า? ข้าคิดอย่างนี้ เตรียมทั้งสองอย่าง แล้วให้แขกเลือกเอง”

“จะเลือกอย่างไรล่ะ?” ซั่งกวนเจวี๋ยครุ่นคิด หากจะให้ต้อนรับแขกด้วยสิ่งเหล่านี้ละก็ น่าอับอายมากจริงๆ แต่ถ้าเป็นเพียงหนึ่งในตัวเลือก ก็ยังถือว่าพอทำเนาได้

“ข้าอ่านข้อมูลที่ลุงจิ่นส่งมา งานชมดอกบัวจะมีกำหนดหกวัน อยู่ที่ทะเลสาบโม่โฉวสามวัน เช่นนั้นให้บ่าวไพร่ส่งรายการอาหารสำหรับวันที่สองในวันที่มาถึงทะเลสาบโม่โฉวครั้งแรก หากพวกนางยินดีจะลิ้มรสอาหารจานพิเศษเหล่านี้ เพียงใช้เวลาสักครู่ ให้สาวใช้ที่อยู่รอบตัวคุยตกลงกับพ่อบ้าน ทำสถิติในเย็นวันนั้นจากนั้นทำรายการอาหารตามสถิติในวันที่สองก็ได้แล้ว” แม้ในใจเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะคิดอย่างนี้ ก็ต้องดูว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะเห็นด้วยหรือไม่?

“ลองดูก็ได้” ซั่งกวนเจวี๋ยก็เห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงเช่นกัน และพ่อบ้านที่อยู่ด้านข้างก็พยักหน้าระรัว ทำท่าเห็นด้วย ซั่งกวนเจวี๋ยสะดุ้งเล็กน้อยแล้วยิ้มถามว่า “ลุงลู่คิดว่าความคิดนี้ดีหรือไม่?”

“นายน้อยคงยังไม่ทราบว่า ในช่วงเทศกาลดอกบัวของทุกปีเรือนโม่โฉวจะเตรียมขนมของว่างสำหรับแขกในห้องพักเหล่านี้ เป็นอาหารพิเศษของเรือนโม่โฉวไว้ต้อนรับ ตอนที่คุณหนูบางคนจะกลับ ยังจ่ายเงินซื้อกลับไปด้วย ในทางตรงกันข้าม อาหารราคาแพงเหล่านั้นส่วนใหญ่กลับไม่เป็นที่ประทับใจขอรับ” ซั่งกวนลู่ฝืนยิ้มพูดว่า “เคยบอกเรื่องนี้กับอนุภรรยาอู๋มาก่อน แต่นางเน้นประเพณีและกฎเกณฑ์มาตลอด ไม่เคยปรับเปลี่ยนเลยขอรับ”

“ลุงจิ่นรู้เรื่องนี้หรือไม่?” ซั่งกวนเจวี๋ยหน้านิ่วคิ้วขมวด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินจริงๆ แม้แต่ซั่งกวนจิ่นที่เฉลียวฉลาดมาแต่ไหนแต่ไร เขาก็ไม่รู้เรื่องนี้ด้วยจริงหรือ?

“คุณชายใหญ่ นับตั้งแต่พ่อบ้านอู๋พี่ชายของอนุภรรยาอู๋มาที่เรือนโม่โฉวแล้ว พ่อบ้านจิ่นก็ไม่ค่อยมาที่นี่ ต่อให้จะมาก็จะมาพร้อมกับพ่อบ้านอู๋ ไหนเลยจะกล้าพูดอะไรให้มากความล่ะขอรับ” ซั่งกวนลู่ส่ายศีรษะ ทัศนียภาพของทะเลสาบโม่โฉวนั้นน่าหลงใหลยิ่งนัก แต่กลับเป็นเรือนที่ห่างไกลที่สุดแห่งหนึ่งของตระกูลซั่งกวน มีบรรดาเจ้านายมาน้อยมาก วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะคุณชายใหญ่กับสะใภ้ใหญ่ไม่อยากจะพบพ่อบ้านอู๋ จึงไม่ได้มาพร้อมกับเขา

“เขาปกปิดไม่รายงานเรื่องเหล่านี้จริงหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่เคยรู้สึกดีกับอนุภรรยาอู๋เลย ค่อนข้างไม่ประทับใจต่อญาติพี่น้องของนางด้วย

“งานชมดอกบัวในทุกๆ ปีพ่อบ้านอู๋จะจัดซื้อสินค้าทุกชนิดเองกระมัง” แม้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะไม่เคยทำการค้าขายอะไรก็ตาม ทว่านายท่านเยี่ยนเป็นคนที่มองเห็นอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด เพียงแค่พูดไม่กี่คำก็จะรู้ถึงเส้นสนกลในของเรื่องนั้นแล้ว

“ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ” ซั่งกวนลู่ส่ายศีรษะแล้วเล่าว่า “ทุกอย่างถูกขนย้ายมาจากร้านค้าของตระกูลซั่งกวนเอง แล้วพ่อบ้านจิ่นจะจัดส่งมาให้ดูแลเพื่อใช้สอยทุกวันในคลังสินค้าชั่วคราว ส่วนที่เหลือจะถูกส่งกลับไปที่ร้านขอรับ”

“มี่เอ๋อร์กังวลว่าเขาจะขายทำกำไรจากของพวกนั้นหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยเข้าใจว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ต้องการถามอะไรจึงยิ้มเอ่ยว่า “ไม่มีเรื่องง่ายเช่นนี้ ลุงจิ่นจะไม่โยนการจัดซื้อของให้คนของอนุภรรยาอู๋ทำหรอก”

“ท่านพี่ไม่รู้สึกตงิดๆ กับเรื่องนี้หรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งพลางถามอีกว่า “แล้วอาหารราคาแพงที่ส่วนใหญ่ไม่มีใครแตะต้องพวกนั้นจะเปลี่ยนไปทุกวันหรือพอแขกกลับไปแล้วถึงค่อยทิ้ง”

“เปลี่ยนทุกวันแน่นอน จะไม่ให้แขกกินอาหารซ้ำวันกันได้หรอก” ซั่งกวนเจวี๋ยขมวดคิ้วเป็นปม ทันใดนั้นก็เกิดความคิดแปลกๆ ในใจแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าเขาจะขายอาหารที่ทิ้งไปพวกนั้นหรือ?”

“ไม่ ข้าไม่ได้วิตกเรื่องนั้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “ข้ากังวลปัญหาอื่น ลุงลู่ เจ้าลองคิดดูสิ อาหารที่แขกเหรื่อไม่ได้แตะต้องพวกนั้นหายไปหรือถูกแจกจ่ายไปให้เหล่าบ่าวไพร่?”

ซั่งกวนลู่ขบคิดอย่างรอบคอบชั่วขณะแล้วตอบว่า “ทุกๆ ปีอาหารที่ไม่ได้แตะต้องจะถูกแจกจ่ายให้กับพวกบ่าวไพร่ ข้ารู้เรื่องนี้แจ่มชัดขอรับ”

“แล้วพวกบ่าวไพร่ได้ปริมาณอาหารที่แจกจ่ายเป็นจำนวนเท่าใด? เป็นเวลาหนึ่งวันหรือสามวัน? มีทุกวันหรือมีเฉพาะวันสุดท้าย?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามอย่างละเอียดลออ และจู่ๆ สีหน้าของซั่งกวนเจวี๋ยก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวปั๊ด ลองนึกถึงปัญหาที่ร้ายแรงกว่านี้

“ของว่างที่เหลือจะแจกจ่ายหลังจากแขกออกไปเท่านั้น ปริมาณค่อนข้างมาก แต่สัดส่วนไม่เท่ากับทั้งสามวันรวมกันขอรับ” ซั่งกวนลู่กล่าวยืนยันหนักแน่น

“มี่เอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้าหมายถึงอะไร” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึมว่า “เจ้าหมายความว่าเขาไม่ได้ทำในวันแรก และของว่างทุกวันจะถูกแสร้งทำเป็นเททิ้งแล้วแทนที่ด้วยของสดใหม่ แต่จริงๆ ทำเพียงแค่เทเก็บไว้ ส่วนวัตถุดิบที่เขาได้รับจากคลังสินค้าก็ถูกใช้เพียงวันแรกเท่านั้น อีกสองวันที่เหลือก็ถูกเขายักยอกหรือแม้กระทั่งขายไป”

“สงสัยอยู่พอดี” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าพลางกล่าวว่า “ไม่นึกเลยว่าคนที่ฉลาดเป็นกรดอย่างอนุภรรยาอู๋จะยอมอนุญาตให้พี่ชายของนางอยู่ในเรือนโม่โฉวมานานกว่าสิบปีโดยไม่มีคำตำหนิใดๆ ทว่าเรื่องนี้เองก็ผิดปกติมาก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ลำพังแค่งานชมดอกบัวประจำปีเพียงอย่างเดียวก็ทำเงินให้เขาได้มากโข หากเปลี่ยนไปทำที่อื่น อาจไม่มีกำรี้กำไรมากเท่านี้นัก นับประสาอะไรกับเงื่อนไขที่สะดวกสบายเช่นนี้

“แล้วเจ้าเตรียมจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร? หรือข้าจะปล่อยให้ลุงจิ่นจัดการเรื่องนี้?” ซั่งกวนเจวี๋ยพูดด้วยใบหน้าเย็นชา แม้อนุภรรยาอู๋จะดูแลงานบ้าน แต่ซั่งกวนจิ่นก็มักจะถามเกี่ยวกับบัญชี เป็นสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนมาก ไม่เคยคิดว่าที่นี่จะมีช่องโหว่ใหญ่ขนาดนี้ เมื่อคิดถึงต้นทุนงานชมดอกบัวต่อปี แค่อาหารว่างเรื่องเดียวไม่ต่ำกว่าแปดเก้าพันตำลึง ถ้าเป็นจริงอย่างที่มี่เอ๋อร์คาดเดา ทว่างานนี้ อนุภรรยาอู๋จะคว้าได้ถึงสี่ห้าพันตำลึง แล้วคนอื่นล่ะ? เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีช่องโหว่มากมายเพียงใด

“เรื่องนี้ไม่รีบร้อน แจ้งให้ลุงจิ่นรู้ได้ แต่ถ้าจะจัดการ ทำไมไม่ลองรอจนถึงงานชมดอกบัวแล้วจับให้ได้คาหนังคาเขาค่อยว่ากัน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะ หากสิ่งต่างๆ เป็นไปตามที่ตนคาดไว้ ถ้าอย่างนั้นเหตุเกิดครั้งล่าสุดก็คือปีก่อน ด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวของอนุภรรยาอู๋ ร่องรอยหลักฐานทั้งหมดจะต้องถูกทำลายจนราบไปตั้งนานแล้วแน่นอน หากคิดจะจับจุดอ่อนของนางให้อยู่หมัดไม่ใช่เรื่องง่าย แทนที่จะแหวกหญ้าให้งูตื่นจนคว้าน้ำเหลว มิสู้รอให้นางลงมือทำเองจะดีกว่า

“มี่เอ๋อร์ไม่กลัวว่าปีนี้นางจะหยุดทำหรือ?” ยิ่งซั่งกวนเจวี๋ยคิดมากเท่าใดก็ยิ่งรู้สึกว่ามี่เอ๋อร์คาดเดาได้สมเหตุสมผลมากขึ้นเท่านั้น หากไม่มีผลประโยชน์เพียงพอ อนุภรรยาอู๋จะไม่ปล่อยให้คนในครอบครัวของนางมาอยู่ในเรือนโม่โฉวอันห่างไกลที่สุดนานกว่าสิบปีเด็ดขาด

“คนที่ลงมือทำบ่อยแล้วจะให้นางหยุดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อีกอย่าง ปีนี้นางหยุด ปีหน้าก็จะหมดโอกาส ท่านพี่ หากปีนี้จะแทนที่รายการอาหารสูตรดั้งเดิมด้วยอาหารจานพิเศษและได้ผล ถ้าอย่างนั้นปีหน้าก็จะไม่ใช้ของพวกนั้นอีกแม้จะฟุ่มเฟือยหรูหรา แต่ทุกคนก็เห็นจนชินตา อาหารบนโต๊ะไม่น่าสนใจแล้ว เช่นนั้นคิดจะหวังพึ่งพางานชมดอกบัวเพื่อสร้างเม็ดเงินมหาศาลก็ไร้โอกาส” หากแต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้กังวลว่าอนุภรรยาอู๋ผู้นี้อาจจะคิดถึงจุดนี้ได้แล้วหยุดชั่วคราว กระนั้นพี่ชายของนางเป็นแค่ทาสที่ต่ำต้อยกว่า จะมีนิสัยหวั่นเกรงแบบนั้นได้อย่างไร คงจะไม่พลาดโอกาสดีๆ ที่มีมาประจำปีอย่างแน่นอน

สิ่งเล็กๆ ที่น่ากลัวนี้พร้อมจะวางกับดักให้อนุภรรยาอู๋หลงกลเข้าไปติดได้หรือไม่? ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าคิดจะทำอะไร ลุงลู่ เรื่องนี้โปรดปิดปากของเจ้าให้สนิท ข้าอยากดูว่าพวกเขาจะทำสิ่งที่ไม่อาจยอมรับเช่นนั้นได้อย่างไร”

ถ้าอนุภรรยาอู๋และคนอื่นๆ ให้ของว่างที่เหลือทานไม่หมดกับแขกเหรื่อครั้งแล้วครั้งเล่าจริง คนที่เสียหน้าคือตระกูลซั่งกวน นับประสาอะไรกับซั่งกวนฮ่าวจะไว้หน้าอนุภรรยาอู๋ ต่อให้นางจะมีค่าเท่าไข่มุก ก็จะทำให้นางเสียใจไปตลอดชีวิต

——————