ตอนที่155 อนาคตขึ้นอยู่กับเขาแล้ว
ทั้งสี่ล้วนเป็นปรมาจารย์แพทย์แผนจีน หลังจากได้ฟังคำอธิบายของฉีเล่ย พวกเขาก็แสดงท่าทีครุ่นคิดอย่างหนัก
คนแรกที่ได้สติตื่นขึ้นมาจากภวังค์ก่อนก็คือเป่ยฉวนเทียน เขาตบต้นขาตนเองไปหนึ่งทีอย่างแรงและกล่าวตอบไปว่า
“ถ้าเปรียบเทียบในเรื่องประสิทธิภาพของการรักษาอย่างเดียว ฉันว่าฉีเล่ยน่าจะชนะขาดเลยนะ รอบนี้ถือว่าฉันเป็นฝ่ายแพ้ก็แล้วกัน”
ปิงโหย่วหลินขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยพร้อมกับแย้งขึ้นว่า
“แม้ว่าประสิทธิภาพการรักษาของยาหลงตัน(มังกรคะนอง)จะดีกว่าก็จริง แต่ผลข้างเคียงของมันกลับรุนแรงมาก ไม่เหมาะสำหรับคนไข้ที่ผู้สูงอายุหรือคนไข้ที่มีร่างกายอ่อนแอ ฉันคิดว่ารอบนี้ควรให้เสมอกันนะ”
ฉีเล่ยพยักหน้าเห็นชอบไม่ต่างกัน
“ผมเองก็คิดเช่นเดียวกับอาวุโสปิงครับ ถ้าให้เปรียบเทียบกันจริงๆ แม้ว่าใบสั่งยาของผมจะดูมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า แต่ในทางตรงกันข้ามกลับค่อนข้างอันตรายอยู่ไม่น้อย ในรอบนี้ผมว่าควรให้เสมอกันจะดีกว่าครับ”
เป่ยฉวนเทียนกล่าวตอบกลับจากใจจริง
“ในเมื่อเธอเองก็เห็นด้วยแบบนี้ ฉันก็ไม่ขอคัดค้านเหมือนกัน เอาล่ะรอบนี้ถือว่าเสมอ”
ปิงโหย่วหลินกล่าวต่อว่า
“เพิ่งวินิจฉับรอบแรกก็ดุเดือดขนาดนี้แล้ว แต่รอบสองเราจะมุ่งเน้นไปที่ใบสั่งยา”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองไม่มีข้อโต้งแย้งใดๆ เป่ยจ้าวหยวนจึงได้เดินเข้ามาสอบถามหมายเลขคนไข้รายต่อไปที่ผู้แข่งขันทั้งสองคนต้องการสุ่มเรียก
ครั้งนี้เป่ยฉวนเทียนยังคงขอให้ฉีเล่ยเลือกหมายเลขตามต้องการอีกครั้ง แต่ฉีเล่ยปฏิเสธและให้เกียรติเป่ยฉวนเทียนเป็นฝ่ายสุ่มเลือกคนไข้เองบ้าง
ซึ่งชายชราก็เลือกหมายเลข3โดยแทบไม่ต้องเสียเวลาครุ่นคิด เพราะเป็นตัวเลขโปรดปรานของเขา
“กัวซูจ้าน เพศชาย อายุ…อายุ1ขวบ”
“1ขวบ? ทารก?”
ทุกคนต่างหันไปมองหน้าและสบสายตากันในทันที พวกเขาไม่คิดเลยว่า คนไข้ครั้งนี้จะเป็นเพียงแค่เด็กทารก
ปิงโหย่วหลินรีบหันไปถามผู้เข้าประลองทั้งสองคนทันที
“มีใครต้องการจะเปลี่ยนไหม?”
ฉีเล่ยส่ายหน้าตอบเป็นเชิงว่าเขาไม่มีปัญหาอะไร ส่วนเป่ยฉวนเทียนเองก็โบกมือปฏิเสธเช่นกัน
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญคนไข้รายต่อไปเข้ามาได้เลย”
ผ่านไปครู่หนึ่ง คุณแม่วัยใสก็อุ้มลูกน้อยไว้ในอ้อมแขนเดินตรงเข้ามาอย่างนุ่มนวล
ฉีเล่ยเอ่ยถามเสียงเบาว่า
“เด็กคนนี้เป็นอะไรมาเหรอครับ?”
คุณแม่วัยใสเงยหน้ามองอย่างกังวลใจและเอ่ยตอบไปว่า
“ดูเหมือนเขาจะอิ่มอยู่ตลอดเวลา อาเจียนเป็นระยะ ตอนนี้ไม่ได้กินอะไรมาหนึ่งวันเต็มๆแล้วค่ะ”
หลังจากทราบอาการ เป่ยฉวนเทียนก็วานให้เป่ยจ้าวหยวนไปเตรียมกล่องเข็มเงินมาให้ทันที ในทางกลับกัน ฉีเล่ยกลับรับเด็กจากมือคุณแม่วัยใสมาอุ้มไว้ในอ้อมแขนของตน จากนั้นจึงได้ใช้นิ้วทั้งสองนวดคลึงบริเวณแผ่นหลังของเด็กน้อยเบาๆอย่างต่อเนื่อง
หลังจากนั้นจึงได้หันไปพูดกับคุณแม่วัยใสคนนั้นว่า
“ความจริงแล้วลูกคุณแม่ไม่ได้เป็นอะไรหนักเลยนะครับ เพียงแค่ให้นวดบริเวณแผ่นหลัง หน้าอก ฝ่ามือและต้นขาของน้องเบาๆ ทำแบบนี้ต่อเนื่องสักนาที วันละ2-3ครั้ง เวลาสอนเด็กให้ทานอาหารเองก็ควรดูแลน้องให้ใกล้ชิด อย่าปล่อยให้น้องยัดอาหารเข้าปากครั้งละมากๆก็พอครับ
ทีแรกเด็กทารกยังอยู่ในอาการ้องไห้งอแง แต่หลังจากที่ฉีเล่ยได้ทำการนวดคลึงบริเวณที่กล่าวไปให้อย่างเบามือ เสียงร้องก็ค่อยๆเงียบลง และแปรเปลี่ยนมาอยู่ในท่านอนหลับปุ๋ยไปเป็นที่เรียบร้อย ดูสีหน้าของเด็กน้อยในเวลานี้ช่างน่ารักน่าชังจริงๆ
คุณแม่วัยใสค่อยๆ ยื่นมือออกไปรับลูกของตนเองมาจากอ้อมแขนของฉีเล่ยพร้อมเอ่ยขอบคุณทันที
“ขอบคุณคุณหมอมากเลยค่ะ”
เป่ยฉวนเทียนที่เพิ่งเดินไปรับกล่องเข็มเงิน และกำลังเปิดประตูเดินกลับเข้ามาก็ถึงกับตกใจ เขารีบวางกล่องเข็มในมือลงบนโต๊ะข้างตัว พลางส่ายหัวไปมาช้าๆ พร้อมกับคลี่ยิ้มขื่นในขณะที่เอ่ยขึ้นว่า
“ฉันแพ้แล้ว รอบนี้ฉันมั่นใจว่าตัวเองแพ้ฉีเล่ยอย่างราบคาบ”
เมื่อเห็นคุณปู่ของตนยอมจำนนทันทีที่เปิดประตูเดินเข้าไปในห้องรตรวจ เป่ยจ้าวหยวนก็รู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย และรีบเอ่ยให้กำลังใจว่า
“คุณปู่ครับ อย่าเพิ่งถอดใจสิครับ ฉีเล่ยยังไม่ทันเขียนใบสั่งยาเลย”
แม้ว่าตอนนี้เป่ยจ้าวหยวนจะรู้สึกชื่นชมทักษะทางการแพทย์ของฉีเล่ยมากเพียงใด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องการให้คุณปู่ของเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้การประลองสักหน่อย
ป้ายประจำตระกูลเป็นมรดกตกทอดของตระกูลเป่ยมาอย่างช้านาน ถ้าหากแม้แต่ปู่ของเขายังพ่ายแพ้ให้กับฉีเล่ยแบบนี้ นั่นไม่เท่ากับว่าชื่อเสียงทั้งหมดที่สร้างมาจะพังพลายลงจนไม่มีเหลือเลยอย่างนั้นหรือ?
เป่ยฉวนเทียนเหลือบมองหลานชายผู้อ่อนต่อโลกคนนี้เล็กน้อย ก่อนจะส่ายหัวและถอนหายใจเอ่ยบอกไปว่า
“เขาได้เขียนใบสั่งยาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จ้าวหยวน แกต้องจำไว้ให้ดีนะ สิ่งที่เรียกว่าใบสั่งยามันไม่จำเป็นต้องเขียนออกมาเป็นตัวหนังอักษรลงบนแผ่นกระดาษเท่านั้น มันเป็นเรื่องที่สามารถประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับโอกาส เมื่อครู่ฉีเล่ยเพิ่งจะบอกกำชับวิธีรักษากับแม่เด็กไปหมาดๆ นั่นเท่ากับว่าฉีเล่ยได้รักษาคนไข้ และเขียนใบนั่งยาเสร็จก่อนที่ฉันจะเตรียมเข็มพร้อมด้วยซ้ำไป”
เป่ยจ้าวหยวนเอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า
“แต่เพราะคนไข้ยังเด็กเกินไปที่จะกินยาสมุนไพรจีนได้ ดังนั้นเราจึงเตรียมการรักษาด้วยวิธีการฝังเข็มแทนเพื่อบรรเทาอาการ แต่วิธีรักษาของฉีเล่ยคืออะไรเหรอครับ?”
เป่ยฉวนเทียนยังไม่ได้ตอบคำถามของหลานชายในทันที แต่ย้อนถามกลับไปว่า
“จ้าวหยวน แกลองคิดดูนะ ทำไมฉีเล่ยถึงได้สั่งยาแรงขนาดนั้นให้กับคนไข้รายแรก”
เป่ยจ้าวหยวนยกมือขึ้นถูคางไปมาและกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ก่อนจะกล่าวตอบไปว่า
“อาจเป็นเพราะฉีเล่ยกังวลเรื่องอาการที่หนักของคนไข้ จึงเลือกที่จะใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์รุนแรง ทั้งนี้ยังสามารถช่วยย่นระยะเวลาการรักษาได้อีกด้วย”
เป่ยฉวนเทียนพยักหน้าและตอบกลับไปทันที
“ถูกต้อง อาการเจ็บป่วยของคนไข้คนแรกหนักหนาดุจขุนเขา อาจกล่าวได้ว่าเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ป่วยที่อยู่ในวัยทำงานซึ่งนับว่าเป็นช่วงรุ่งโรจน์ของชีวิต ไม่เพียงเขาจะต้องแบกรับภาระหน้าที่จากสภาพสังคมเท่านั้น แต่เขายังต้องรับแรงกดดันมหาศาลจากภาระครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดู ด้วยเหตุผลนี้ ฉีเล่ยจึงเลือกที่จะให้ยาแรง เพราะการให้ยาเบาจะทำให้คนไข้ค่อยๆฟื้นตัวได้ช้ายังไงล่ะ?”
เป่ยจ้าวหยวนตระหนักถึงจุดนี้ได้ในทันใด และกล่าวตอบกลับไปทันทีว่า
“ที่แท้ก็เป็นเพราะแบบนี้นี่เอง ฉีเล่ยถึงได้ตัดสินใจที่จะสั่งยาหลงตันให้คนไข้! ถ้าจะให้คนไข้หยุดงานเพื่อรักษาตัวคงจะไม่เหมาะเท่าไหร่นัก เขาก็เลยเลือกยาแรงเพื่อรักษาอาการของคนไข้ให้หายขาดภายในระยะเวลาที่สั้นที่สุด!”
เป่ยฉวนเทียนพยักหน้าและถามต่อว่า
“ใช่แล้ว ถ้าอย่างนั้นในกรณีของเด็กคนนี้ล่ะ? ในฐานะคนเป็นพ่อเป็นแม่ พวกเขาควรกังวลเรื่องอะไรมากที่สุด?”
จะว่าไป เป่ยจ้าวหยวนก็นับเป็นคนหัวไวที่สุดคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ คำว่า‘คนโง่’ค่อนข้างห่างไกลจากตัวเขามากนัก
ทันทีที่คุณปู่ทิ้งคำบอกใบ้ให้แบบนี้ เขาก็ร้องอ๋อขึ้นในทันที
“ก็ต้องกังวลเรื่องโรคแทรกซ้อนและผลข้างเคียงหลังจากการรักษาสิครับ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นห่วงเรื่องพัฒนาการของตัวเด็กเองด้วย และเพราะแบบนี้คุณปู่ถึงเลือกที่จะรักษาด้วยการฝังเข็ม แทนการจ่ายยาโดยตรง”
เป่ยฉวนเทียนที่เห็นหลานชายตัวเองเข้าใจแบบนี้ ก็แอบหายใจหายใจด้วยความโล่งอกและกล่าวว่า
“ถูกต้อง เด็กน้อยนับว่ามีร่างกายที่บอบบางที่สุด ถ้าแกเป็นแม่คนนั้น หากให้เลือกระหว่างลูกตัวเองต้องโดนฝังเข็มกับแค่นวดเบาๆแล้วหาย แกจะเลือกวิธีไหน? ด้วยวิธีรักษาของฉีเล่ย ไม่เพียงจะช่วยรักษาอาการของเด็กได้โดยไร้ซึ่งความเสี่ยงและความเจ็บปวดให้กับเด็ก แต่มันยังสร้างความมั่นใจและโล่งใจให้แก่ผู้เป็นพ่อและแม่ได้อีกด้วย”
“แม้ว่าฉันเองก็ไม่ได้วางแผนจ่ายยาให้กับเด็กคนนี้ แต่เมื่อเทียบกับฉีเล่ยแล้ว วิธีของเขาอ่อนโยนต่อเด็กกว่ามาก และที่สำคัญเส้นลมปราณของเด็กวัยนี้ยังมีขนาดที่เล็กมาก การจะฝังเข็มจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ถ้ามีวิธีที่ปลอดภัยกว่านี้และได้ผลเหมือนกัน เป็นฉันก็ยกให้วิธีนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่านะ”
เป่ยฉวนเทียนเหลือบมองฉีเล่ยที่ยังคงสนทนากับคุณแม่วัยใสอยู่ ก่อนจะเอ่ยชมออกไปจากใจจริง
“ฉีเล่ยมีทักษะการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมมาก และที่สำคัญที่สุดก็คือ เขากำลังพยายามหาวิธีนำศาสตร์แพทย์แผนจีนให้กลับมาอยู่ใกล้ตัวทุกคนให้ได้มากที่สุดอยู่ โดยการประยุกต์ทักษะการรักษาปรับให้เข้ากับตัวคนไข้แต่ละคน ฉันรู้สึกได้นะว่า ชายหนุ่มคนนี้พยายามจะทำให้ทุกคนกลับมาเชื่อมั่นในการแพทย์แผนจีนอีกครั้ง”
หลังจากพูดถึงเรื่องนี้ไป เป่ยฉวนเทียนก็ได้แต่ถอนหายใจยาว ก่อนจะเอ่ยพูดต่อ
“จากนี้ต่อไป อนาคตของการแพทย์แผนจีนขึ้นอยู่กับเขาแล้วล่ะ”
“คุณปู่…”
เป่ยจ้าวหยวนประหลาดใจอย่างยิ่งที่ได้ยินแบบนั้น เพราะร้อยวันพันปีเขาไม่เคยเห็นคุณปู่เคยกล่าวชื่นชมใครมากขนาดนี้มาก่อนเลย
เขาทราบดีว่า ความปรารถนาสูงสุดของคุณปู่คือการรวบรวมปรมาจารย์แพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียงจากทั่วปักกิ่ง เพื่อร่วมกันก่อตั้งสมาคมส่งเสริมและพัฒนาการแพทย์แผนจีนขึ้นมา แต่สุดท้ายมันก็ล้มเหลว
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีความสามารถพอที่จะทำให้เป็นจริง แต่การแพทย์แผนจีนกลับไม่สามารถเข้ากับสภาพสังคมในยุคปัจจุบันได้ต่างหาก
ยกตัวอย่างเช่น การต้มยาจีน แม้ว่าปัจจุบันจะมีเครื่องต้นยาจีนแบบอัตโนมัติให้อยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบกับยาปฏิชีวนะของการแพทย์ตะวันตกที่สามารถกลืนแคปซูลลงท้องได้ในทันที มิหนำซ้ำยังไม่มีรสชาติที่ขมเหมือนกับยาจีน แล้วใครจะโง่ไปทนเสียเวลาต้มทนยาจีน และทนดื่มรสชาติที่ขอมของมันล่ะ?
แต่ตอนนี้ปู่ของเขาถึงกับเอ่ยปากเองเลยว่า
‘อนาคตของแพทย์แผนจีนขึ้นอยู่กับฉีเล่ยแล้ว…นี่มันชัดเจนพอแล้วว่าคุณปู่ยอมรับนับถือฝีมือของอีกฝ่ายมากเพียงใด?’
ในขณะที่ฉีเล่ยกำลังต่อสู้เพื่อกู้คืนศักดิ์ศรีของการแพทย์แผนจีนขึ้นมาอีกครั้ง แล้วหลายปีมานี้เขากำลังทำบ้าอะไรอยู่? หลงไปกับชื่อเสียงคำว่าเข็มเทวะ? หลงไปกับอิทธิพลอำนาจที่มี? และเที่ยวโอ้อวดฝีมือเล่นไปวันๆ?
เมื่อคิดได้แบบนี้แล้ว เป่ยจ้าวหยวนก็ถึงกับรู้สึกละอายใจอย่างมาก
เป่ยฉวนเทียนยังกล่าวอีกว่า
“จ้าวหยวน ไม่ว่าในวันข้างหน้าฉีเล่ยจะต้องการให้ช่วยเหลืออะไร แกก็ห้ามปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เข้าใจไหม?”
“ครับคุณปู่ ผมเข้าใจดีครับว่าอะไรเป็นอะไร ถ้ายืนเคียงข้างเขาในวันนี้ อนาคตของพวกเราจะรุ่งเรืองไม่มีที่สิ้นสุด”
“เยี่ยมมาก”
เป่ยฉวนเทียนยกมือขึ้นมาตบไหล่หลานชายอย่างแรงด้วยความภาคภูมิใจ