ตอนที่ 207 พรีเซนเตอร์สัญญาผูกขาดเพียงแบรนด์เดียวของจือชิ่น / ตอนที่ 208 สมฉายาเจ้าคิดเจ้าแค้น

ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย

ตอนที่ 207 พรีเซนเตอร์สัญญาผูกขาดเพียงแบรนด์เดียวของจือชิ่น

 

 

แต่ทว่า ยังไม่ทันที่ทุกคนจะได้พยักหน้าตอบรับจนครบ จู่ๆ โทรทัศน์ในห้องรับแขกก็มีภาพของรายงานข่าวสดปรากฎขึ้นบนหน้าจอ

 

 

ทุกคนหันไปมอง เจียงหรงหรงขมวดคิ้วมุ่นก่อนใคร “นี่มัน…เจ้าพ่อจอเงินคนใหม่ใช่หรือเปล่า ย่าจำได้ว่าละครเรื่องใหม่ของเธอ เขาเล่นด้วยใช่ไหม”

 

 

เฉินเชียนโหรวพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ใช่ค่ะ ตอนนี้เขาเป็นที่นิยมมาก ได้ข่าวมาว่าเขาขี้เหวี่ยงเอามากๆ ก็เลยไม่มีใครกล้าพูดกับเขา แต่ว่าปีที่แล้วตอนหนูไปต่างประเทศก็มีโอกาสได้รู้จักกับเขาอยู่เหมือนกัน เคยคุยกันบ้างสองสามประโยค…”

 

 

เจียงหรงหรงพยักหน้า “อืม ในเมื่อเขากำลังเป็นที่นิยม เธอก็ทำความรู้จักกับเขาไว้ให้ดีแล้วกัน…”

 

 

เฉินเชียนโหรวพยักหน้าด้วยท่าทางเชื่อฟัง “หนูทราบ…”

 

 

ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจนจบ ก็ดันเหลือบไปเห็นพาดหัวข่าวในโทรทัศน์ที่อยู่ตรงแถบล่างของหน้าจอเสียก่อน รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอถึงกับค้างแข็งในทันที

 

 

[เจ้าพ่อจอเงิน ฉู่อี้ ผลงานแรกหลังจากกลับเข้าประเทศ ร่วมเซ็นสัญญาผูกขาดเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้จือชิ่นเพียงแบรนด์เดียว!]

 

 

“เชียนโหรว เป็นอะไรไป” หยางลี่เวยที่อยู่ข้างๆ สังเกตได้ถึงความผิดปกติของเธอ

 

 

เฉินเชียนโหรวเม้มริมฝีปากที่แข็งทื่อ สีหน้าไม่สู้ดีนัก

 

 

“ไปกันเถอะ ตั้งแต่เมื่อคืนลูกก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย คงจะหิวแย่แล้วสินะ”

 

 

ที่หยางลี่เวยพูดก็ไม่ผิด เธอหิวจนจะตายอยู่แล้ว

 

 

แต่ตอนนี้ เธอยังจะมีใจไปกินอะไรได้อีก

 

 

ให้ตายสิ ทำไมถึงต้องแถลงข่าวตอนเที่ยงแบบนี้ด้วย

 

 

จะรอให้เธอกินข้าวเที่ยงเสร็จก่อนไม่ได้เลยหรือยังไง

 

 

“ทุกคนไปกินกันก่อนเลยค่ะ หนูขอขึ้นไปโทรศัพท์ข้างบนแป๊บนึงนะคะ”

 

 

พูดจบเธอก็รีบขึ้นไปชั้นบนทันทีโดยไม่สนใจหยางลี่เวยที่กำลังพยายามจะยื้อเธอไว้

 

 

 

 

ส่วนทางด้านของซูซื่อทั้งบริษัท ไม่ว่าจะเป็นพนักงานตำแหน่งเล็กหรือใหญ่ต่างก็วางมือเตรียมตัวลงไปกินข้าวเที่ยงกันแล้ว

 

 

แต่ปรากฏว่ากลับเห็นข่าวนี้กันโดยไม่ทันตั้งตัว

 

 

ต้องเข้าใจก่อนว่า ช่วงหลายวันมานี้ ทั้งบริษัทต่างก็ขะมักเขม้นอยู่กับการทำเรื่องขอขึ้นห้างเปิดใหม่ของป๋อซื่อ และพวกเขาก็ค่อนข้างมั่นใจอย่างยิ่งว่าจะต้องทำสำเร็จ

 

 

ในประเทศ คู่แข่งของพวกเขา หากนับไปนับมาก็ดูเหมือนจะมีเพียงแค่จือชิ่นที่พอจะเทียบชั้นเป็นคู่แข่งกับพวกเขาได้บ้าง อีกทั้งตือชิ่นก็ไม่ได้เป็นบริษัทใหญ่อะไรมากนัก จึงไม่ค่อยได้อยู่ในสายตาสักเท่าไหร่

 

 

แต่เจ้าของฉายาเจ้าพ่อจอเงินคนล่าสุดอย่างฉู่อี้กลับไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ผลิตภัณฑ์ของคู่แข่ง

 

 

ในเวลาแบบนี้น่ะเหรอ

 

 

เพราะเรื่องที่ถูกแชร์ในอินเตอร์เน็ตทำให้สถานการณ์ของบริษัทยังไม่กลับสู่ภาวะปกติดี

 

 

พวกเขาได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับเปิดไพ่ไม้ตายออกมา ความแตกต่างกันคนละชั้นแบบนี้ ทำให้พวกเขาร่วงลงไปเป็นรองอีกฝ่ายในทันที

 

 

ส่วนซูเหิง หลังจากแยกกับเฉินฝานซิงแล้วเขาก็กลับเข้าบริษัท ตอนนี้กำลังเผชิญหน้าอยู่กับเหล่าหุ้นส่วนทั้งหลายอยู่ในห้องประชุม เพิ่งจะหว่านล้อมให้พวกเขาโอนอ่อนลงไปได้และกำลังเตรียมตัวจะเลิกประชุม

 

 

ปรากฏว่าหน้าจอโทรทัศน์ที่อยู่มุมห้องประชุมกลับแสดงการถ่ายทอดสดรายงานข่าวหนึ่งขึ้นมา

 

 

ถึงแม้โทรทัศน์ในห้องประชุมจะไม่ได้เปิดเสียง แต่เหล่าหุ้นส่วนกลับพากันตีโต๊ะด้วยความโกรธเกรี้ยว

 

 

“นี่มันเรื่องอะไรกัน”

 

 

ซูเหิงคิ้วขมวด มองตามสายตาของพวกเขาไป ในขณะที่เหลือบไปเห็นพาดหัวข่าวที่มุมล่างของหน้าจอ หน้าของเขาก็เปลี่ยนสีในทันที

 

 

มีใครบางคนถึงกับถลึงตาใส่เลขาด้านข้าง ก่อนจะตะโกนออกมาด้วยความโมโห “เปิดเสียงเดี๋ยวนี้”

 

 

เจ้าพ่อจอเงินเซ็นสัญญาผูกขาดเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้จือชิ่นเพียงแบรนด์เดียว

 

 

จู่ๆ คำพูดที่เฉินฝานซิงพูดกับเขาเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ก็ดังก้องข้างหู

 

 

‘ฉัน เฉินฝานซิง มีปัญญาช่วยให้บริษัทที่กำลังจะล้มบริษัทหนึ่งค่อยๆ กลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง ก็มีปัญญาทำให้มันค่อยๆ พังลงไปทีละนิด ทีละนิด ได้เหมือนกัน’

 

 

 ใบหน้าหล่อเหลาเปลี่ยนสีในทันที

 

 

ที่แท้ ที่เฉินฝานซิงพูดคือเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอ

 

 

ไม่…

 

 

ซูเหิงรีบส่ายหน้ารัวเพื่อคัดค้านความคิดนี้

 

 

 ฉู่อี้เซ็นสัญญารับเป็นพรีเซ็นเตอ ร์เรื่องนี้จะต้องติดต่อเจรจากันไว้ก่อนล่วงหน้าอยู่แล้ว แต่เขาเพิ่งได้เจอกับเฉินฝานซิง

 

 

เพราะฉะนั้น เฉินฝานซิงไม่ได้มุ่งเป้ามาที่เขาโดยตรง

 

 

 เธอก็แค่บังเอิญทำงานอยู่ที่จือชิ่นพอดี ทั้งหมดที่เธอทำเพียงเพราะเรื่องงาน…

 

 

ขณะนั้นเอง เสียงโทรทัศน์ก็ดังขึ้น นักข่าวกำลังสัมภาษณ์

 

 

“ฉู่อี้ คุณเพิ่งกลับเข้าประเทศมาได้ไม่กี่วัน ไม่ทราบว่าคุณเคยได้ลองสัมผัสกับผลิตภัณฑ์ของจือชิ่นบ้างหรือยัง”

 

 

“ยังครับ”

 

 

 

 

 

ตอนที่ 208 สมฉายาเจ้าคิดเจ้าแค้น

 

 

“ยังครับ”

 

 

“…”

 

 

ไม่ต้องตรงไปตรงมาขนาดนี้จะได้ไหม

 

 

ตัวเองยังไม่เคยลองใช้จริง ใครจะไปกล้าซื้อของนายกันล่ะ

 

 

ช่างเถอะ อาจจะมีคนซื้อจริงๆ ก็ได้

 

 

เฉินฝานซิงที่นั่งอยู่ในห้องทำงานเมื่อได้ยินประโยคนี้ของฉู่อี้ก็ยกมือขึ้นมานวดขมับด้วยท่าทางหนักใจ

 

 

เจ้าหมอนี่!

 

 

ฉู่อี้นิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นแอบเม้มริมฝีปากก่อนจะพูดต่อหน้ากล้องต่อไปว่า

 

 

“แต่ว่าผมชื่นชมนักปรุงน้ำหอมท่านนั้นมาก…ผมใช้น้ำหอมที่เธอเป็นคนปรุงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว และไม่คิดจะเปลี่ยนด้วย”

 

 

เฉินฝานซิงถอนใจอย่างโล่งอก

 

 

จริงๆ เลย…

 

 

ยังกล้าล้อเธอเล่นผ่านหน้ากล้องได้อีก!

 

 

แต่เห็นแก่ที่เขาโฆษณาให้เธอ ไว้ค่อยไปชำระบัญชีกันทีหลังแล้วกัน

 

 

เฉินฝานซิงยิ้มมุมปาก ได้ประโยคนี้ของฉู่อี้แล้ว ต่อให้เฉินเชียนโหรวอยากจะพูดจาให้ร้ายเธอเพื่อช่วยซูซื่อ เห็นทีว่าคงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว

 

 

ถ้าจะเทียบคะแนนความเป็นที่นิยมและจำนวนแฟนคลับกับฉู่อี้ เธอยังห่างไกลลิบลับ!

 

 

หากเป็นเมื่อก่อน เฉินเชียนโหรวก็อาจจะกล้าเสี่ยงดูสักตั้ง เพราะเธอกับเขาไม่ได้อยู่ในสายงานเดียวกัน

 

 

แต่ฉู่อี้เพิ่งจะกลับเข้าประเทศ เธอก็คิดจะประชันกับเขาเลย

 

 

ถ้าเธออยากรนหาที่ตายไวขนาดนั้นล่ะก็…

 

 

เฉินฝานซิงเลิกคิ้ว ก่อนจะวางปากกาที่ควงอยู่ในมือลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นเดินออกไปเรียกสวี่ชิงจือให้ออกไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน

 

 

ทำไมถึงต้องแถลงข่าวตอนเที่ยงน่ะเหรอ

 

 

เพราะเธอไม่อยากให้ใครบางคนได้กินข้าวเที่ยงอย่างสบายอกสบายใจอย่างไรล่ะ

 

 

อย่างไรก็ต้องทำให้สมกับที่ได้ฉายาว่าคนเจ้าคิดเจ้าแค้นคำนี้หน่อยสิ!

 

 

ทางด้านสถานการณ์ในห้องประชุมของซูซื่อ สีหน้าของเหล่าหุ้นส่วนหลังจากได้ยินฉู่อี้พูดแบบนั้นออกไปก็แย่จนไม่รู้จะแย่อย่างไรแล้ว

 

 

“คิดไม่ถึงว่าเจ้าพ่อจอเงินฉู่จะมีความเป็นไปเป็นมากับผู้อำนวยการเฉินแบบนี้มาก่อนด้วย”

 

 

“อย่าลืมสิ ตอนนี้เธอน่ะไม่ใช่ผู้อำนวยการเฉินของพวกเราอีกแล้ว ตอนนั้นยังมีใครบางคนยืนยันจะปลดเธอออกเพียงเพราะต้องการเอาคนรู้ใจของตัวเองมารับตำแหน่งแทน”

 

 

“พอมาดูสภาพบริษัทในตอนนี้ ไม่รู้ว่ากลายเป็นอะไรไปแล้ว Rosanna อะไรกัน ฉันรู้แค่ว่าข่าวฉาวเมื่อวานของเธอเกือบจะทำให้บริษัทพังไม่เป็นท่า ดาราใหญ่งั้นเหรอ เหอะ เหอะ จะเทียบกับเจ้าพ่อจอเงินระดับนานาชาติได้เหรอ”

 

 

“ผู้อำนวยการเฉิน…คุณเฉินน่ะ หากต้องการให้เธอปรุงน้ำหอม เธอก็ปรุงให้ได้ หากต้องการคอนเน็คชั่น เธอก็มีครบ ทิ้งแตงโมไปเก็บงา[1]ชัดๆ”

 

 

“คราวนี้เป็นยังไงล่ะ เธอไปอยู่ในบริษัทคู่แข่งแล้ว จากเดิมเป็นแค่บริษัทเล็กๆ ที่แทบจะไม่อยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ พอมีคุณเฉินก็ทำให้เกมพลิกกลายเป็นฝ่ายนำไปซะแล้ว”

 

 

“แล้วย้อนกลับมาดูเฉินเชียนโหรวอีกที เหอะเหอะ…ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไรกันแน่”

 

 

ซูเหิงหน้าเขียวปั้ด “กรรมการจาง ระวังคำพูดของคุณหน่อย!”

 

 

กรรมการจางตบโต๊ะเสียงดัง ปั้ง! ก่อนจะพูดด้วยความเกรี้ยวกราด

 

 

“หรือที่ผมพูดมันไม่จริง ที่บริษัทอยู่ในสภาพแบบนี้ตอนนี้ ไม่ได้เป็นเพราะปัญหาความสัมพันธ์ของคุณหรอกเหรอ ถ้าเกิดผู้อำนวยการเฉินยังอยู่ในบริษัท เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นเหรอ ผมสิที่ต้องถาม บริษัทเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ดาราใหญ่ของพวกเราล่ะ Rosanna ของพวกเราไปอยู่ไหนแล้ว ให้ผมระวังคำพูดงั้นเหรอ รอให้คุณเอาเงินที่ขาดทุนไปคืนกลับมาให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาพูดคำนี้กับผม”

 

 

กรรมการจางพูดจบก็เดินออกจากห้องประชุมไปทันที ทั้งยังปิดประตูอย่างแรงจนเสียงดังสนั่น

 

 

ใบหน้าของซูเหิงตึงเครียด เห็นเหล่าหุ้นส่วนหลายคนที่ยังคงมีสีหน้าขุ่นเคือง เขาก็ยกมือขึ้นมานวดหว่างหัวคิ้ว

 

 

“ให้เวลาผมหน่อย จะต้องไม่มีปัญหาแน่”

 

 

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คำพูดแดกดันก็พูดไปหมดแล้ว หุ้นส่วนแต่ละคนจึงทำได้เพียงแค่เฝ้าดูสถานการณ์ต่อไป

 

 

ในห้องประชุมเหลือเพียงซูเหิงคนเดียว ภายในหัวยังคงมีคำพูดที่ทั้งหนักแน่นและขุ่นเคืองของเฉินฝานซิงประโยคนั้นดังก้องอยู่ตลอดจนทำให้เขาเผลอกำมือแน่น

 

 

หลังจากที่เงียบไปนาน โทรศัพท์ที่สั่นไม่หยุดตั้งแต่ตอนเริ่มประชุมก็เริ่มสั่นขึ้นอีกครั้ง

 

 

เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของเฉียนเชียนโหรวก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกดตัดสาย

 

 

 

 

ไม่รู้ทำไม อาคารป๋อซื่อที่มีถึงสิบแปดชั้น จู่ๆ ก็อบอวลไปด้วยพลังแห่งธาตุหยินขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

 

 

บรรยากาศแปลกประหลาดไปถนัดตาจนยากจะอธิบาย

 

 

 

 

[1] สำนวนจีนอุปมา เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย คว้าสิ่งเล็กๆ ไว้ได้แต่กลับต้องสูญเสียสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าไป