บทที่ 157 ห่อเกี๊ยว

ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อรู้จักแม่เฒ่าจางดี

ในสายตาแม่เฒ่าจาง หลานชายถือเป็นยอดดวงใจ แต่ต่อให้เป็นยอดดวงใจแค่ไหนจะเทียบได้กับตำลึงเงินเหรอ? ถึงตอนนั้นแม่เฒ่าจางต้องโวยวายแน่!

ถึงตอนนั้นก็แค่ลากไปตายด้วยกัน เอาเป็นว่าถ้าซานหยาเจอเรื่องไม่ดี นางก็ไม่ยอมให้จางเป่าเกินได้สุขสบายหรอก!

จางชุนเถาได้ยินมาถึงนี่ก็พยักหน้า “พี่นี่มีวิธีดีจริง ๆ!”

จางซิ่วเอ๋ออมยิ้มถาม “สับต้นหอมมาเพิ่มหน่อย ข้าจะไปนวดแป้ง”

“พี่ จะนึ่งซาลาเปาเหรอ?” จางชุนเถาเพิ่งรู้ตัวตอนนี้และถามว่ามื้อเย็นจะกินอะไร

“กินเกี๊ยว” จางซิ่วเอ๋อบอกยิ้ม ๆ

จางชุนเถาพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้นดีใจ “กินเกี๊ยวเหรอ!”

ที่จริงยุคสมัยนี้มีเกี๊ยวเหมือนกัน ไม่ต้องพูดถึงที่อื่น จางซิ่วเอ๋อเคยเห็นเกี๊ยวนึ่งสุกใสสกาวที่อิ๋งเค่อจวีมาแล้ว แต่สำหรับคนที่บ้านยากจนไม่ว่าจะเป็นแป้งขาวหรือเนื้อก็แพงเกินไป

ดังนั้นจึงไม่มีธรรมเนียมที่เมื่อถึงวันปีใหม่หรือเทศกาลต่าง ๆ แล้วต้องกินเกี๊ยว

จางซิ่วเอ๋อพูดยิ้ม ๆ “ใช่ ครั้งก่อนที่บ้านท่านยายข้าเห็นพวกเจ้าชอบกิน วันนี้เลยจะทำอีก”

เกี๊ยวที่กินตอนอยู่บ้านตระกูลโจวใส่เนื้อไม่มาก แต่ทุกคนก็ยังกินกันอย่างเอร็ดอร่อย

พอทำไส้หมูผสมผักกาดขาวเสร็จ เศษมันในหม้อก็ย่างสุกพอดีกินแล้ว

เศษมันนี่อร่อยมาก จางซิ่วเอ๋อตวงออกมาจนเกลี้ยงแล้วหยิบเข้าปากหนึ่งชิ้น กลิ่นหอมอวลกระจายอยู่ในโพรงปาก

นางยิ้มและหยิบกะละมังใบหนึ่งมาใส่เศษมัน มันหมูในหม้อถูกจางซิ่วเอ๋อยัดลงไห ไม่นานนักมันหมูจะจับตัวแข็งเป็นก้อนกลมสีขาว ตอนจะกินก็แค่ใส่ในหม้อแล้วทำการอุ่นให้มันละลายเท่านั้น

จากนั้นจางซิ่วเอ๋อก็นำเศษมันออกมาครึ่งหนึ่งสับให้ละเอียด แล้วผสมถั่วฝักยาวลงไปทำเป็นไส้เศษมันถั่วฝักยาว

แบบนี้ก็จะได้ไส้เกี๊ยวสองกะละมัง

ที่บ้านไม่มีกระดานรองรีดแป้ง ทุกครั้งที่จางซิ่วเอ๋อนวดแป้งจึงต้องใช้โต๊ะใหญ่รองแทน

ขาโต๊ะหักหมดแล้วทุกขา จางซิ่วเอ๋อจึงแงะหน้าโต๊ะลงมาทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วทำเป็นกระดานรองรีดแป้ง

ขณะนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว

จางซิ่วเอ๋อเร่งมือให้ไวขึ้น นวดแป้งห่อเกี๊ยวเสร็จในคราเดียว

จางชุนเถายืนดูอยู่ข้าง ๆ อุทานขึ้นมา “พี่ พี่ห่อเกี๊ยวเป็นด้วยเหรอ! พี่นี่มีฝีมือจังเลย!”

คนทั่วไปห่อเกี๊ยวเองที่บ้านเป็นที่ไหน? ที่แม่เฒ่าโจวทำเป็นเพราะเมื่อก่อนชีวิตความเป็นอยู่ที่บ้านตระกูลโจวไม่เลว ในวันสำคัญต่าง ๆ จึงได้กินเป็นครั้งคราว

จางซิ่วเอ๋อยิ้มบาง ๆ “พี่สอนให้ เราสองคนมาทำด้วยกันนะ”

เป็นสาวชาวไร่เหมือนกัน แค่เรียนทำกับข้าวไม่ใช่เรื่องยาก จางชุนเถาลองทำอยู่สองชิ้นก็เริ่มคล่องมือ

กลายเป็นว่าในสองพี่น้องคนหนึ่งนวดแป้งคนหนึ่งห่อไส้ เข้าคู่กันแบบนี้จนทำได้ไวขึ้นเรื่อย ๆ

รอจนจ้าวเอ้อร์หลางและจางซานหยากลับมา ในที่สุดเกี๊ยวก็ลงหม้อ

เวลานี้บัณฑิตจ้าวยังไม่มา เพราะวันนี้พวกเขาไปตลาดกันจึงกลับมาสาย เขาเลยไม่ได้มาสอนหนังสือ จึงไม่กล้ามากินข้าวด้วย

จางซิ่วเอ๋อใช้ให้จางซานหยาและจ้าวเอ้อร์หลางไปเรียก

ไม่นานนักบัณฑิตจ้าวก็มา

หลังจากที่เขาเข้ามาในลานบ้านพี่น้องตระกูลจางก็มีสีหน้าเหนียมอาย

จางซิ่วเอ๋อยิ้ม “กินตอนยังร้อนอยู่เร็วเจ้าค่ะ”

ตอนนี้นางต้มเกี๊ยวสุกหมดแล้ว เมื่อวางบนโต๊ะมันก็มีรูปลักษณ์น่ากิน มีกลิ่นหอมฉุยลอยออกมา

บัณฑิตจ้าวเห็นแล้วตะลึงนิดหน่อย “เกี๊ยวเหรอ?”

เมื่อก่อนเขาเป็นอาจารย์สอนหนังสือ มีชีวิตที่ดีในระดับหนึ่ง เวลานี้จึงดูออกว่าจางซิ่วเอ๋อทำอะไรกิน

จางซิ่วเอ๋อบอกยิ้ม ๆ “ใช่แล้วเจ้าค่ะ กินตอนร้อนนี่แหละ เดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย”

ตอนที่ทุกคนยกถ้วยขึ้น จางซิ่วเอ๋อก็เริ่มคีบเกี๊ยวเข้าปาก

ตอนจางซิ่วเอ๋ออยู่ที่ยุคปัจจุบันเรียกได้ว่ากินเกี๊ยวอยู่บ่อย ๆ แต่ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อกลับรู้สึกว่าเกี๊ยวทุกมื้อที่เคยกินอร่อยสู้มื้อนี้ไม่ได้ อาจเพราะร่างกายนี้ปรารถนารสเนื้อมาก อาจเพราะเกี๊ยวนี้ได้มาไม่ง่าย สรุปก็คือจางซิ่วเอ๋อลิ้มรสที่ต่างออกไป

ตอนนี้นอกจากบัณฑิตจ้าวที่ยังห้ามใจตัวเองให้กินด้วยท่าทางสุภาพ เด็กคนอื่น ๆ ต่างกินแบบไม่ยอมพูดจา

จางซานหยากินไปทีเดียว 10 กว่าชิ้นถึงจะเงยหน้ามาหายใจ และพูดอู้อี้ “พี่! อร่อยจริง ๆ เลย! วันหลังข้าจะกินอีก”

จางซิ่วเอ๋อเห็นแบบนี้แล้วรู้สึกพอใจ

ดวงดาราทอแสงระยิบระยับอยู่บนฟ้า ต้นหวายฉู่ในสวนโบกสะบัดด้วยแรงลม มีดอกหวายฉู่ประปรายห้อยอยู่บนต้น ตรงกลางลานคือโต๊ะที่ทุกคนนั่งกินข้าวกันอยู่

ชั่วพริบตานั้น จางซิ่วเอ๋อรู้สึกเหมือนอยู่ในภวังค์ที่ลืมวันเดือนปี

ข้าวมื้อนี้ทุกคนกินกันอย่างอบอุ่น

หลังจากกินเสร็จ จางซิ่วเอ๋อหยิบกระดาษไขมาหนึ่งแผ่นและห่อเกี๊ยวหลายชิ้นให้จางซานหยาเอากลับไป

กระดาษไขนี่นางตั้งใจซื้อมา ของแบบนี้ราคาไม่ถูก! แต่ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้แม่โจวไม่สามารถมากินข้าวบ้านนางได้อย่างเปิดเผยล่ะ? เพื่อสะดวกต่อการเอาของกินไปให้แม่โจว จางซิ่วเอ๋อเสียดายเงินเสียที่ไหน

เรื่องแบบนี้จางซานหยาทำมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง คุ้นทางหมดแล้ว ไม่รอให้จางซิ่วเอ๋อกำชับอะไรนางก็เอ่ยขึ้น “ห้ามให้พ่อรู้”

จางซิ่วเอ๋อลูบหัวจางซานหยา “ซานหยาเป็นเด็กดี กลับไปเถอะ ดึกกว่านี้เดี๋ยวจะโดนด่า”

จางซานหยาพยักหน้า มองบ้านหลังนี้อย่างอาลัยอาวรณ์แล้วจึงแบกหญ้ากลับ

ตอนที่จางซานหยากลับไป คนตระกูลจางกินข้าวเสร็จหมดแล้ว ไม่มีใครรอจางซานหยา

แม่โจวก็กินข้าวกับคนตระกูลจางด้วย ถ้านางไม่กินอะไรเลยก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ หนึ่งคือแม่โจวอยากประหยัดข้าวให้จางซิ่วเอ๋อ สองคือถ้าทำแบบนี้ตลอดง่ายต่อการถูกจับได้

แต่ต่อให้กิน แม่โจวก็กินไม่อิ่ม

ไม่ใช่ว่าแม่โจวไม่อยากกิน แต่คนตระกูลจางจะยอมให้แม่โจวกินอิ่มที่ไหนกันล่ะ?

ตอนที่จางซานหยากลับมา จางอวี่หมินกำลังกินอิ่มสำราญและยืนพิงประตูรับลมอยู่

นางเห็นจางซานหยาจึงอดแดกดันไม่ได้ “ตัวขาดทุนกลับมาแล้วเหรอ แค่ให้เจ้าไปตัดหญ้าเจ้ายังชักช้าทำจนถึงดึกดื่น”

จางซานหยาชำเลืองมองจางอวี่หมินแวบหนึ่งโดยไม่พูดจา

ไม่รู้ทำไม แค่แวบเดียวจางอวี่หมินกลับรู้สึกหวั่นใจ

จางอวี่หมินมองจางซานหยาอย่างพิจารณา มองไปมองมากลับเห็นเงาของจางซิ่วเอ๋อในตัวจางซานหยา คราวนี้เป็นเรื่องทันที จางอวี่หมินมีไฟสุมขึ้นมาในอก

ถ้าอีกหน่อยจางซานหยาควบคุมยากเหมือนจางซิ่วเอ๋อจะทำอย่างไร

ไม่ได้ จะปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด

ตอนนั้นต้องเป็นเพราะตัวเองไม่ได้จับจางซิ่วเอ่อให้อยู่หมัด ถึงปล่อยให้จางซิ่วเอ๋อกำเริบสืบสานขึ้นมา ตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด นางต้องจับจางซานหยาให้อยู่หมัด

ไม่อย่างนั้นทั้งสามพี่น้องก็คงเหยียบหัวนางกันหมดเลยน่ะสิ

จางอวี่หมินคิดได้ดังนั้น จึงใจร้ายกับจางซานหยาขึ้นมา

“จางซานหยา นังตัวขาดทุน เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดรึ” จางอวี่หมินถามอย่างเกรี้ยวกราด

จางซานหยาพยักหน้าและกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “ได้ยินแล้ว”

“ได้ยินแล้วยังไม่ยอมรับผิดอีก” จางอวี่หมินยิ้มเย็น

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

หิวเกี๊ยวเลย อยากกินบ้าง

นังอวี่หมินยังไม่เข็ดอีกนะ

ไหหม่า(海馬)