พี่น้องหลายคนในลานกว้างต่างไปยืนหน้าประตูกันหมด

“พวกเจ้าย้ายมาใหม่หรือ”

“ใช่ๆ ฝากเนื้อฝากตัวด้วย… ”

“ฟังสำเนียงมาจากตะวันตกเฉียงเหนือหรือ”

“คนบ้านเดียวกัน ช่างหูดีเสียจริง…”

ผู้คนละแวกนี้ต่างออกมาเช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่คุ้นเคยกัน แต่ก็แสดงความยินดีให้แก่กันในวันตรุษจีนพร้อมกับเริ่มพูดคุยกัน

สวีเม่าซิวละสายตา และมองไปที่เฉิงเจียวเหนียงซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม

“น้องสาวมีเรื่องอันใด พูดได้เต็มที่เลย” เขาเอ่ย

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า

“ไม่กี่วันมานี้ ข้าออกไปที่นอกเมือง มีร้านอาหารแห่งหนึ่งชื่อเรือนนางฟ้า” นางกล่าว

สวีเม่าซิวใบหน้าจริงจังและมุ่งมั่นแล้วพยักหน้า

“พวกเขาเหมือนกำลังจะขายที่แห่งนั้น” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

สวีเม่าซิวตะลึง

“ให้พี่ชายออกหน้าซื้อมันไว้” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

สวีเม่าซิวมองไปที่เฉิงเจียวเหนียงด้วยความประหลาดใจ เขาต้องการเห็นอากัปกิริยาที่ซ่อนอยู่บนใบหน้าของนางบ้าง แต่น่าเสียดายที่การแสดงออกทางใบหน้าของหญิงสาวผู้นี้กลับสงบนิ่งทุกครั้ง นอกจากยกยิ้มมุมปากเพื่อแสดงความสุขแล้ว ก็มิได้มีการแสดงออกในแบบอื่นเลย

“ได้” สวีเม่าซิวกล่าว

พี่น้องทั้งเจ็ดเฝ้ามองรถม้าของเฉิงเจียวเหนียงจนมองลับตาจากบนถนนแล้ว ถึงจะหันหลังกลับเข้าไป

เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน วันแรกของปีใหม่ก็เพิ่งจะผ่านพ้นไป

พี่ชายทั้งหลายไปทำอาหารกันอย่างครึกครื้น ส่วนฟ่านเจียงหลินและสวีเม่าซิวนั่งอยู่ในบ้าน

“ให้พวกเราซื้อร้านอาหาร” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยถาม เห็นได้ชัดว่าเขาประหลาดใจยิ่งนัก

สวีเม่าซิวพยักหน้า

“ให้พวกเราออกหน้าซื้อร้านอาหาร” เขาพูดแก้ไข

“นี่หมายความว่าอย่างไรหรือ” ฟ่านเจียงหลินถามอย่างงงงวย

“บางทีนางแค่อยากซื้อร้านอาหารหนึ่งแห่งเท่านั้น” สวีเม่าซิวครุ่นคิดชั่วครู่แล้วกล่าวไปพลาง ยิ้มไปพลาง

ฟ่านเจียงหลินลูบศีรษะและฝืนยิ้ม

มันง่ายเช่นนี้จริงหรือ

ในช่วงเดือนแรก ช่างว่างนัก และเวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในพริบตาเดียวก็เป็นวันที่เจ็ดของเดือนแรกแล้ว เมืองหลวงที่ครึกครื้นและมีชีวิตชีวา บัดนี้ญาติพี่น้องทั้งหลายต่างเดินทางกลับกันหมดแล้ว ส่วนใหญ่เหลือเพียงมิตรสหายเท่านั้นที่ไปมาหาสู่กัน

เมื่อเทียบกับความครึกครื้นภายในบ้านของคนอื่น นักเรียนทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในโรงเตี้ยมกลับดูเงียบเหงาเล็กน้อย

“ไปเดินเล่นที่ตลาดกันเถอะ” สหายพูดพร้อมกับวางหนังสือในมือลง ถูมือและกระทืบเท้า เพื่อบรรเทาความหนาวเย็น

หันหยวนเฉาและสหายร่วมอุดมการณ์คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังเขา ต่างวางหนังสือลง

“เมื่อวานเดินเล่นมาทั้งวันแล้ว ไปๆ มาๆ ก็มีเพียงเท่านั้น จะออกไปอีกทำไม” หันหยวนเฉากล่าวพร้อมกับส่ายหัว

“หรือว่าเจ้ารอหญิงงามผู้นั้นมาเชื้อเชิญเจ้าอยู่หรือ” สหายหัวเราะกล่าว

หัวหยวนเฉายิ้มพลางส่ายหัว

“แต่มันก็แปลกจริงๆ เหตุใดหญิงงามของเจ้าเงียบหายไปเช่นนี้” สหายคนข้างๆ กล่าว

“อย่าพูดไร้สาระ อะไรกันหญิงงามหญิงไม่งาม น่าจะเป็นท่านผู้เฒ่าเสียมากกว่า” หันหยวนเฉากล่าว “สาวใช้มีสำเนียงเจียงโจว แต่คุ้นชินกับเมืองหลวงเป็นอย่างดี และคำตอบของนางคือไม่แน่ว่าจะพำนักที่เมืองหลวงต่อหรือกลับเจียงโจวกันแน่ เห็นได้ชัดว่าเป็นท่านผู้เฒ่าที่คิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน”

สหายทั้งหลายได้ฟังเรื่องพูดคุยของวันนั้นจากหันหยวนเฉาอย่างละเอียด จึงพยักหน้า

“แต่อย่างไรก็ตาม ท่านผู้เฒ่าต้องมีลูกสาวหรือหลานสาวแน่นอน” สหายอีกคนหัวเราะกล่าวอีกครั้ง

บรรยากาศในห้องเปลี่ยนมามีชีวิตชีวาด้วยคำพูดเพียงสองสามประโยค ราวกับว่าช่วยคลายความเหงาไปได้เล็กน้อย

“แต่หากพูดกันตรงๆ เหตุใดถึงไม่มาอีกเลย” สหายอีกคนพูดจริงจัง “เป็นเพราะว่าต้องการไปเยี่ยมครอบครัวของผู้หญิงคนนั้นจริงๆ และทำความดีเพียงเท่านั้น”

“ว่าแล้ว ข้าพูดถูกแล้ว เป็นคนเช่นเดียวกับข้าจริงๆ ด้วย” หันหยวนเฉายิ้มกล่าว “คนเขลาเบาปัญญาก็ได้แต่เป็นทุกข์เป็นร้อนในเรื่องที่ไร้สาระ”

ในขณะที่พูดคุยกัน เสียงหัวเราะก็ดังมาจากด้านนอกประตู

“ไป ไป ไปชมอักษรที่วัดเฉี่ยถิงกัน”

 จริงๆ แล้ว มีนักเรียนคนอื่นๆ ที่พักในโรงเตี้ยมเดียวกันมาเชื้อเชิญ หากสักแต่จะอ่านหนังสือหนักเพียงอย่างเดียว ก็จะน่าเบื่อเกินไป ทั้งสามคนจึงตอบรับคำเชิญ คลุมเสื้อคลุมแล้วเดินออกไป

“มิใช่ชมดอกไม้ ชมบทกวีหรอกหรือ เหตุใดกลับกลายเป็นชมตัวอักษรไปได้”

 “เจ้ายังไม่ได้ทราบข่าวหรอกหรือ ว่าก่อนตรุษจีนมีคนมาสลักตัวอักษรอันสละสลวยไว้ที่วัดเฉี่ยถิงและสร้างรูปแบบอักษรใหม่ถึงห้าแบบ ได้ยินมาว่าท่านอาจารย์เจียงโจวจะไปดูด้วยตัวเอง”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง ศิษย์พี่จินจะไปดูอักษร หรือว่าจะหาโอกาสพบกับท่านอาจารย์เจียงโจวกันแน่”

พวกเขาทั้งหลายหัวเราะพูดคุยและเดินออกจากประตู บนถนนเต็มไปด้วยเสียงของผู้คนและประทัดเป็นระยะๆ

หันหยวนเฉาห่อเสื้อคลุมไว้แน่นและมองไปที่ถนนด้านทิศตะวันออก

แค่นี้จริงๆ หรือ

“พี่หยวนเฉา” ใครบางคนทักทายเขา

หันหยวนเฉาขานตอบ และตามสหายทั้งหลายมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก

ขณะเดียวกัน เฉิงเจียวเหนียงก็เดินออกจากประตูบ้านของตระกูลเฉิน

“วันตรุษจีนเช่นนี้ ทานข้าวก่อนแล้วค่อยกลับเถิด” ฮูหยินเฉินส่งแขกด้วยตัวเองและพูดรั้งนางไว้อีกครั้ง

เฉิงเจียวเหนียงไม่พูด แต่ทำความเคารพเพื่อปฏิเสธอย่างสุภาพ

ท่านชายโจวหกขับรถม้าเข้ามา ดึงดูดความสนใจและเสียงกระซิบจากพี่สาวและน้องของตระกูลเฉินที่อยู่โดยรอบ

หลังจากมองดูรถม้าออกจากตรอกซอยไปแล้ว สมาชิกฝ่ายหญิงของตระกูลเฉินถึงจะหันหน้ากลับมา

“ท่านแม่ ท่านแม่ พี่สาวสวมเสื้อที่ท่านมอบให้ใช่หรือไม่” เฉินตันเหนียงถามอย่างมีความสุข

เมื่อหญิงสาวผู้นี้ก้าวเข้าประตูมา พวกเขาแทบจะจำนางไม่ได้

ของกำนัลที่ส่งมอบให้นั้น หากถูกสวมใส่บนร่างกาย ถือว่าเป็นของขวัญตอบแทนอันยิ่งใหญ่ที่สุด

ฮูหยินเฉินกลั้นรอยยิ้มบนใบหน้าไว้ไม่อยู่

“ใช่” นางกล่าว “เจ้าคิดว่าแม่นางเฉิงสวมใส่พอดีตัวหรือไม่”

เฉินตันเหนียงพยักหน้า

“งดงาม งดงาม แม่นางเฉิงใส่อะไรก็งดงามไปหมดเจ้าค่ะ” นางพูดพลางคิดอะไรบางอย่างออก จึงมองพี่สาวทั้งหลายที่อยู่ด้านหลัง “แม่นางสิบแปดสวมใส่แล้ว ไม่สง่างามเท่าแม่นางเฉิงเจ้าค่ะ”

เหล่าบรรดาพี่สาวและน้องสาวพากันหัวเราะ

“หากแม่นางสิบเก้ายังจะพูดต่อ ชุดตัดใหม่ก็จะไม่มีของเจ้า” แม่นางเฉิงสิบแปดแกล้งทำให้โกรธแล้วกล่าว

เฉินตันเหนียงไม่กลัวพี่สาว แล้วทำหน้าผีใส่นางและจับมือท่านแม่ไว้

“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านแม่ทำให้ข้านะเจ้าคะ” นางกล่าว

ลูกๆ หัวเราะกันสนุกสนาน ขณะที่ ฮูหยินเฉินก็เต็มเปี่ยมไปด้วยรอบยิ้ม

ตำแหน่งทางราชการของสามีรุ่งโรจน์ พ่อตาหายป่วย จึงฉลองปีใหม่ได้อย่างสบายใจยิ่งนัก

เมื่อรถม้าขับเข้าประตูบ้านมา ท่านชายโจวหกกระโดดลงจากรถม้า พร้อมกับโยนแส้ในมือแล้วหันหลังเดินจากไป

ทางนี้ เฉิงเจียวเหนียงจับสาวใช้ประคองตนลงจากรถ

“วันนี้แขกมาไม่น้อยเลย” สาวใช้พูดพลางมองไปที่รถม้านั่น

“ช่วงตรุษจีนก็เป็นเช่นนี้ทุกวันเจ้าค่ะ” สาวใช้ยิ้มกล่าวพร้อมแฝงความโอ้อวดไว้ด้วย “คนเดินผ่านไปมาจำนวนมากนักเจ้าค่ะ”

เฉิงเจียวเหนียงชำเลืองมองไปที่แม่นม แล้วค่อยหันไปมองสาวใช้

“พวกเจ้ากลับมากันแล้ว ไปพบฮูหยินกันเถอะ” นางเอ่ย

สาวใช้รับคำ แต่ทว่า…

“รบกวนพี่สะใภ้นำทางด้วย” นางมองไปที่แม่นมแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ไปพบฮูหยินหรือ ลูกหลานทั้งหลายเมื่อกลับบ้านล้วนต้องไปน้อมเคารพทักทายฮูหยินทั้งนั้น เพียงแต่เฉิงเจียวเหนียงมิได้มีความคุ้นชินเช่นนี้มาก่อน พออยากไปกระทันหันเช่นนี้ แม่นมจึงนึกว่าตนฟังผิด

แต่ทว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องน่ายินดี แม่นมยินดีปรีดา ดังนั้น ครอบครัวก็คือครอบครัว ไม่แบ่งหรอกว่าคลอดเองหรือไม่ หรือจะยังไม่คุ้นเคยกับแม่นาง พอคุ้นเคยแล้วก็จะดีขึ้นเอง

 “นายหญิง ทางนี้เจ้าค่ะ” นางกล่าวอย่างมีความสุข

แตกต่างจากปีอื่นๆ ตระกูลโจวในปีนี้มีชีวิตชีวาขึ้นมากและมีผู้มาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย แม้เหล่าบรรดาคนรับใช้จะไม่รู้สาเหตุ แต่นายใหญ่และฮูหยินทั้งสองต่างทราบกันดี

“ท่านป้า ได้ยินมาว่ามีน้องมาอยู่ใหม่ ทำไมข้าถึงไม่เห็นเลยเจ้าคะ”

หลังจากพูดคุยเรื่องอื่นไปมาชั่วครู่ หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ใช่เจ้าค่ะ” ผู้หญิงที่นั่งข้างๆ กล่าวเช่นกัน “วันตรุษจีน เหตุใดพี่สาวน้องสาวถึงไม่ออกมาเล่นสนุกด้วยกัน”

 ทุกวันนี้ ฮูหยินโจวฟังประโยคนี้มากจนหูจะฟักหนอนออกมาได้แล้ว

“นางไม่อยู่บ้าน ออกไปข้างนอกแล้ว” นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ยังมีญาติมิตรอยู่ที่นี่ด้วยหรือเจ้าคะ” ผู้หญิงคนนั้นถามอย่างสงสัย

“ตระกูลเฉินไง” ฮูหยินโจวยิ้มกล่าว แม้ว่าใบหน้าจะแข็งกระด้างเล็กน้อย

 ครั้งที่แล้วบอกว่านอนแล้วสุขภาพไม่ดี ครั้งนี้บอกว่าไปบ้านตระกูลเฉิน แล้วครั้งต่อไปล่ะ ผลักไปเลื่อนมาเช่นนี้ ฮูหยินเหล่านี้เข้ากับคนง่ายเสียที่ไหน ไม่มีเรื่องยังสร้างเรื่องออกมาได้เลย

แน่นอนว่าใบหน้าของฮูหยินคนนั้นดูเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

“เจ้านี่จริงๆ เลย ซ่อนลูกสาวอันเป็นที่รักไว้แต่ในบ้านเจ้าล่ะสิ” นางกล่าว “พวกเราเทียบอะไรไม่ได้กับบ้านของอำมาตย์เฉินหรอก จึงไม่มีสิทธิ์พบเจอลูกสาวอันที่เป็นรักของบ้านเจ้า”

“หรือว่า เราเทียบกับตระกูลเฉินไม่ได้ จึงเชิญออกมาไม่ได้ใช่หรือไม่” อีกคนหัวเราะกล่าว

……………………………………………..