บทที่ 128 พยักหน้ายอมรับ

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

หนึ่งร้อยยี่สิบแปด

พยักหน้ายอมรับ

เพราะถูกตามใจมานาน เสวี่ยเจียเยว่ย่อมเอาแต่ใจตัวเองเป็นเรื่องธรรมดา อย่างในตอนนี้เธอทั้งร้องไห้และด่าเสวี่ยหยวนจิ้ง

“เสวี่ยหยวนจิ้ง เจ้ามันเลว!”

เสวี่ยหยวนจิ้งได้กลิ่นหอมยวนใจจากเส้นผมของเด็กสาว ก็อดจูบเส้นผมดำขลับนั้นไม่ได้ เพื่อดับความปรารถนาอันแรงกล้าที่เพิ่งเกิดขึ้นในหัวใจของเขา แต่จู่ๆ เสียงร้องไห้ของเสวี่ยเจียเยว่ก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงตะโกนด่า เขาจึงรีบก้มมองใบหน้าของอีกฝ่าย

เป็นจริงดังคาด… หยาดน้ำตาไหลพรากลงมาอาบแก้มของเสวี่ยเจียเยว่ เด็กสาวกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น

เขาเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เมื่อก่อนหากเสวี่ยเจียเยว่ทำอะไรผิด ก็จะเรียกเขาว่า ‘ท่านพี่’ ด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน กอดแขนเขาและทำตัวออดอ้อนเหมือนเด็ก หากเขาไม่ใจอ่อน อีกฝ่ายจะร้องไห้สะอึกสะอื้น และสุดท้ายก็เป็นเขาเสมอที่ต้องปลอบโยนเด็กสาว ราวกับว่าคนที่ทำผิดคือเขาก็ไม่ปาน เวลาผันผ่านมานานเสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าวิธีนี้สามารถใช้ได้ผลที่สุดกับเสวี่ยหยวนจิ้ง ดังนั้นเด็กสาวจึงมักจะใช้กับเขาอยู่บ่อยครั้ง

แม้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะรู้เรื่องนี้ดี แต่เมื่อเห็นน้ำตาของเด็กสาวก็อดใจอ่อนไม่ได้

จะทำอย่างไรได้ เสวี่ยเจียเยว่กลายเป็นชีวิตของเขาไปเสียแล้ว ต่อให้อีกฝ่ายเอาแต่ใจอย่างไร เขาก็เต็มใจที่จะปลอบโยนเสมอ

เมื่อเห็นเด็กสาวร้องไห้ เขาจึงก้มหน้าลงและกล่าวปนเสียงหัวเราะอันสดใส “ใช่ๆ ข้ามันเลว เจ้าอย่าร้องไห้เลยนะ”

แม้เสวี่ยเจียเยว่จะร้องไห้ แต่เธอยังคงเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาได้ชัดเจน ชั่วขณะนั้นความโกรธที่มีอยู่ในใจของเธอพลันปะทุขึ้นมากกว่าเดิม

“เจ้าหัวเราะอะไรกัน นี่เจ้ารังแกข้าแล้วยังมาหัวเราะเยาะข้าเช่นนี้อีก”

น้ำตายิ่งหลั่งไหลออกมาหนักกว่าเดิม เธออยากฟาดหน้าหล่อๆ ของเขาสักที แต่ก็ทำไม่ลง ด่าไปก็ไร้ประโยชน์ เขายังมีหน้ามาหัวเราะเยาะเธออีก

เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าเธอไม่มีหนทางใดจะต่อสู้กับเสวี่ยหยวนจิ้งได้อีกแล้ว นอกจากการร้องไห้เช่นนี้

หลังจากเขาจูบเธออย่างรุนแรงในครั้งนั้น เธอก็ร้องไห้เสียงดังเช่นนี้ สุดท้ายเสวี่ยหยวนจิ้งจึงยอมให้เธอย้ายออกไปจากเรือนฝั่งตะวันออก แล้ววันนี้เธอคิดจะให้เขาทำอย่างไร หรือจะให้เขายอมปล่อยเธอออกไปเช่าเรือนด้านนอก เพื่อที่จะไม่ได้เจอเขาทุกวัน และเขาก็คงจูบเธอไม่ได้อีก

ขณะที่กำลังคิดถึงเรื่องนี้ จู่ๆ เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกว่ามีนิ้วอุ่นๆ สองนิ้วจับคางเธอเอาไว้ ก่อนจะบังคับให้เงยหน้าขึ้น จากนั้นจึงเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งก้มหน้าลงมาบรรจงจูบซับน้ำตาบนใบหน้าของเธอพลางกล่าวออกมา

“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ การให้เจ้าย้ายออกไปจากเรือนฝั่งตะวันออกถือว่าข้ายอมเจ้าที่สุดแล้ว หากให้เจ้าย้ายออกไปจากเรือนหลักอีกก็เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เป็นการดีกว่าที่เจ้าจะเลิกคิดเรื่องนี้เสีย”

เขาเดาใจเธอถูกอีกแล้วหรือ เสวี่ยเจียเยว่หยุดร้องไห้ ก่อนจะถลึงตามองเสวี่ยหยวนจิ้งครู่หนึ่ง

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นท่าทีของเด็กสาวดูตื่นตกใจ อีกทั้งดวงตาคู่นั้นยังเต็มไปด้วยน้ำตา หัวใจของเขาพลันอ่อนโยนขึ้นมาในทันที กระทั่งห้ามใจไม่ไหวจึงก้มลงกัดปลายจมูกเล็กเบาๆ และเอ่ยเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเด็กโง่”

เสวี่ยเจียเยว่ปวดจี๊ดๆ จนต้องยกมือขึ้นมาจับปลายจมูกของตนและมองเขาด้วยสีหน้าโมโห ตอนนี้เธอหยุดร้องไห้แล้ว เพราะรู้ดีว่าต่อให้เธอคิดแผนอะไรขึ้นมาก็คงไม่รอดพ้นสายตาเขาอยู่ดี

เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มบางๆ เขาไม่สนใจการขัดขืนของอีกฝ่าย และรวบตัวเสวี่ยเจียเยว่เข้ามาในอ้อมกอดของเขาแน่น

“ข้าจูบเจ้า เจ้าไม่ดีใจหรือ เหตุใดถึงร้องไห้” เสวี่ยหยวนจิ้งก้มหน้าลงมองเด็กสาว มือหนึ่งลูบใบหน้าเล็กเบาๆ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วปาดน้ำตาออกอย่างอ่อนโยนและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เมื่อครู่นี้เจ้าก็บอกเองมิใช่หรือว่าการที่เราเป็นอยู่เช่นทุกวันนี้มันทำให้เจ้ารู้สึกอึดอัด ในใจลึกๆ แล้วเจ้าต้องการให้ความสัมพันธ์ของพวกเราใกล้ชิดกันเหมือนแต่ก่อนใช่หรือไม่”

เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ เขาก็จูบริมฝีปากของเสวี่ยเจียเยว่ “เจ้าดุข้าสิ ตอนนี้พวกเราก็ใกล้ชิดกันมากแล้วใช่หรือไม่ ใกล้ชิดกว่าเมื่อก่อนเสียด้วยซ้ำ”

เสียงนั้นแหบแห้งและเบาหวิวราวขนนกที่กวาดไล้ไปมาบนใบหน้าเธอเบาๆ เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าหัวใจของเธอสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างฉับพลัน ก่อนจะเอนศีรษะไปด้านหลังเพื่อเลี่ยงการใกล้ชิดกับเสวี่ยหยวนจิ้งมากเกินไป แต่ไม่นานกลับถูกเขาจับท้ายทอยเอาไว้ ทำให้เธอไม่มีทางถอยไปไหนได้อีก

“เจ้าจะหลบทำไม” เสวี่ยหยวนจิ้งจูบริมฝีปากที่เปียกชื้นด้วยน้ำตาของเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ไม่ชอบให้ข้าทำอย่างนี้กับเจ้าหรือ”

เสวี่ยเจียเยว่มองใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา รอยยิ้มที่อ่อนโยนฉายชัดอยู่บนใบหน้า แต่เธอกลับรู้สึกหวาดกลัว

ช่วงที่ผ่านมาเธอยังระแวดระวังว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะไม่มีทางละทิ้งความปรารถนาของเขาได้ และการจูบรวมทั้งคำพูดเมื่อครู่นี้ก็ทำให้เสวี่ยเจียเยว่มั่นใจแล้ว

“เจ้า… หลังจากพวกเราบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปจนหมดในคราวนั้น เจ้า… เจ้าไม่เคยคิดจะกลับมาเป็นพี่ชายของข้าอีกเลยหรือ” เสียงของเสวี่ยเจียเยว่สั่นเครือด้วยความหวาดกลัว“ทั้งที่เจ้ายอมให้ข้าย้ายออกมาจากเรือนฝั่งตะวันออก ที่แท้เจ้าก็โกหกข้า”

เสวี่ยหยวนจิ้งหัวเราะเสียงต่ำ “ข้าบอกเจ้าเมื่อไรกันว่าข้าจะเป็นพี่น้องกับเจ้า ข้าคิดจะเป็นสามีของเจ้ามาโดยตลอด เหตุผลที่ข้ายอมให้เจ้าออกไปจากเรือนฝั่งตะวันออก ก็เพราะข้าอยากให้เจ้ามีเวลาทำใจยอมรับข้าอย่างช้าๆ เยว่เอ๋อร์ เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ข้าไม่อาจเห็นเจ้าเป็นน้องสาวของข้าได้อีกแล้ว”

เสวี่ยเจียเยว่มองรอยยิ้มจางๆ ที่แฝงอยู่ในแววตาอันเต็มไปด้วยความปรารถนาของเขา ดูเหมือนว่าเขามั่นใจมากว่าจะชนะในสงครามนี้ ทำให้หัวใจของเธอสั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง

เธอรับรู้ได้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งหว่านแหตาถี่และแน่นหนาเอาไว้แล้ว ทั้งยังคอยต้อนเธอเข้าไปในแหทีละนิดๆ น่าขันยิ่งนักที่เธอไม่รู้ตัวเลยสักนิด ยังคิดอย่างไร้เดียงสาว่าหากรอให้เวลาเปลี่ยนผัน ความรู้สึกของเสวี่ยหยวนจิ้งที่มีต่อเธอจะจางหายไป พวกเขายังมีทางกลับมาเป็นพี่น้องกันได้อีกครั้ง

ทันใดนั้นไฟโทสะในใจก็ลุกโหมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแทนที่ด้วยความหวาดกลัว เธอขัดขืนอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม ใบหน้าอันน่ารักแดงเรื่อขึ้นมาอย่างฉับพลัน

“เสวี่ยหยวนจิ้ง เจ้า… เจ้ากล้าล้อเล่นกับข้าเช่นนี้ เจ้าคนสารเลว ข้าจะกลับไปเก็บข้าวของออกจากเรือนเสียเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปจากเมืองผิงหยาง และจะไม่มาพบเจ้าอีกตลอดชีวิต”

เหตุใดเขาถึงได้มีจิตใจที่นิ่งสงบเช่นนี้ ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนเดาถูกทุกอย่าง และมองเธอออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนเช่นเขา เธอก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร

เสวี่ยหยวนจิ้งควบคุมการขัดขืนของเสวี่ยเจียเยว่ได้อย่างง่ายดาย ด้วยการจับหลังศีรษะของเด็กสาวเบาๆ แล้วดันมาหาตน

“เยว่เอ๋อร์… เด็กโง่” เขากัดริมฝีปากของเด็กสาวเบาๆ แล้วหัวเราะออกมา “ในใจของเจ้าเองก็ชอบข้า หรือว่าเจ้าไม่รู้ตัว ถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้ เด็กดี ให้พี่ชายได้ทะนุถนอมเจ้าได้หรือไม่”

ดวงตาเกรี้ยวกราดของเสวี่ยเจียเยว่แดงก่ำ ก่อนที่เธอจะกล่าวอย่างเฉยชา “ใครบอกว่าข้าชอบเจ้า ข้าไม่ได้ชอบเจ้าเลยสักนิด ข้าคิดว่าเจ้าคือพี่ชายของข้าเท่านั้น แต่ตอนนี้ข้าไม่อยากเห็นเจ้าเป็นพี่ชายแล้ว ข้าจะไปจากเจ้า นับแต่นี้ไปข้าจะไม่มาพบเจ้าอีก”

เมื่อสิ้นเสียงนั้น ริมฝีปากของเธอพลันเจ็บจี๊ดขึ้นมาในทันที เพราะเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังกัดปากเธอนั่นเอง

“เสวี่ยหยวนจิ้ง คนสารเลว เจ้ากล้ากัดข้าเชียวหรือ” นัยน์ตาของเสวี่ยเจียเยว่ยังแดงก่ำด้วยความเดือดดาล สองมือเล็กกำแน่น อยากจะชกไปที่ใบหน้าของเขาสักครั้งเสียให้ได้

“เรื่องอื่นเจ้าขออย่างไรก็ได้ แต่จะหนีไปจากข้านั้นห้ามพูดเช่นนี้ออกมาอีก” รอยยิ้มของเสวี่ยหยวนจิ้งจางหายไป กลับกลายเป็นความเคร่งขรึมเข้ามาแทนที่ “หากครั้งหน้าเจ้าพูดเช่นนี้ออกมาอีก ข้าจะ…”

“เจ้าจะทำไม” เสวี่ยเจียเยว่เดือดดาลยิ่งนัก ยิ่งเสวี่ยหยวนจิ้งห้ามเอ่ยประโยคนี้ เธอก็ยิ่งอยากจะเอ่ยถึงมัน “เดี๋ยวข้าก็ไปแล้ว และข้าจะไม่มาให้เจ้าเห็นหน้าอีกตลอดชีวิต”

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เอ่ยประโยคนั้นจบแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งก็จูบเธออีกครั้งเพื่อเป็นการลงโทษ จูบครั้งนี้ร้อนแรงและดุเดือดกว่าคราวที่แล้วมาก

ผ่านไปเป็นเวลานานเขาถึงได้ยอมปล่อย และมองเสวี่ยเจียเยว่ที่ไร้เรี่ยวแรงกำลังหอบหายใจอยู่ในอ้อมกอดของเขา ก่อนจะเอ่ยออกมา “ต่อไปหากเจ้ากล้าพูดเช่นนี้อีก ข้าจะจูบจนเจ้าหมดแรง แม้แต่เดินก็ยังไม่ไหว”

เสวี่ยเจียเยว่ถลึงตามองเขาอย่างดุร้าย ในขณะที่กำลังจะยกมือขึ้นตบเขานั้น ปลายนิ้วของเธอกลับอ่อนแรงทันใด ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่กล้า ได้แต่หยิกเขาผ่านเสื้อผ้าด้วยนิ้วมืออันสั่นเทา

สำหรับเสวี่ยหยวนจิ้ง การทำเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกจั๊กจี้เท่านั้น จึงปล่อยให้แม่นางน้อยหยิกเขาต่อไป อย่างน้อยก็ทำให้อีกฝ่ายสบายใจ หากเขาโกรธเสวี่ยเจียเยว่ คนที่จะปวดใจก็คือตัวเขาเอง

ในขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังหยิกเขานั้น เสวี่ยหยวนจิ้งก็ลูบหลังเธอเบาๆ และเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“เยว่เอ๋อร์… เด็กดี อย่าดื้อรั้นอีกเลย เจ้าเองก็เข้าใจดี ความสัมพันธ์ของเจ้าและข้าสามารถพูดได้ว่าพึ่งพากันและกันจนมาถึงที่นี่ มีผู้ใดในใต้หล้านี้สามารถใกล้ชิดสนิทสนมกันได้มากกว่าพวกเรา เจ้าไปจากข้าไม่ได้หรอกเยว่เอ๋อร์ เจ้าจะให้ข้าอยู่เพียงลำพังอย่างนั้นหรือ อย่าบอกให้ข้าแต่งงานกับหญิงอื่น เพราะใจของข้ามีเพียงเจ้า ไม่อาจเหลือที่ไว้ให้ใครได้อีกแล้ว ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องให้เจ้าแต่งงานกับชายอื่น หากเจ้ากล้าแต่งงานกับใคร เจ้าก็รู้ว่าด้วยนิสัยของข้าจะไม่มีทางปล่อยให้ชายผู้นั้นมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”

เสวี่ยเจียเยว่หยุดหยิกเขาไปชั่วขณะ และเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม

นี่คือคำปลอบโยนของเขาจริงๆ หรือว่ากำลังข่มขู่เธอ

เมื่อเห็นแววตาของเสวี่ยเจียเยว่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ชายหนุ่มก็รีบก้มลงจูบคิ้วของอีกฝ่ายพร้อมกับเอ่ยกระซิบ

“อย่ากลัวข้าเลย เยว่เอ๋อร์ อย่ากลัวข้า เจ้าคือชีวิตของข้า ตราบใดที่เจ้ายอมอยู่ข้างกายข้า ข้าจะฟังเจ้าทุกอย่าง ดีหรือไม่ แต่เจ้าไม่อาจแต่งงานกับชายอื่นได้ และห้ามมีใจให้ชายอื่นเด็ดขาด เจ้าแต่งงานกับข้าได้เพียงคนเดียว ชอบข้าได้เพียงคนเดียวได้หรือไม่ ข้าขอร้องละเยว่เอ๋อร์ ข้าขอร้อง รักข้าได้หรือไม่”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่เอ่ยคำใด แต่รู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างกระทุ้งหัวใจอย่างรุนแรง ทำให้ทั้งปวดร้าวและสับสนไม่น้อย

เธอได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยคำพูดที่ทั้งอ่อนโยนและใช้อำนาจบังคับผู้อื่น เห็นการวิงวอนในแววตาของเขา จึงอดที่จะงุนงงไปชั่วขณะไม่ได้

ความเป็นจริงเธอรู้ดี เป็นอย่างที่เสวี่ยหยวนจิ้งกล่าวมา พวกเขาเป็นชีวิตของกันและกัน ทั้งยังพึ่งพากันจนมาถึงที่นี่ เธอไม่สนิทกับใครไปมากกว่าเสวี่ยหยวนจิ้ง และทำใจไม่ได้หากต้องไปจากเขา กระทั่งบางครั้งที่นึกถึงตอนเสวี่ยหยวนจิ้งแต่งงานกับหญิงอื่น ให้สตรีผู้นั้นมาแบ่งปันความรักจากเธอ หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่ก็เจ็บปวดขึ้นมาจริงๆ และรู้สึกว่าเธอต้องอยู่คนเดียวนับแต่นั้นมา

ในเมื่อเป็นเช่นนี้…

เธอมองไปที่เสวี่ยหยวนจิ้ง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ให้แววตาที่คาดหวังของเขา และเอ่ยออกมาด้วยความลังเล

“บางที… ข้า… ข้าอาจจะลองดูสักครั้ง”

ถึงอย่างไรการพูดคำว่า ‘รัก’ ก็ทำให้เธอเขินอายมากเกินไป

กระนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็ดีใจจนแทบคลั่ง แล้วบรรจงจูบลงบนหน้าผากของเสวี่ยเจียเยว่อย่างห้ามใจไม่อยู่ ก่อนจะเอ่ยเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“เยว่เอ๋อร์ เยว่เอ๋อร์ของข้า”

ตราบใดที่เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้าเห็นด้วย ชายหนุ่มก็มีวิธีทำให้อีกฝ่ายตกหลุมรักเขาในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน และไม่คิดจะจากเขาไปไหนอีกเลย