ภาคที่ 2 บทที่ 138 ส่งยา

มู่หนานจือ

ทว่าในตำหนักเล่อโซ่ว เจียงเซี่ยนกลับร้อนใจแทบแย่แล้ว นางถามหลิงตงเยว่ “ทำไมจู่ๆ ไทฮองไทเฮาถึงมาขอเทียบขอพบของท่านลุงจากข้า?”

เจอเทียบเหมือนกับเจอตัว

ไทฮองไทเฮาไม่มีเทียบขอพบของเจียงเจิ้นหยวนอยู่ในมือ คนที่มีเทียบขอพบคือเจียงเซี่ยน

เจียงเจิ้นหยวนกลัวว่าเจียงเซี่ยนจะมีเรื่องด่วนอะไร จึงตั้งใจให้เทียบขอพบสี่ห้าฉบับไว้กับนางโดยเฉพาะ

หลิวตงเยว่เห็นว่าแถวนี้มีเพียงไป๋ซู่คนเดียว จึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ตำหนักเหรินโซ่วให้เจียงเซี่ยนฟังเบาๆ

เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่ต่างตกตะลึง และเจียงเซี่ยนก็ใช้เวลานานมากกว่าจะหาเสียงของตนเองกลับมาได้ “ฝ่าบาท เป็นบ้าไปแล้วหรือ? หากดาบนั้นแทงโดนจุดตายของจ้าวเซี่ยว จะไม่คร่าชีวิตของจ้าวเซี่ยวงั้นหรือ?”

หลิวตงเยว่ถอนหายใจและเอ่ยว่า “นั่นน่ะสิขอรับ! ยังดีที่ไทฮองไทเฮากับไทเฮาเสด็จไปทัน ไม่อย่างนั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะก่อเรื่องใหญ่แค่ไหน! ข้าได้ยินคนของวังเฉียนชิงบอกว่า ช่วงนี้ฝ่าบาทเจ้าอารมณ์มาก เอะอะก็โมโห แม้แต่เสี่ยวโต้วจึก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทมากเช่นกัน แต่ทุกคนก็ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ฝ่าบาทพิโรธ จึงใช้ชีวิตกันอย่างหวาดกลัวจนตัวสั่น รู้สึกเหมือนศีรษะสามารถร่วงลงจากบ่าได้ตลอดเวลา”

เขาทั้งทำหน้ากลุ้มใจและขมวดคิ้ว เหมือนสัมผัสมาด้วยตนเอง ตลกจนเจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ และกวาดล้างความรู้สึกกระวนกระวายเมื่อครู่ให้หายไป

ไป๋ซู่ก็มองเจียงเซี่ยนด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเอ่ยว่า “พวกเราจะไปเยี่ยมซื่อจื่อจิ้งไห่โหวสักหน่อยหรือไม่? ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ได้รับบาดเจ็บเพราะฝ่าบาท คนอื่นรู้แล้ว ส่วนใหญ่ก็คงจะเดาว่าเขาล่วงเกินฝ่าบาท และสูญเสียความโปรดปรานจากฝ่าบาทแล้ว อย่าว่าแต่ไปเยี่ยมเลย คนที่รู้แล้วต่างก็จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ เขาประสบภัยอย่างคาดไม่ถึงเช่นนี้…ก็น่าสงสารเกินไปหน่อยเช่นกัน!”

ทำไมฮ่องเต้ต้องถามเรื่องแต่งงานของพวกจ้าวเซี่ยวแต่ละคน ก็เพราะอยากใช้บุคลิกอันน่าเกรงขามของฮ่องเต้ของตนเองทำให้ทั้งสามคนล้มเลิกความคิดที่จะสู่ขอเจียงเซี่ยนไปเอง ทว่าคิดไม่ถึงว่าสามคนนี้จะต่างมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีและไม่มีใครกลัวสักคน

ทุกหนทุกแห่งในใต้หล้าล้วนเป็นแผ่นดินของฮ่องเต้

นี่ไม่ใช่เรื่องของคนสามคน แต่เป็นเรื่องของตระกูลสามตระกูล

และที่เข้าร่วมการเลือกสามีของเจียงเซี่ยนนั้นก็เป็นการตัดสินใจของทั้งสามตระกูลเช่นกัน

สามตระกูลนี้ไม่กลัวการข่มขู่และบีบบังคับของจ้าวอี้ นอกจากคุณธรรมและความหยิ่งในศักดิ์ศรีของสามตระกูลนี้เองแล้ว ก็แสดงให้เห็นถึงความไร้ความสามารถของจ้าวอี้เช่นกัน และพิสูจน์ว่าแม้จ้าวอี้จะว่าราชการด้วยตนเอง ทว่าก็ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้

หากเปลี่ยนเป็นเฉาไทเฮาที่สามารถตรวจค้นและริบทรัพย์ทั้งตระกูลเจ้าได้ทันที ดูสิว่าเจ้ายังกล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าหรือไม่?

จ้าวอี้ไม่ฉวยโอกาสนี้ตัดสินแพ้ชนะกับเหล่าขุนนางใหญ่ในราชสำนัก กลับหยิบดาบมาแทงจ้าวเซี่ยวจนบาดเจ็บด้วยตนเอง…

ไป๋ซู่คิดถึงตรงนี้ก็ต้องถอนหายใจให้เขา แล้วก็อดที่จะหยอกเจียงเซี่ยนเล่นไม่ได้

มีเหตุการณ์แทรกซ้อนนี้ จ้าวเซี่ยวน่าจะเป็นตัวเลือกสามีของท่านหญิงที่ไม่เปลี่ยนใจแล้วกระมัง?

เจียงเซี่ยนเหม่อลอยเล็กน้อย

เจ้าเสาไม้นั่นในชาติก่อน ที่แท้นางก็ยังไม่ค่อยรู้จักเขาจริงๆ

เป็นเพราะชาติก่อนเขาเป็นโหวที่รักษาการณ์ด่านชายแดน แต่นางเป็นไทเฮาที่อยู่เป็นหม้ายและยังว่าราชการหลังม่านด้วยหรือ?

ทันใดนั้นเจียงเซี่ยนก็คิดถึงหลี่เชียนอีก…

นางกับหลี่เชียน คนหนึ่งต้องเฝ้าดูแลราชวงศ์จ้าว อีกคนต้องพยายามหลุดพ้นจากการผูกมัดของราชสำนักเหมือนทั้งสองฝ่ายต่างเก่งกาจและไม่ยอมให้กัน จึงเป็นคนที่ไม่มีวันกลายเป็นพันธมิตรได้ไปด้วย

เรื่องบางเรื่องก็เพราะนางดึงดันเกินไป!

เจียงเซี่ยนคิดถึงเฉาเซวียนอีก

ชาติก่อนพวกนางประสบชะตากรรมเดียวกันจึงเข้าใจกันและกัน ทว่าชาตินี้คนหนึ่งเป็นท่านหญิงแห่งราชวงศ์ปัจจุบัน อีกคนเป็นกงแห่งราชวงศ์ปัจจุบัน เหมือนแม่น้ำสองสายที่ไหลจากตะวันออกไปตะวันตกอย่างเร็วมาก แต่ชาตินี้ไม่มีวันมาบรรจบกันแล้ว ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสนิทสนมเหล่านั้นในชาติก่อนแล้ว มันจะเหลืออยู่ในความทรงจำของนางเพียงคนเดียวเท่านั้น

นางรู้สึกเสียใจเล็กน้อย จึงพูดปนหัวเราะกับไป๋ซู่ “ทางซื่อจื่อจิ้งไห่โหวนั้นก็ต้องไปเยี่ยมสักหน่อยจริงๆ เพียงแต่ข้าไม่ได้เจอเฉิงเอินกงมาหลายวันแล้ว เฉิงเอินกงยังคงเหมือนเมื่อก่อน ไม่เพียงแต่ไม่ท้อแท้ กลับมีชีวิตชีวามากขึ้นแล้ว มิน่าเล่าคนอื่นถึงบอกว่าต้องร่วมทุกข์ด้วยกันถึงจะมองเพื่อนสนิทของตนเองออก จะมองออกว่าคนๆ นี้เป็นคนอย่างไรก็ตอนที่เผชิญช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย คำพูดนี้มีเหตุผลมากทีเดียว”

ทำให้ไป๋ซู่หน้าแดงก่ำ นางต่อว่าและจะหยิกแก้มของเจียงเซี่ยน “มีแต่เจ้านี่แหละที่ช่างพูด และไม่ยอมแม้แต่ประโยคเดียว ข้าจะคอยดูว่าต่อไปเจ้าแต่งงานแล้ว สามีของเจ้าจะทนเจ้าได้หรือไม่?”

เจียงเซี่ยนหลบและหัวเราะเล็กน้อย พลางเอ่ยว่า “ทนไม่ได้ก็ไม่ต้องทน อย่างไรก็ต้องมีคนทนได้!”

ทั้งสองคนหยอกเล่นกันครู่หนึ่ง เจียงเซี่ยนก็คิดว่าเดี๋ยวจ้าวเซี่ยวจะออกจากวังแล้ว จึงหยุดหัวเราะกับไป๋ซู่ และสั่งหลิวตงเยว่ “เจ้าลองไปดูว่าพวกเราเอายาอะไรมาบ้าง ถึงเวลานั้นส่งไปให้ซื่อจื่อจิ้งไห่โหวหน่อย ส่วนเรื่องอื่น…ไว้กลับวังแล้วค่อยว่ากัน”

เมื่อก่อนเจียงเซี่ยนวางตัวเย็นชาและห่างเหินกับคนอื่น แต่คนรับใช้อย่างพวกเขาก็มักจะรู้สึกถึงความรู้สึกต่างๆ ของนางได้จากการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของนาง ทว่าแค่ช่วงเวลาเกือบครึ่งปีนี้ เจียงเซี่ยนเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและเป็นมิตรมาก ทั้งการพูดจาและการกระทำก็สุขุมกว่าเมื่อก่อนเช่นกัน แต่คนรับใช้อย่างพวกเขากลับรู้สึกถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของนางได้น้อยมาก นี่ทำให้คนที่รับใช้นางต่างเปลี่ยนเป็นขี้ขลาดและระมัดระวังกับเรื่องเล็กน้อย

เขาขานว่า “ขอรับ” อย่างนอบน้อม และไปตรวจดูชื่อยา

เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่แต่งตัวใหม่อีกครั้ง และนั่งดื่มชาอยู่บนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่าง

ไป่เจี๋ยเข้ามาแจ้งว่า “ท่านหญิง แม่ทัพหลี่หลี่เชียนแม่ทัพโหยวจีกองบัญชาการซานซีที่รับตำแหน่งใหม่ขอพบเจ้าค่ะ!”

หลี่เชียน?

เจียงเซี่ยนแปลกใจมาก

ทว่าสายตาของไป่เจี๋ยกลับทอประกายเล็กน้อย

ทุกคนต่างรู้ว่าซื่อจื่อจิ้งไห่โหวถูกฮ่องเต้แทงดาบหนึ่งแล้วเพื่อแต่งงานกับเจียงเซี่ยน ไทฮองไทเฮาจะต้องเลือกซื่อจื่อจิ้งไห่โหวให้เป็นสามีของท่านหญิงอย่างแน่นอน แต่ท่านหญิงก็ปฏิบัติกับแม่ทัพหลี่แตกต่างจากคนอื่นมาก ไม่เพียงแต่ไปมาหาสู่กับเขาบ่อย ทว่ายังสนิทสนมมากเหมือนที่ปฏิบัติกับซื่อจื่อชินเอินป๋อ เช่นนั้นท่านหญิงชอบซื่อจื่อจิ้งไห่โหวหรือชอบแม่ทัพหลี่กันแน่เล่า?

ไป๋ซู่เห็นท่าทางของเจียงเซี่ยนแล้วใจก็เต้นตึกตัก

นางคิดไม่ถึงว่าเจียงเซี่ยนกับหลี่เชียนจะสนิทกันขนาดนี้ หลี่เชียนถึงกับกล้ามาขอพบเจียงเซี่ยน

ไป๋ซู่ก้มหน้า และค่อยๆ จิบน้ำชา

เจียงเซี่ยนเอ่ยแล้วว่า “เชิญเขาเข้ามาเถอะ!” หางตาแล่นผ่านชายเสื้อของไป๋ซู่ และคิดว่าไป๋ซู่อยู่ที่นี่ อย่างไรก็ให้ไป๋ซู่หลบไปที่อื่นไม่ได้ จึงเปลี่ยนคำพูดใหม่ทันทีว่า “ให้เขารอในตำหนักใหญ่เถอะ!”

ไป่เจี๋ยยิ้มและถอยออกไป

เจียงเซี่ยนคุยกับไป๋ซู่อีกไม่กี่คำก็ไปที่ตำหนักใหญ่

หลี่เชียนรออยู่ที่นั่นแล้ว

เขายังคงสวมเครื่องแบบองครักษ์เช่นเดิม

เจียงเซี่ยนก็ยิ้มและเอ่ยว่า “ยินดีกับเจ้าด้วยที่ได้เป็นแม่ทัพโหยวจีแล้ว”

แม่ทัพโหยวจีของชายแดนเท่ากับระดับสาม แม่ทัพโหยวจีของกองบัญชาการเท่ากับระดับสี่ แต่หน่วยองครักษ์นั้นต้องเป็นผู้บัญชาการถึงจะเท่ากับระดับสาม

ไม่ว่าอย่างไร สำหรับหลี่เชียนก็ถือว่าเลื่อนตำแหน่งหมด

หลี่เชียนยิ้มพลางเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”

ถึงแม้รอยยิ้มจะสดใสเหมือนเมื่อก่อน แต่เจียงเซี่ยนกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มของเขาไปไม่ถึงในดวงตา และดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก

หรือว่าเขาเจอเรื่องอะไรยุ่งยากงั้นหรือ?

เจียงเซี่ยนครุ่นคิดอยู่ในใจ หลิวตงเยว่ก็ยื่นศีรษะออกมาอยู่หน้าประตู

นางรู้ว่าหลิวตงเยว่มาด้วยเรื่องของจ้าวเซี่ยว และอีกไม่นานจ้าวเซี่ยวก็จะไปแล้ว นางจึงตัดสินใจจัดการเรื่องของจ้าวเซี่ยวก่อนแล้วค่อยคุยกับหลี่เชียนอย่างละเอียด

เจียงเซี่ยนเรียกหลิวตงเยว่เข้ามา

หลิวตงเยว่รู้ว่านางจัดให้เรื่องของจ้าวเซี่ยวมาก่อนการพบแขกที่มาเยือน เขาเองก็ไม่มีเวลาสนใจหลี่เชียนเช่นกัน เขายิ้มพลางหยิบรายการที่เขาเพิ่งจัดออกมา และเอ่ยว่า “เพราะพวกเราคิดจะอยู่ที่ภูเขาวั่นโซ่วแค่สองวัน จึงพกยามาไม่มากนัก และส่วนใหญ่ก็เป็นยาที่ไทฮองไทเฮากับท่านใช้ สิ่งที่สามารถมอบให้ซื่อจื่อจิ้งไห่โหวได้จริงๆ มีเพียงโสม เทียนหมา เถียนชี ไม้กฤษณา เห็ดหลินจือ…เอ่อ…แล้วก็มีเหอโส่วอูที่อายุร้อยปีอีกชิ้นหนึ่งด้วยขอรับ”

เจียงเซี่ยนได้ยินก็อดที่จะเอ่ยด้วยรอยยิ้มไม่ได้ว่า “เหอโส่วอูก็ไม่ต้องแล้ว โสมอายุเท่าไร?”

หลิวตงเยว่เอ่ยว่า “มีสองต้นที่อายุห้าสิบปี มีหนึ่งต้นที่อายุร้อยปี และมีสองต้นที่อายุสองร้อยปี…”

“เช่นนั้นก็ให้ต้นที่อายุสองร้อยปีนั้นแล้วกัน!” เจียงเซี่ยนเอ่ย “เรื่องดีมาถึงพร้อมกัน เทียนหมาล่ะ? ผลิตที่ไหน? ไม้กฤษณาเอามาทั้งหมดเท่าไร”

—————–