บทที่ 131

“เดี๋ยวข้าตามไป” ถังหยินเองก็อยากจะรู้จำนวนของที่ได้มาเช่นกัน

“ขอรับนายท่าน” ถังซ่งกล่าวแล้วเดินจากไป

หลังจากออกไปแล้ว ถังหยินก็หยิบเสื้อมาคลุมตัวก่อนยิ้มให้กับฟานหมิน “ฟานหมิน ท่านมากับข้าก็ได้นะ”

ฟานหมินไม่แม้แต่จะคิด ตอบรับไปในทันที และต่อให้เขาไม่ชวนนางก็จะไปอยู่ดี ใจจริงคือนางไม่ได้อยากจะไปดูสิ่งของหรอกแต่เป็นเพราะนางอยากจะอยู่กับถังหยินจึงคิดไปด้วย

คลังทหารตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเฮิงไม่ไกลจากค่ายทหารนัก ส่วนใหญ่เอาไว้เก็บอุปกรณ์ทางทหารและมีการเฝ้ายามหนาแน่น

เมื่อทั้งสองมาถึง มูฉิงก็รีบเข้ามาต้อนรับพวกเขาด้วยการโค้งคำนับให้ จากนั้นเขาก็หันไปทักทายฟานหมินอย่างสุภาพ

มูฉิงเป็นคนที่มีไหวพริบดี แม้เขาจะไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงของถังหยินกับฟานหมิน แต่ในเมื่อนางอยู่ในจวนของถังหยินมานานขนาดนี้ เขาก็พอจะคาดเดาได้อยู่บ้าง แถมตระกูลฟานเองก็ใหญ่ไม่ใช่เล่นทำให้เขาไม่อาจเสียมารยาทได้

ถังหยินพยักหน้าให้ “จัดเรียงของทุกอย่างเสร็จแล้วสินะ ?”

“แน่นอนขอรับนายท่าน” ชิวเจิ้นยื่นเอกสารให้กับเขา

เนื้อหาข้างในเต็มไปด้วยสิ่งของที่ถูกปล้นสะดมมาทุกรายการ ถังหยินเงยหน้าขึ้นแล้วถาม “ไปดูด้วยตาตัวเองกันเถอะ”

ชายหนุ่มเปิดกล่องที่เก็บเงินทั้งหมดที่ปล้นมาได้ ถังหยินหยิบมันขึ้นมา “เอาพวกนี้ไปหลอมให้หมด”

ชิวเจิ้นตะลึงจนต้องหันมาถาม “นายท่าน ถึงเราจะไม่มีปัญหาด้านการเงินแต่ก็ควรจะเก็บพวกมันเอาไว้ก่อนนะ !”

“ทำไมเล่า ? เก็บเอาไว้แล้วมันจะได้อะไร ?”

“ตอนนี้ข้าน้อยอาจจะยังนึกไม่ออก แต่ในอนาคตเราอาจจะได้ใช้มันเพื่อเป็นทุนทำสงครามก็ได้” เด็กหนุ่มอธิบายอย่างใจเย็น

ถังหยินพยายามคิดตามแต่ก็ยังไม่คล้อยตามเต็มร้อย หากทว่าเมื่อเห็นท่าทีจริงจังของสหายคนนี้ เขาก็เริ่มใจอ่อน “ตามใจเจ้าก็แล้วกัน”

ชิวเจิ้นหัวเราะออกมาอย่างดีใจ แต่มูฉิงเองกลับขำไม่ออก ถังหยินและชิวเจิ้นมีความสัมพันธ์อันดีงามมาก่อน ดังนั้นจึงทำให้เขารู้ตัวว่าการที่ตนจะก้าวขึ้นแทนตำแหน่งของชิวเจิ้นนั้นเป็นไปได้ยากมาก แม้ว่าจะมีความสามารถที่สูงก็ตาม

ชายหนุ่มเดินดูอาวุธและชุดเกราะต่าง ๆ จนมาหยุดอยู่ที่อาวุธของพวกต่างแดน ของเหล่านี้ทำมาจากเงินและทองแดง รวมถึงยังมีรูปแบบที่หลากหลายในการใช้งานที่ต่างกันออกไป แถมทุกชิ้นยังได้รับการตีขึ้นจากช่างทำฝีมือดีอีกด้วย

หลังจากเดินไปอีกหน่อย ถังหยินก็หยิบแก้วขึ้นมาแล้วหันไปมองฟานหมิน “ฟานหมิน ของพวกนี้เจ้าสามารถนำมันไปขายได้หรือไม่ ?” เดิมทีของพวกนี้ก็ไม่มีราคาอะไรมากอยู่แล้ว แม้ว่ามันจะมีคุณภาพดีมากแค่ไหนก็ตาม

หญิงสาวมองวิเคราะห์มันออกอย่างรวดเร็วด้วยความสามารถของตระกูลพ่อค้าที่มี ก่อนที่จะพูดขึ้น “ของพวกนี้ขายในปิงหยวนไม่ได้หรอก ไม่มีใครกล้าซื้ออยู่แล้ว แต่ถ้าหากเอาไปขายที่เมืองหยานละก็ ข้าเชื่อว่าพวกชนชั้นขุนนางน่าจะยอมทุ่มเงินเพื่อซื้อมันมาแน่”

ได้ยินแบบนั้นถังหยินก็ตาลุกเป็นประกาย ชิวเจิ้นและมูฉิงเองก็ไม่ต่างกัน

ฟานหมินอธิบายต่อ “ของพวกนี้หายากมาก แถมในเมืองหลวงเองก็มีบุคคลบางจำพวกที่ยกย่องเชิดชูพวกของต่างแดนนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงอยากจะได้สิ่งของพวกมันมาไม่ว่าจะต้องเสียเงินมากแค่ไหนก็ตาม ดังนั้นเมื่ออยู่ในปิงหยวนมันจะไม่มีค่าแต่ถ้าอยู่ที่เมืองหยานละก็ คุณค่าของมันจะเหนือกว่าที่พวกท่านจินตนาการเสียอีก”

ทุกคนรอบข้างที่ได้ยินคำพูดนั้น พวกเขาก็พากันมองฟานหมินด้วยความชื่นชมที่นางตีความออกมาได้ขนาดนี้ สมแล้วที่เป็นลูกสาวตระกูลพ่อค้า

ชิวเจิ้นถามต่อ “แล้วพวกทาสเชลยที่เราจับมาได้เล่า จะขายได้ราคาที่เมืองหยานด้วยไหม ?”

“แน่นอนอยู่แล้ว ขายได้ราคาดีกว่าพวกทาสธรรมดาถึงสามเท่าเลยล่ะ” ฟานหมินยืนยัน

ถังหยินดีใจที่ได้ยินแบบนี้ “มูฉิง จงนำของพวกนี้และทาสมอร์ฟีสไปที่เมืองหยานเสีย ส่วนทองแดงจากมันก็หลอมให้หมดซะ”

ฟานหมินส่ายหัว “ข้าว่าท่านไม่ควรทำแบบนั้น เชื่อในสิ่งที่ข้าพูดเถอะ”

ถังหยินมองหน้านาง พอเป็นเรื่องของธุรกิจและรายได้นางกลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยทีเดียว และการที่หญิงสาวมีความสามารถแถมยังทำตัวแบบนี้ มันก็ช่างสะกิดต่อมความหงุดหงิดของใครหลายคนไม่เว้นแม้แต่ถังหยินด้วย

ของที่ปล้นสะดมมาได้จากเมืองราชสีห์นั้นถูกเก็บเอาไว้ในคลังอาวุธเรียบร้อยแล้ว เผื่อในกรณีที่จะมีการเกณฑ์ทหารเข้ามาใหม่จะได้มีอาวุธพร้อมรบได้ทันที ส่วนเสบียงเองก็เก็บแยกเอาไว้ต่างหากที่โรงเก็บ

ส่วนของที่ยึดปล้นมาได้และน่าจะเป็นที่ต้องตาของหมู่ชนชั้นขุนนางนั้นก็ขายได้ราคาดียิ่งนัก พวกเขาต่างก็สู้ราคาเพื่อแย่งซื้อมันมาไม่เว้นแม้แต่พวกพ่อค้าต่างแดนเองก็ด้วย พวกเขายอมจ่ายเพื่อเอากลับไปขายที่แคว้นเกิดตัวเองในราคาที่สูงเทียมฟ้า

กล่องทั้ง 5 ของมอร์ฟีสขายหมดตั้งแต่ 3 วันแรกที่เข้ามาในเมือง มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมาถึง เพราะทั้ง 5 กล่องนั้นขายได้เป็นเงินรวมกันทั้งหมด 2 แสนเหรียญ กลายเป็นต้นทุนที่ทำให้เขตปิงหยวนใหญ่โตขึ้นอีกมาก

ไม่กี่วันที่ผ่านมา กองทัพปิงหยวนได้พึ่งพาพลังของม้าแคว้นโมในการรุกรานเมืองราชสีห์อีกหลายครั้ง พวกเขาบุกทะลวงลึกเข้าไปในเขตพวกมอร์ฟีสมากขึ้นและปล้นสะดมทุกสิ่งอย่างกลับมาทำเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ และยิ่งพวกเขาปล้นมามากเท่าไหร่ กองทัพก็ยิ่งเข้มแข็งเท่านั้น

มันเป็นเหมือนกับวัฏจักรนรกที่ไม่มีวันสิ้นสุด เพราะการที่จะทำแบบนี้ได้พวกเขาจะต้องมีกองทัพที่ใหญ่โต และเพื่อการนั้นกองทัพปิงหยวนเองก็ต้องฝึกฝนตัวเอง ขยายกำลัง พร้อมทั้งออกปล้นตลอดเวลาเพื่อทำให้พวกเขาเริ่มหวาดกลัวพวกต่างแดนน้อยลง

สวนทางกับพวกมอร์ฟีสที่ใช้ชีวิตในการปล้นแคว้นเพื่อนบ้านมากมาย มาในครั้งนี้พวกเขากลับต้องมากลัวการกระทำนี้เสียเอง

ครั้งนี้หน่วยข่าวกรองของหลีเทียนเริ่มแสดงผลของมันแล้ว ทำให้พวกเขาทราบข่าวที่พวกมอร์ฟีสส่งกองทัพออกมาตอบโต้การบุกปล้น ดังนั้นถังหยินจึงทำการเบี่ยงเส้นทาง เพื่อไปออกปล้นเมืองรอบข้างแทน

หลังจากที่พลาดไปหนหนึ่ง พวกทหารเบสซ่าก็พลันเปลี่ยนยุทธวิธี พวกมันใช้การซุ่มโจมตีอยู่ที่รอบข้างแทน ซึ่งหน่วยข่าวกรองของอัยเจียก็ทำให้แผนนี้ถูกเปิดโปง เรียกได้ว่าพวกปิงหยวนรู้ทุกการเคลื่อนไหวของพวกมอร์ฟีสอย่างแท้จริง

อาจพูดได้เต็มปากว่าหน่วยข่าวกรองของหลีเทียนและอัยเจียนั้นมีส่วนช่วยในการบุกรุกรานเขตเบสซ่าเป็นอย่างมาก ทำให้พวกถังหยินสามารถเคลื่อนทัพได้สะดวกที่สุดเท่าที่เคยมีมา

เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง เมืองราชสีห์ก็หยุดการรุกรานปิงหยวนอย่างสิ้นเชิง ทำให้ที่นี่เริ่มมีสันติสุขขึ้นอีกครั้ง

ในช่วงต้น ถังหยินมักจะไปกับกองทัพเพื่อร่วมรบด้วยกัน แต่มาในช่วงหลัง ๆ นี้เขาเริ่มไม่อยากไปเพราะเขาไม่อยากจะเข้าร่วมการปล้นง่าย ๆ แบบนั้นอีกต่อไป

เพราะเขามักจะออกคำสั่งให้บุก บุก บุก และก็บุกโจมตีเพียงอย่างเดียว และยิ่งเขาทำมันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้ของติดไม้ติดมือกลับมามากเท่านั้น

กองทัพปิงหยวนมีทหารนับ 8 หมื่นนายแล้วในตอนนี้ ซึ่งอันที่จริงแล้วต้องบอกว่าทั้งแคว้นเฟิงนั้นมีทหารมากมาย หากแต่ส่วนใหญ่นั้นได้มารวมตัวกันอยู่ที่เขตปิงหยวน โดยพวกเขาเหล่านั้นจะได้รับการฝึกและออกรบกับพวกเบสซ่า ทำให้กองทัพของพวกเขาไม่ต่างอะไรจากกองทัพหลวงที่เมืองหยานเลย

นี่คือกุญแจหลักที่จะทำให้ถังหยินก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ในอนาคตได้

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยกฎหมายใหม่ที่ทางเขตเพิ่งออกมา มันก็ทำให้เงินในคลังเพิ่มมากขึ้นจนทำให้สามารถดูแลกองทหารหลายหมื่นนายได้สบาย ๆ และบางทีก็อาจจะถึงแสนนายได้ด้วยซ้ำ

ในช่วงเวลานี้ ถังหยินได้ใช้เวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่ ชีวิตของเขาไม่ต่างอะไรจากโลกเดิมที่เหมือนกับคนไม่มีงานทำเลย

ในตอนแรกเขตปิงหยวนต่างจากนี้มาก และถังหยินเองก็ต้องจัดการงานทุกอย่างไม่เว้นวัน แต่ตอนนี้เขาสามารถออกไปทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น ล่าสัตว์ กิน หรือดื่มกับลูกน้องของเขา

เขาสามารถใช้การดื่มเหล้าเพื่อเพิ่มความสนิทสนมกับเหล่าสหายร่วมรบได้ และยิ่งใกล้ชิดกันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้นเท่านั้น

ในวันนี้ ถังหยิน ชิวเจิ้น มูฉิง จางโจว และคนอื่นพากันออกไปล่าสัตว์

ถ้าพูดถึงการยิงธนู ถังหยินถือว่าอยู่ในระดับกลาง ๆ และเที่ยงวันนั้นพวกเขาก็ล่าสัตว์มาไม่น้อย จึงเอาพวกมันกลับไปกินอย่างอิ่มเอมในร้านอาหารของเมืองเฮิง

ถังหยินกับทุกคนแต่งตัวกันเหมือนคนธรรมดาเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาใหญ่ ๆ ทั้งหลาย หากแต่พวกเสี่ยวเอ้อเองก็รู้จักตัวตนของเขาอยู่แล้ว จึงทำให้ได้รับการบริการเป็นอย่างดี

หลังจากส่งมอบวัตถุดิบให้ไปแล้ว พวกเขาก็เข้าไปในห้องส่วนตัวที่ทางร้านจัดเอาไว้ที่ชั้น 2