ภาค 1 บทที่ 96 พังประตูเข้าไป

จอมศาสตราพลิกดารา

“พวกเจ้าเป็นใคร?” ในใจของหลี่มู่พลันมีลางสังหรณ์ไม่ดีปรากฏขึ้นรางๆ “เฝิงหยวนซิง หม่าจวินอู่เล่า? ให้พวกเขาออกมาพบข้า”

“ฮ่าๆ สุนัขสองตัวนั่นล่วงเกินคุณชายหลี่ปิง รนหาที่ตาย อาจารย์ของข้าจับยัดเข้าคุกไปทรมานแล้ว เจ้าล่ะเป็นใคร? หรือจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของพวกมัน ทหาร จับมันไว้” ผู้นำที่ท่าทางเหมือนขุนพลหัวเราะเสียงเย็น ออกคำสั่งให้ทหารลงมือ

จับยัดเข้าคุก?

ทรมาน?

หลี่มู่หัวใจเย็นวาบ

นี่เป็นเรื่องเมื่อใดกัน?

เขาตัวชาวาบ ไม่สนใจจะถามอะไรอีกแล้ว ร่างไหววูบ สำแดงวิชาตัวเบาแปลงเป็นลำแสงสายหนึ่ง พุ่งเข้าไปยังคุกของที่ว่าการ

ช่วยคนสำคัญกว่า

ช่วยคนออกมาก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

รองนายพลคนนั้นและทหารชุดเกราะดำทั้งหลายรู้สึกแค่เบื้องหน้าพร่าเลือน ลมกระโชกวูบผ่าน ร่างของหลี่มู่หายไปราวกับความฝัน

“หนีรึ? ตามไป”

“รีบไปรายงานใต้เท้าทั้งสองกับอาจารย์เจิ้ง”

“อ๋อ ข้าจำได้แล้ว มันคือหลี่มู่ ขุนนางเมืองหลี่มู่คนนั้น”

เสียงร้องโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นหน้าประตูที่ว่าการอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

……

“มารดามันเถอะ สลบไปอีกแล้ว…”

หลี่ปิงโยนตราประทับแดงร้อนในมือเข้าไปในอ่างไฟที่อยู่ข้างๆ ทำการเผาต่อไป

กลิ่นเนื้อไหม้ลอยตลบในอากาศ

บนหลักทรมาน เฝิงหยวนซิงเนื้อตัวเปลือยเปล่า ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผลประหลาดมากมาย ไม่มีผิวหนังส่วนไหนที่สมบูรณ์ กระทั่งเนื้อที่หน้าอกและต้นขายังถูกเฉือนออกมาจนเห็นกระดูกขาว แต่ว่าบริเวณนั้นก็ทาไว้ด้วยยาสมานแผลห้ามเลือด เพราะหลี่ปิงไม่อยากให้เฝิงหยวนซิงตายไวนัก

เขายังเล่นไม่สะใจเลย

ซ่า!

น้ำเย็นที่ผสมด้วยน้ำแข็งและพริกสด ราดลงไปยังร่างของเฝิงหยวนซิงที่สลบอยู่

“อ๊าก…”

ท่ามกลางเสียงโอดครวญแผ่วเบา เฝิงหยวนซิงฟื้นสติคืนมาบ้างบางส่วน ดวงตาเปิดขึ้นช้าๆ

“ฮ่าๆ เจ้าลูกหมา ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว เห็นข้าคนนี้ดีใจหรือไม่ ฮ่าๆๆ ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบ ข้าจะค่อยๆ เล่นเป็นเพื่อนเจ้าเอง รับประกันว่าถึงใจแน่นอน ฮ่าๆๆๆ!”

เสียงหัวเราะเหี้ยมเกรียมของหลี่ปิงดังก้องในห้องทรมาน

ด้านข้าง พัศดีผู้หนึ่งดึงกล่องสูบลมเหงื่อไหลไคลย้อยอยู่ข้างหน้าอ่างไฟ พัศดีอีกคนหนึ่งเติมถ่านลงไปในอ่างไฟ เปลวไฟลุกสูงขึ้นมาหนึ่งจั้ง แสงสีส้มแดงแผ่ความร้อนที่น่ากลัวออกมา แผดเผาจนตราประทับลงทัณฑ์รูปทรงต่างๆ หลายอันในอ่างไฟกลายเป็นสีส้มแดง

“ต่อไป พวกเราเลือกอันไหนดี?”

ใบหน้าของหลี่ปิงเผยยิ้มเหี้ยมโหด สายตากวาดไปยังตราประทับลงทัณฑ์ในอ่างไฟ เสียงเย็นเยือกราวภูตผีจากนรก

สุดท้าย เขาเลือกห่วงรัดศีรษะที่ถูกเผาจนแดง

“จิๆๆ สิ่งนี้หากครอบไปบนหัว น่ากลัวว่าสมองคงโดนเผาจนสุกกระมัง” หลี่ปิงยกห่วงรัดศีรษะแดงร้อนมาข้างหน้าเฝิงหยวนซิง หัวเราะเอ่ยว่า “ไม่อย่างนั้นเอาแบบนี้ แค่เจ้าด่าหลี่มู่เป็นลูกโสเภณี ข้าจะละเว้นเจ้าครั้งหนึ่ง ให้เจ้ากลับไปพักในห้องขังเป็นอย่างไร?”

ริมฝีปากของเฝิงหยวนซิงขยับเล็กน้อย ส่งเสียงแผ่วเบาออกมา

“เจ้าว่าอะไรนะ?” หลี่ปิงเดินเข้าไปใกล้

“ถุย!” เสมหะปนเลือดถ่มไปบนหน้าของหลี่ปิง

หลี่ปิงโมโหจนคลั่งทันที “เจ้ามันรนหาที่ตาย ทหาร ครอบหัวมัน ครอบมันให้ตาย…”

ทรมานเฝิงหยวนซิง เจินเหมิ่ง และหม่าจวินอู่นานขนาดนี้ แต่เดิมคิดว่าจะทำให้ขุนนางอำเภอขาวพิสุทธิ์สามคนร้องขอน้ำมูกน้ำตาไหล แต่ว่าผลกลับทำให้เขาผิดหวัง ไม่ว่าจะใช้ทัณฑ์ทรมานโหดร้ายขนาดไหน ไม่ว่าจะทำร้ายร่างกายอย่างไร แต่ก็ไม่อาจทำให้พวกเขาอ้าปากร้องขอได้เลย

แววตาแบบนั้นในดวงตาของคนทั้งสาม กระทั่งทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

ตอนนี้เอง…

โครม!

ประตูห้องทรมานข้างหลังถูกเปิดออก ส่งเสียงดังลั่น

หลี่ปิงโมโห สบถด่าโดยไม่แม้แต่จะหันหน้าไป “ไอ้ชั่วตัวไหนไม่มีตา ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ? ตอนข้ากำลังเล่นสนุกอย่ามารบกวน มารดาเจ้ารนหาที่ตายรึไง?”

ในห้องทรมานเงียบสงัด

เงียบกริบไร้เสียงใด

พัศดีที่กำลังเผาตราประทับสองคนนั้นมองไปยังประตูห้องทรมาน ใบหน้าปรากฏความตื่นตระหนก ตกใจจนสีหน้าซีดขาว ตัวสั่นงันงก ก่อนไม่ทันระวังทำอ่างไฟร่วงลงพื้นเสียงดังเคร้ง

พัศดีที่เหลือสามสี่คนก็ประหนึ่งกลายเป็นหิน ตัวแข็งทื่ออยู่กับที่

หลี่ปิงเห็นภาพนี้ ในใจก็ตื่นตะลึง ความลนลานและหวาดกลัวที่ยากจะบังคับพลันเกิดขึ้นในใจอย่างไม่มีเหตุผล เขาหมุนตัวกลับมาช้าๆ หันหน้ามา จากนั้นความตกตะลึงก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ตามด้วยความหวาดกลัว…

หน้าประตูห้องทรมาน ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาอย่างเนิบช้า

ข้างหลังเขา ทหารเกราะดำที่ล้มระเกะระกะร้องโอดครวญเจ็บปวด เหมือนกับต้นข้าวสาลีที่ถูกพายุคลั่งกวาดล้ม

“เจ้าๆๆ…หลี่มู่ เจ้า…กึกๆๆๆ…”

หลี่ปิงสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ฟันกระทบกึกๆ คำพูดประโยคเต็มๆ ก็พูดออกมาไม่ได้

ความหวาดกลัวที่ยากจะบรรยายเสมือนฝันร้าย ทำให้เขาตัวงอ ความคิดในตอนนั้นหยุดชะงัก

เพราะเขาจำได้ ผู้ที่บุกเข้ามาก็คือหลี่มู่นั่นเอง

เด็กหนุ่มที่ช่วงเวลาก่อนหน้านี้กลายเป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิตของหลี่ปิง แต่เดิมเขาคิดว่าช่วงสามสี่วันนี้ เขาที่หลุดพ้นออกมาได้หลุดจากฝันร้ายนั่นแล้ว เขากระทั่งอยากเจอหลี่มู่อีกครั้งอย่างอดรนทนไม่ไหว คิดจะจัดการล้างแค้น แต่ในตอนที่หลี่มู่ปรากฏตัวต่อหน้าจริงๆ เขากลับอยากจะหนี คิดแค่ไม่อยากจะเห็นหน้าหลี่มู่ไปตลอดกาล

ตุบ ตุบ!

พัศดีในห้องทรมานล้วนคุกเข่าลงกับพื้น

พัศดีพวกนี้ ไม่ใช่ทหารชุดเกราะสีดำที่มาจากเมืองฉางอัน แต่เป็นคนที่เฝ้าอยู่ในคุกแต่เดิม ดังนั้นจึงต่างรู้จักหลี่มู่ แต่ละคนตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง หน้าก็ไม่กล้าเงยขึ้นมอง

สายตาของหลี่มู่ไม่ได้หยุดอยู่บนร่างของพัศดีพวกนี้

และก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่หลี่ปิงเช่นกัน

เขากระทั่งไม่มองหลี่ปิงด้วยซ้ำ กลีบเดินผ่านอีกฝ่ายมายังหน้าหลักทรมาน

“อือๆ…ฮือๆ…”

เฝิงหยวนซิงลืมตาขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง มองย้อนแสงมา ในที่สุดก็มองเงาร่างที่มาถึงเบื้องหน้าตัวเองได้อย่างชัดเจน เขาตื่นเต้นขึ้นมาทันที ก่อนจะพูดสะอึกสะอื้นบางอย่าง แต่เอ่ยได้ไม่ชัดถ้อยชัดคำ ขณะร่างกายสั่นเทิ้ม สุดท้ายก็กลายเป็นเสียงร้องไห้เจ็บปวดที่ทั้งเหมือนน้อยอกน้อยใจ ทั้งเหมือนตื่นเต้น

หลี่มู่กุมมือเฝิงหยวนซิงเอาไว้

เสี้ยวขณะนี้ เขาแทบจะสูญเสียความสามารถในการพูดไป

ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

“ขอโทษ…” ในใจหลี่มู่รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก และกล่าวโทษตัวเอง “ขอโทษด้วย ทุกอย่างเป็นเพราะข้า ข้ามาช้าไป ขอโทษ”

เขายื่นมือดึงเอาโซ่และตะขอที่ทิ่มแทงอยู่บนร่างของเฝิงหยวนซิงทุกอันออก จากนั้นโอบร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลลงมาจากหลักทรมาน

“เตรียมเปลหาม ไปเชิญหมอมา…เร็วเข้า!”

หลี่มู่หันไปสั่ง

พัศดีที่คุกเข่าอยู่บนพื้นสามสี่คนนั้นหัวไว เร่งลงมือทันที

มีคนไปเชิญหมอ

มีคนไปยกเปลหามที่ปูด้วยผ้าฝ้ายมาสองสามเปลหามอย่างลนลานทำอะไรไม่ถูก

หลี่มู่วางเฝิงหยวนซิงลงบนเปลหามเบาๆ “เจ้าวางใจได้ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว ต่อไปใครก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้อีก บนโลกนี้มียาวิเศษอะไร ข้าจะต้องหามาให้เจอ ไม่ว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนอะไร ก็ต้องรักษาเจ้าให้ได้”

เฝิงหยวนซิงมองใบหน้างดงามอ่อนวัยในครรลองสายตาของดวงตาที่พร่าเลือน ในใจสงบลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับว่าความเจ็บปวดทั้งหมดบนร่างหายไปในพริบตา

“ยัง..ยังมี…ใต้เท้าหม่าจวินอู่และเจิน…ใต้เท้าเจิน พวกเขา…” เฝิงหยวนซิงนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงดิ้นรนลุกขึ้นพูดอย่างร้อนใจ

อีกครู่หนึ่ง

หม่าจวินอู่และเจินเหมิ่งสองคนถูกหามออกมาจากห้องขังที่ทั้งชื้นทั้งสกปรก ก่อนจะถูกจัดให้นอนบนเปลหามที่นุ่มและแห้งสนิท

ยามเห็นร่างแทบที่จะไม่เหมือนคนเช่นเดียวกันและรอยแผลประหลาดมากมายทั่วตัว โดยเฉพาะเมื่อเห็นแขนข้างหนึ่งของหม่าจวินอู่ขาดไปเสียด้วยซ้ำ สมองของเขาเหมือนโดนฟ้าฟาดผ่า เลือดร้อนทะลักล้น ไฟโทสะคุกรุ่น จนสมองของเขาแทบจะระเบิด

หลี่มู่สูดหายใจลึก พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ระเบิดอารมณ์สุดความสามารถ

“ใต้เท้า ข้า…ข้าไม่ได้หักหลังท่าน ข้า…” เจินเหมิ่งเอ่ยอย่างอ่อนแรง

ชายที่เงียบขรึมพูดน้อยคนนี้ บนใบหน้าซึ่งบาดเจ็บเละเทะทำได้แค่พอจะแยกหูตาจมูกปากได้

แต่ดวงตาของเขาเป็นประกาย แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มได้ใจชัดเจน

เพราะเขารู้ ในที่สุดตนก็ยืนหยัดมาจนได้

เขาทำได้แล้ว

ใบหน้ายิ้มแย้มของหลี่มู่แย่เสียยิ่งกว่าร้องไห้ พยายามฝืนยิ้ม พยักหน้าพูดว่า “ข้ารู้ ข้ารู้แล้ว ข้าดูคนไม่ผิด…วางใจเถิด พวกเจ้าจะต้องดี ดียิ่งกว่าเมื่อก่อน ข้าจะล้างแค้นให้พวกเจ้าด้วยมือของข้าเอง ความเจ็บปวดที่พวกเจ้าได้รับ ข้าจะเอาคืนให้คนที่ทำร้ายพวกเจ้าเป็นร้อยเป็นพันเท่า”

พวกพัศดีได้ยินประโยคนี้ก็ตกใจกลัวจนหน้าซีดขาวไปในทันที ต่างพากันคุกเข่าลงบนพื้น

“ใต้เท้า พวกเราโดนบังคับ…”

“พวกเราก็ไร้หนทางเช่นกัน เขาบอกว่าถ้าไม่ทำตามคำสั่งจะจับข้าน้อยแขวน จากนั้นก็สังหารครอบครัวของข้าน้อยทั้งบ้าน ข้า…”

พวกพัศดีร้องขอ

“ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า” หลี่มู่กล่าว

พัศดีพวกนี้เป็นพวกน่าสงสาร โดนข่มขู่บีบบังคับ จะกล้าขัดคำสั่งหลี่ปิงได้อย่างไร

เป็นแค่ตัวประกอบเล็กๆ ครอบครัวถูกลากเข้ามาพัวพันด้วย ต่อให้มีใจก็ช่วยพวกเฝิงหยวนซิงไม่ได้ พวกเขาเป็นแค่เครื่องมือที่ถูกเอามาใช้ประโยชน์เท่านั้น หลี่มู่ถึงแม้จะโกรธแค้น แต่ก็รู้ว่าไม่ควรเอาความพวกเขา

สายตาของหลี่มู่จ้องไปยังหลี่ปิง

“อ๊ากกก…” หลี่ปิงที่แต่เดิมอยู่กับที่ไม่กล้าขยับพลันตื่นขึ้นจากฝัน ร้องลั่นราวกับสุนัขถูกเหยียบหาง จากนั้นวิ่งพุ่งไปยังประตูห้องทรมานพลางคิดจะหลบหนี

หลี่มู่ไม่ได้ไล่ตาม

ปลายเท้าเขาออกแรง ก้อนหินบนพื้นก้อนหนึ่งพุ่งกระเด็นไป

ผัวะ!

ก้อนหินยิงทะลุขาซ้ายของหลี่ปิง ละอองเลือดสาดกระจาย

เขาล้มเหมือนน้ำเต้าที่กลิ้งไปบนพื้น ร่ำร้องอย่างน่าสังเวช “อ๊าก ไม่ อย่าข้าฆ่า อย่าฆ่าข้า บิดาของข้าคือหลี่กัง เป็นเจ้าเมืองฉางอัน อย่าฆ่าข้า…”

ตอนนี้ หมอที่ฝีมือดีที่สุดในเมืองหลายคนเข้ามาอย่างรีบร้อนภายใต้การนำของพัศดี

หลังจากตรวจเสร็จรอบหนึ่ง

“ใต้เท้า นอกจากหัวหน้ามือปราบหม่าจวินอู่ ทั้งสองยังถือว่าดี ล้วนแต่เป็นบาดแผลภายนอก ไม่ถึงแก่ชีวิต จำต้องพักผ่อนเป็นเวลานาน สามารถฟื้นฟูได้ แต่ว่าจะเหลือรอยแผลเป็นทิ้งไว้…” หมอที่เคยรักษาแผลจากธนูให้หลี่มู่เมื่อคราวอยู่ในถ้ำพรรคเสินหนงเอ่ยรายงาน

“รอยแผลไม่น่าเป็นห่วง รีบรักษาก็ได้แล้ว ต้องการยาอะไรให้คนมาบอกข้าได้เลย” หลี่มู่พยักหน้าให้ สูดลมหายใจลึกอีกครั้งก่อนจะถาม “หัวหน้ามือปราบหม่าจวินอู่ ยังพอจะช่วยได้หรือไม่”

“ใต้เท้าหม่าเสียเลือดมาก แขนขาดไปข้างหนึ่ง สถานการณ์อันตรายมากขอรับ…” หมอผู้นั้นพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ

……………………………………………………