ตอนที่ 139

เสน่ห์คมดาบ

แคลร์ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี 

 

 

นายน้อยมองตามสายตาของแคลร์และเห็นว่าแคลร์มองมาที่มือของตนเองก็กระพริบตาทันที “สาวสวย หากเจ้าชอบสิ่งนี้ข้าก็จะให้เจ้า” นายน้อยยื่นแกนเวทย์ทั้งหมดในมือให้แคลร์ 

 

 

“หือ?” แคลร์เรียกสติแล้วเอาแกนเวทย์ใส่ในแหวนมิติ ถ้าไม่เอาก็เสียเปล่าสิ! ของที่ล้ำค่าเช่นนี้ “ขอบคุณนะ” แคลร์ขอบคุณอย่างสุภาพ 

 

 

“สาวสวย เจ้ามีแหวนมิติอยู่ในมือหรือ?” นายน้อยถามพลางจ้องไปที่นิ้วของแคลร์ 

 

 

“อืม แต่มีพื้นที่ไม่มากนัก” แคลร์ตอบตามความเป็นจริง 

 

 

“ไปกันเถอะ สาวสวย ข้าจะพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง” นายน้อยเหยียดขาออกและเตะมังกรดิน “ไป พาพวกเราไปที่ใจกลางดินแดนนี้ รีบไปสิ ไม่อย่างนั้นข้าจะทอดเจ้านะ!” 

 

 

ทันทีที่คำพูดนั้นออกมา มังกรดินที่อยู่ข้างใต้ก็รีบวิ่งไปข้างหน้าราวกับว่าถูกทุบตี ทิวทัศน์ข้างๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อแคลร์มองไปก็รู้สึกตื่นตาจนอดสงสัยไม่ได้ว่า    มังกรดินมีความเร็วขนาดนี้เลยหรือ? มังกรดินขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อไม่ใช่หรือ? 

 

 

มังกรดินวิ่งไปตลอดทาง ระหว่างทางมันวิ่งผ่านไปยังที่อยู่ของสัตว์เวทย์ตัวอื่น มีสัตว์เวทย์ที่คำรามพยายามจะต่อสู้กับมังกรดิน แต่เมื่อพวกมันเห็นคนที่อยู่บนหลังมังกรดิน พวกมันก็กลัวและแยกย้ายกันไป ไม่มีสัตว์เวทย์ตัวใดกล้าขวางหน้าเลย พวกมันพยายาม    ที่จะหลบหนีไปอย่างเต็มที่ 

 

 

แคลร์ตะลึง ปีศาจสาวตนนี้น่ากลัวขนาดนั้นจริงๆ หรือ? 

 

 

มังกรดินวิ่งไปตลอดทางทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจาย ไม่นานมันก็วิ่งไปหยุดที่สถานที่หนึ่ง ที่นี่เป็นพื้นที่ราบว่างเปล่าไม่มีต้นไม้ มีแต่สนามหญ้า มังกรดินหายใจหอบอย่างหนักและหยุดอยู่ที่นั่น 

 

 

นายน้อยพลิกตัวจับมือแคลร์และดึงนางลงมาอย่างรุนแรง จากนั้นก็เหยียดเท้าออกและเตะมังกร “ไปให้พ้น เห็นแก่เจ้าทำตัวดี วันนี้ข้าจะไม่กินเจ้าแล้ว” 

 

 

มังกรดินหันหลังและวิ่งออกไปด้วยความตื่นเต้น มันน้ำตาไหลและวิ่งไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมาเลย 

 

 

“ไป สาวสวย ข้าจะพาเจ้าไปเก็บขยะ” นายน้อยปล่อยมือแคลร์ จากนั้นก็นั่งยองๆ สองมือประสานเข้าหากันและเปล่งเสียงแผ่วเบา “เปิด!” มือที่ประสานกันค่อยๆ แยกออก และเมื่อมือแยกออก หลุมก็ค่อยๆ เปิด ทางเดินบันไดหินมืดๆปรากฏต่อหน้าแคลร์ 

 

 

เก็บขยะ? 

 

 

แคลร์มองไปที่บันไดหินตรงหน้า ทางนี้มันจะพาไปที่ไหนกันนะ? 

 

 

“ไปกันเถอะ!” นายน้อยดึงแคลร์แล้วก้าวลงบันไดไป 

 

 

บันไดที่มืดมิดนั้น เมื่อหญิงสาวสะบัดนิ้วก็มีแสงสว่างนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นที่เหนือ     

 

 

“ที่นี่ที่ไหน?” แคลร์มองไปที่ผนังที่มีรอยด่างแล้วถามเบาๆ นายน้อยมีพลังมาก นางจับมือแคลร์อย่างดื้อรั้นและเดินตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ 

 

 

“ไม่รู้ว่าวังใต้ดินของใคร แต่ยังไงก็ตามเจ้าน่าจะใช้ขยะข้างในนี้ได้นะ” นายน้อยพูดอย่างเป็นกันเอง “ข้าพบมันโดยบังเอิญเมื่อคราวก่อน    “ 

 

 

กลิ่นอับชื้นโชยมาเตะจมูก แคลร์มองไปที่บันไดหินยาวด้วยความสงสัยในใจ ตั้งแต่ได้พบกับหญิงสาวที่มีดวงตาสีแดงนี้ แคลร์ก็มีคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ     

 

 

หลังจากเดินไปได้สักพัก ในที่สุดก็เดินไปสุดบันไดหินและมาถึงที่โล่ง 

 

 

นี่คือพระราชวังโบราณร้างที่มีกำแพงปรักหักพังเสาที่ทำจากหยกขาวไร้ความแวววาวไปนานแล้ว แต่ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้แสดงให้เห็นถึงความหรูหราและโอ่อ่าของพระราชวังนี้ในสมัยก่อนได้อย่างดี 

 

 

“เข้าไปข้างในกันเถอะ” นายน้อยเดินไปข้างหน้า “ไม่มีใครหรอก มีแค่กระดูก ไม่รู้ว่าพวกเขาเสียชีวิตเมื่อไหร่” 

 

 

แคลร์มองไปรอบๆ บริเวณโดยรอบนั้นไร้ชีวิตชีวาและเงียบสงบมาก แคลร์ตามนายน้อยไปที่ส่วนที่ลึกของวัง พวกนางเดินขึ้นไปบนห้องโถงและเมื่อมองขึ้นไปก็มีกล่องสมบัติขนาดใหญ่บนบัลลังก์ของห้องโถง แต่มีร่องรอยของการถูกเปิดออกแล้ว 

 

 

“มานี่ สาวสวย นี่เป็นรางวัลของเจ้าสำหรับการพูดคุยกับข้าในวันนี้” นายน้อยเรียกแทนตัวเองอย่างสนิทสนมเป็นครั้งแรก นางก้าวไปข้างหน้าและเปิดกล่อง จากนั้นก็กระตุกมุมปากและพูดด้วยความรังเกียจ “สิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์สำหรับข้าเลย บางทีมันอาจมีประโยชน์สำหรับเจ้านะ” 

 

 

แคลร์ก้าวไปข้างหน้าด้วยความสงสัย หลังจากเห็นของในกล่องแคลร์ก็ตะลึง กล่องนั้นถูกรื้อค้นจนรกมาก ในกล่องมีแหวนแปดวง แกนเวทย์ หินล้ำค่า อัญมณี และแร่ล้ำค่า 

 

 

“แหวนวงนี้…” แคลร์มีคำตอบในใจแล้ว แต่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลย 

 

 

“แหวนมิติไง” นายน้อยตอบอย่างลวกๆ พลางหันมองไปรอบๆ 

 

 

แคลร์หยิบแหวนขึ้นมาดูข้างในด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ต้องตกใจกับพื้นที่ของแหวน พื้นที่ภายในแหวนแต่ละวงมีขนาดใหญ่เท่ากับห้องโถงนี้เลย! 

 

 

“ของพวกนี้ล้วนเป็นของที่น่าเบื่อ” นายน้อยหาวแล้วพูดออกมา  

 

 

แคลร์คิดสักพักแล้วเก็บทุกอย่างลงกล่อง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งล้ำค่า แต่นายน้อยเรียกมันว่าขยะเนี่ยนะ… 

 

 

“สาวสวย ทำไมเจ้าถึงสวมถุงมือที่มือขวาอยู่ตลอดล่ะ” แม้ว่านายน้อยจะเอ่ยปากถาม แต่ก็ขยับมือไปถอดถุงมือของแคลร์อย่างลวกๆ 

 

 

แคลร์ที่ไม่สามารถคัดค้านนายน้อยได้ก็ได้แต่มองนายน้อยถอดถุงมือออก 

 

 

“อ๊า! ตราของเทพเจ้าแห่งความมืด!” นายน้อยอุทานอย่างตื่นเต้นราวกับว่าได้ค้นพบโลกใหม่ 

 

 

แคลร์ไม่แปลกใจเลยที่นายน้อยจะรู้จักสิ่งนี้ แต่แคลร์รู้สึกประหลาดใจที่นางดูตื่นเต้น 

 

 

“เจ้าถูกตีตราแล้ว เจ้ามีอะไรที่แตกต่างคนจากอื่นล่ะ?” นายน้อยดูเหมือนจะเข้าใจความหมายของตรานี้จึงเงยหน้าขึ้นมองแคลร์อย่างสงสัยพลางลูบคางของตัวเองไปด้วย 

 

 

“เจ้ารู้จักเทพเจ้าแห่งความมืดหรือ?” แคลร์ถามอย่างไม่แน่ใจ ปีศาจสาวผู้นี้จะรู้จักเทพแห่งความมืดหรือไม่นะ? โลกปีศาจและโลกมนุษย์    แตกต่างกัน จะมีทางที่เชื่อมต่อกันหรือไม่? 

 

 

“ชิ! เทพเจ้าแห่งความมืดแล้วยังไงล่ะ!” นายน้อยตะคอกอย่างเหยียดหยาม “ถ้าเขาปรากฏตัวต่อหน้าข้าตอนนี้ ข้าจะตบหน้าเขาทันทีเลย!” 

 

 

แคลร์ตะลึง หญิงผู้นี้เป็นคนแบบไหนกัน? มีความแข็งแกร่งขนาดนั้นหรือว่านางโม้กันแน่? 

 

 

“สาวสวย ดูเหมือนว่าความรู้ความเข้าใจที่ไร้สาระของมนุษย์จะแปลกจริงๆนะ นั่งลงสิ ข้าจะบอกเจ้าเอง” นายน้อยนั่งลงที่บันไดแล้วตบที่ข้างๆ บอกให้แคลร์นั่งลงด้วย 

 

 

แคลร์นั่งลงข้างๆ นาง 

 

 

“เจ้าคิดว่าเทพีแห่งแสงที่เจ้าเชื่อนั้นเป็นเทพเจ้าจริงๆ หรือ?” นายน้อยยิ้มเยาะ 

 

 

แคลร์ตะลึง มองนายน้อยที่กำลังยิ้มเยาะอย่างไม่เข้าใจว่านางหมายถึงอะไร 

 

 

“เทพเจ้า ทำไมเรียกเทพเจ้าล่ะ? พวกเขาเป็นเพียงผู้ที่แข็งแกร่งในหมู่มนุษย์ พวกเขาดำรงชีวิตอยู่เหนือกว่ามนุษย์ทุกคนเท่านั้นเอง! เทพเจ้าที่แท้จริงของโลกมนุษย์มีเพียงพระมารดาและพระบิดา    ที่สร้างโลกมนุษย์ขึ้นมาเท่านั้น เทพีแห่งแสง เทพเจ้าแห่งความมืดอะไรนั่น คนพวกนี้ทั้งหมดนี้สามารถถูกแทนที่ได้ทั้งนั้น เผ่าพันธุ์เอลฟ์ก็ถูกสร้างขึ้นโดยพระบิดาและพระมารดาเช่นกัน และเทพแห่งเอลฟ์ก็คือเอลฟ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่เอลฟ์เท่านั้นเอง” นายน้อยพูดอย่างใจเย็น นี่เป็นคำพูดที่ทำให้แคลร์ตกใจ 

 

 

“เทพเจ้าแห่งความมืดถูกใจวิญญาณของเจ้า มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น นั่นก็คือวิญญาณของเจ้าคือส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความยุติธรรมและความชั่วร้าย แสงสว่างและความมืด หากอุทิศวิญญาณของเจ้าให้กับพระมารดาเกรงว่าพระมารดาคงจะพอใจมาก บางทีอาจจะดีใจจนให้เทพเจ้าแห่งความมืดและเทพีแห่งแสงเปลี่ยนตำแหน่งกันก็ได้” คำพูดของนายน้อยยิ่งทำให้ความคิดของแคลร์หยุดนิ่ง 

 

 

ตำแหน่งของเทพเจ้าแห่งความมืดและเทพีแห่งแสงแลกเปลี่ยนกันงั้นหรือ? 

 

 

เทพเจ้าแห่งความมืดจะกลายเป็นที่เคารพของผู้คน และเทพีแห่งแสงจะถูกผู้คนปฏิเสธ 

 

 

ทันใดนั้นภาพก็ปรากฏขึ้นในความคิดของแคลร์ ทำไมแคลร์ถึงรู้สึกว่าภาพนี้น่าพึงพอใจจังนะ? 

 

 

“เทพีแห่งแสงรู้หรือไม่ว่าเจ้ามีตราประทับนี้” นายน้อยถามแล้วมองไปที่มือขวาของแคลร์ 

 

 

แคลร์ส่ายหัวเล็กน้อย 

 

 

“ก็จริง ถ้ารู้ ตอนนี้เจ้าคงไม่สามารถยืนอยู่ที่นี่ได้อย่างปลอดภัยหรอก หากเทพีแห่งแสงรู้ นางจะกำจัดเจ้าให้สิ้นซากโดยไม่เสียดายอะไรเลย” นายน้อยขมวดคิ้วแล้วมองแคลร์ “ด้วยนิสัยของเทพีแห่งแสงก็พอจะคาดเดาได้ นางจะต้องลากเจ้ามาเป็นพวกก่อนที่เทพเจ้าแห่งความมืดจะพบเจ้าแน่ๆ” 

 

 

ความหมายของนายน้อยนั้นชัดเจน เทพีแห่งแสงต้องดึงแคลร์เข้ามาเป็นพวกก่อนที่เทพเจ้าแห่งความมืดจะลงมือ หรือไม่ก็ทำลายนางทิ้งหลังจากที่เทพเจ้าแห่งความมืดพบนางแล้ว 

 

 

“ข้าเป็นนักบวชของวิหารแห่งแสง” แคลร์เห็นความสงสัยของนายน้อยจึงอธิบายออกมา 

 

 

“นั่นสินะ” นายน้อยมีสีหน้าที่คิดเอาไว้อยู่แล้ว 

 

 

แคลร์ก้มหัวลงมองตราประทับที่หลังมือของนางแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย หากนางกลับไปที่อันพาแกรนด์ในครั้งนี้ นางต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิหารแห่งแสงและต้องไปที่นั่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ถ้าตราประทับนี้ถูกพบเข้า จะเกิดอะไรขึ้นล่ะ? 

 

 

“สาวสวย เจ้าอยากเล่นเกมหรือไม่?” นายน้อยเหล่มองไปที่แคลร์อย่างอันตรายราวกับมองเหยื่อ 

 

 

แคลร์เงียบ นางรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหญิงสาวปีศาจนี้ แค่ใช้ตนเองเป็นของเล่นเท่านั้น ในสายตาของนางแล้ว แคลร์ไม่มีอะไรสำคัญเลย 

 

 

“เจ้าอยากเล่นเกมอะไรล่ะ?” แคลร์ได้กลิ่นที่ผิดปกติ 

 

 

“คงจะน่าเบื่อถ้าเจ้าถูกค้นพบโดยเทพีแห่งแสงเร็วเกินไป” นายน้อยจับมือของแคลร์แล้วยื่นนิ้วออกไปแตะที่ตราของแคลร์เบาๆ ทันใดนั้นรอยดำก็โปร่งใสขึ้นด้วยความเร็วจนหายไป! 

 

 

“อย่าเพิ่งดีใจไป ข้าไม่สามารถลบสิ่งนี้ให้เจ้าได้หรอก มีทางเดียวที่จะลบตราประทับให้เจ้าได้ นั่นก็คือการฆ่าเทพเจ้าแห่งความมืด แต่ว่าเทพเจ้าแห่งความมืดจะไม่มีวันปรากฏตัวเพื่อต่อสู้กับข้าหรอก ข้าแค่ทำให้ตรานั้นกลายเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นและจะไม่มีใครพบเท่านั้นเอง” นายน้อยดึงมือกลับและพูดต่อด้วยความสนใจ“มันขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วว่าสิ่งต่างๆ จะเป็นอย่างไร ข้าดูแล้วเจ้าก็ดูไม่เหมือนคนที่จะรออยู่เฉยๆ ให้ใครมาฆ่านะ” 

 

 

แน่นอนว่าแคลร์จะไม่รอให้ใครมาฆ่าหรอก! 

 

 

แคลร์ดึงมือกลับแล้วมองหลังมือของนางที่ดูเหมือนจะกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว 

 

 

สิ่งที่นายน้อยบอกกับแคลร์ในวันนี้ได้ทำลายความรู้ความเข้าใจดั้งเดิมของแคลร์ไปโดยสิ้นเชิง เทพีแห่งแสงไม่ใช่เทพเจ้า! เทพเจ้าใดๆ ก็ไม่ใช่เทพเจ้า! แต่แค่เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกมนุษย์! สิ่งนี้แสดงว่าอะไร? แสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งของมนุษย์สามารถไปถึงจุดสูงสุดได้และก็สามารถโค่นล้มเทพีแห่งแสงได้เช่นกัน   

 

 

…………………………………………………………………………….