ตอนที่ 145 เกิดเหตุสุวิสัยที่สนามม้า อวิ๋นเหยาใช้ความรุนแรง (1)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ตอนที่ 145 เกิดเหตุสุวิสัยที่สนามม้า อวิ๋นเหยาใช้ความรุนแรง (1)

“นี่! ข้าขี่ม้าไม่เป็นจริงๆ นะ!” เหยาเยี่ยนอวี่ถูกหันหมิงชั่นที่สวมใส่ชุดขี่ม้าสีฟ้ามรกตดึงออกประตูไป นางจึงแหงนหน้าขึ้นฟ้าแล้วตะโกนลากเสียงยาว

“ข้าบอกแล้วไงว่าจะสอนเจ้า ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าตกม้าอย่างแน่นอน วางใจเถอะ” หันหมิงชั่นดึงเหยาเยี่ยนอวี่เดินออกไปข้างนอก “การขี่ม้าสาแก่ใจยิ่งนัก! ตอนที่ขี่อยู่บนหลังม้าแล้วม้าวิ่งไป ก็เหมือนกำลังโบยบิน ไม่ว่ามีเรื่องเคร่งเครียดอะไรก็สามารถลืมเลือนจนหมด ข้ารับประกันว่าเจ้าฝึกแล้วต้องชื่นชอบแน่นอน ซ้ำยังต้องติดใจเป็นแน่!”

ในใจของเหยาเยี่ยนอวี่กำลังเตือนตนเองอย่างเงียบๆ คุณหนูรองตระกูลหันเพิ่งตัดสินใจทิ้งคู่รักแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ เวลานี้นางกำลังอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นต่อให้เกิดอะไรขึ้นก็ควรที่จะให้อภัยนาง

บ่าวที่ติดตามหันหมิงชั่นล้วนมีความสามารถ ตอนที่นายเพิ่งจะออกคำสั่ง สาวใช้ทั้งสองที่มีความสามารถในการสวมใส่เสื้อผ้าต่างๆ ก็รีบทำตามคำสั่ง เหล่าบ่าวไพร่มีบางคนไปสังเกตการณ์ที่สนามก่อน บางคนก็เตรียมรถม้า ส่วนบางคนก็รีบกลับไปส่งสารที่จวนองค์หญิงใหญ่

หันซังเย่ว์ได้ยินว่าน้องสาวจะไปขี่ม้า จึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเร่งม้าตามไป ฝีมือการขี่ม้าของหันหมิงชั่น เขาไว้วางใจอยู่แล้ว ทว่าอย่างไรก็เป็นสตรี เมื่อออกไปข้างนอกบ้านข้างกายก็ควรมีพี่ชายจึงจะสะดวกยิ่งกว่า

เหยาเยี่ยนอวี่และหันหมิงชั่นนั่งรถม้าไปทางทิศตะวันตกของประตูเมืองหลวง คนขับรถม้าเห็นว่าคุณชายรองของตนกำลังนั่งอยู่บนหลังม้าสีแดงพุทราแล้วหยุดรออยู่ตรงประตูเมืองหลวง ดังนั้นจึงรีบสะบัดแส้เร่งม้าไปข้างหน้า แล้วดึงบังเหียนม้าให้แน่น จากนั้นก็กระโดดลงจากม้าแล้วน้อมทำความเคารพหันซังเย่ว์ “คุณชายรองขอรับ”

“น้องรองอยู่บนรถม้าหรือไม่” หันซังเย่ว์มองไปที่รถม้าด้วยรอยยิ้ม และไม่ได้รู้สึกว่าน้องสาวที่วิ่งออกไปขี่ม้าตอนแรมสิบสามค่ำเดือนสิบสองจะเป็นเรื่องที่เอาแต่ใจอะไรเลย

“พี่ชายรอง” หันหมิงชั่นเลิกม่านรถม้าขึ้นแล้วเผยดวงหน้าที่เคล้าด้วยรอยยิ้ม

“อืม ไปเถอะ” หันซังเย่ว์มองน้องสาวด้วยรอยยิ้ม แล้วพยักหน้า

พอออกจากประตูเมืองหลวงก็เดินทางไปสักระยะ หลังจากผ่านป่าพงไพรก็คือสนามม้าแล้ว สนามม้านี้ต้องเป็นของค่ายทหารอยู่แล้ว ทว่าม้าของแต่ละตระกูลราชนิกุลในเมืองหลวงอวิ๋นก็มักจะเอามาฝากไว้ที่นี่ แน่นอนว่าเพื่อที่จะสะดวกแก่การมาเที่ยวเล่น

พอถึงสถานที่ หันหมิงชั่นก็ดึงเหยาเยี่ยนอวี่ลงจากรถม้า แล้วเดินไปตรงหน้าหันซังเย่ว์ด้วยรอยยิ้มที่เบิกบาน “พี่ชายรอง ยืมเสวี่ยซือจื่อของพี่ให้น้องเหยาขี่หน่อยได้หรือไม่ นางไม่เคยขี่ม้า เจ้าเสวี่ยซือจื่อเป็นม้าที่ชาญฉลาด เชื่อว่าต้องไม่ทำให้นางตกลงมาแน่นอน”

หันซังเย่ว์พยักหน้าตอบตกลง

พวกบ่าวไปจูงม้ามาทั้งหมดสามตัว มีสีนิล สีขาว และสีแดง เหยาเยี่ยนอวี่เห็นม้าตัวใหญ่สีขาวหิมะที่มีนัยน์ตาแววใส…ม้าตัวนี้ช่างงดงามจริงๆ มีขนขาวไปทั้งตัวโดยปราศจากขนสีอื่นปะปนเลย อีกอย่างสีของขนนั้นแวววับ ดูๆ แล้วก็รู้ว่าเป็นม้าที่หายาก

หันหมิงชั่นคลี่ยิ้ม “ชอบหรือไม่ นี่เป็นของขวัญที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้พี่รองของข้าตอนอายุสิบหก เรียกว่าเสวี่ยซือจื่อ เจ้าอย่าคิดว่ามันดูซื่อๆ แท้จริงแล้วเจ้าตัวแสบนี้เป็นม้าที่มีนิสัยดื้อดึง! ไม่ชอบใคร ก็ไม่ให้ใครคนนั้นเข้าใกล้ ไม่เช่นนั้นมันก็จะใช้กีบม้าถีบคน”

เหยาเยี่ยนอวี่จึงยื่นมือไปลูบจับแผงคอของเสวี่ยซือจื่อ จากนั้นก็ลูบไปตามขนอันแวววับแล้วไปลูบจับใบหน้าของมัน ม้าสีขาวโพลนส่ายหน้า หลังจากที่เปล่งเสียงในจมูก กลับแลบลิ้นออกมาเลียนิ้วมือของเหยาเยี่ยนอวี่ ทำให้เหยาเยี่ยนอวี่ถึงกับหัวเราะแล้วหลบไปด้านหลัง

หันซังเย่ว์จึงยกยิ้มพลางพูด “ดูเหมือนเจ้าเสวี่ยซือจื่อยังคงชื่นชอบคุณหนูเหยา”

“เป็นเช่นนั้น!” หันหมิงชั่นแย้มยิ้ม “ข้าก็บอกแล้วไงว่าเจ้าตัวแสบชาญฉลาด รู้ว่าน้องเหยาเป็นน้องสาวที่ดีของข้า”

หันซังเย่ว์ตบแผงคอของเสวี่ยซือจื่อ แล้วคลี่ยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าต้องเชื่อฟังหน่อยนะ พาคุณหนูเหยาวิ่งสองรอบเถอะ?”

เสวี่ยซือจื่อเปล่งเสียงออกจากจมูก แล้วจ้องไปยังเหยาเยี่ยนอวี่

หันซังเย่ว์พูดกับเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยรอยยิ้ม “พร้อมแล้ว คุณหนูเหยา เชิญขึ้นไปเถอะ”

“นี่ก็ขึ้นได้แล้วหรือ” เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกงงงวยเล็กน้อย ภายในใจกำลังคิดว่า ม้าตัวนี้ดูงดงาม ทว่าจะไว้วางใจได้หรือไม่ หากแค่ส่ายก้นก็ทำให้ข้าตกลงมา! นี่ก็ถึงเทศกาลตรุษจีนแล้ว หากข้าหล่นจากม้าแล้วแขนหักขาหักขึ้นมา คงจะโชคร้ายยิ่งนัก

“เจ้าขึ้นไปก่อน ข้าจะจูงม้าให้เจ้าขี่หนึ่งรอบ” หันซังเย่ว์จูงบังเหียนม้าแล้วพูดขึ้น

“อะไรนะ จะให้คุณชายรองจูงม้าให้ข้าได้อย่างไร นี่…ทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกหวาดระแวงเมื่อถูกเอาใจใส่เกินไป ให้คุณชายรองตระกูลหันจูงม้าให้ตนเอง? จะคุ้มไหมถ้าเรื่องนี้ถูกลือกระจายออกไป

“ไม่เป็นไรหรอก ม้าตัวนี้ไม่คุ้นเคยกับผู้อื่น ขึ้นไปเถอะ” หันซังเย่ว์ยืนหยัดในสิ่งนี้

หันหมิงชั่นก็ได้จูงม้าสีแดงพุทราของตนออกมา แล้วยกเท้าเหยียบโกลน เหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่งบนหลังม้า ท่าทางของการขึ้นม้านั้นดูสบายๆ และสง่างามยิ่งนัก

เหยาเยี่ยนอวี่เห็นแล้ว ภายในใจจึงพึมพำอีกครั้ง ตระกูลเหยาสั่งสอนบุตรีโดยยึดหลักการสอนศิลปะภูมิปัญญาทั้งสี่ ขี่ม้ายิงธนูอะไรเหล่านี้ แม้แต่คิดยังไม่ต้องคิดถึง แม้แต่ปีนขึ้นไปบนม้า ตนยังปีนไม่ขึ้นเลย หากให้จับอานม้าแล้วปีนขึ้นไป จะดูน่าเกลียดเกินไปหรือเปล่า

“เยี่ยนอวี่ เจ้าให้พี่รองพาเจ้าเดินหนึ่งรอบเสียก่อน ข้าไปก่อนล่ะ!” หันหมิงชั่นยกแส้ในมือแล้วตีลงบนตูดม้าสีแดงพุทรา กีบม้าทั้งสี่ข้างถีบขึ้น ทำให้พุ่งไปข้างหน้าโดยเร็ว เหลือแต่เพียงเสียงกระดิ่งอันเสนาะหู

เว่ยจางและอวิ๋นคุนเลือกเส้นทางที่ยาวที่สุดในสนามม้าแล้วอ้อมกลับมา ม้าอันสุขุมสีดำสนิททั้งสองตัวกำลังถูกขี่เคียงคู่กันมา ไม่มีใครตามอยู่ข้างหลังใคร เสียงกีบม้าที่เหยียบลงบนพื้นหิมะดั่งเสียงของลมมรสุม

หันหมิงชั่นได้ยินข้างหน้ามีเสียงกีบม้าควบมา ไม่รู้ว่าผู้ที่มาคือใคร จึงรีบดึงบังเหียนม้า แล้วหลบไปด้านข้าง

หลังจากที่อวิ๋นคุนเดินออกจากป่าพงไพรที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้ดอกหญ้า พอเห็นข้างหน้าคือหันหมิงชั่นที่สวมใส่ชุดขี่ม้าจึงนิ่งงันไปทันที เขาบีบบังเหียนม้าโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นม้าก็เครียดและกีบหน้าก็ยกขึ้นสูงพร้อมกับร้องเสียงหลง หลังจากที่ยกขาวนไปครึ่งรอบ ก็วางกีบม้าด้านหน้าลงพร้อมกับเสียงร้องคำราม

“ชั่นเอ๋อร์?!” อวิ๋นคุนมองดวงหน้าไร้ที่ติที่อยู่ใต้หมวกขนมิงค์สีขาวของหันหมิงชั่น ทันใดนั้นจึงรู้สึกเหมือนว่าอยู่ในฝัน

เว่ยจางพลันดึงบังเหียนม้าให้กระชับ แล้วมองหันหมิงชั่นด้วยความสงสัย ภายในใจกำลังครุ่นคิดว่า ฉังเหมาบอกว่าคุณหนูรองตระกูลหันไปส่งเสื้อผ้าให้กับเหยาเยี่ยนอวี่ เหตุใดถึงปรากฏตัวที่นี่

ทั้งสามเจอกันตรงทางโค้งกลางป่าพงไพร ต่างคนต่างนิ่งงันไป หันหมิงชั่นได้สติกลับมาก่อน แล้วรีบยกยิ้มอ่อนๆ พลางพูดขึ้น “ญาติผู้พี่ แม่ทัพเว่ย พวกท่านก็มาขี่ม้าหรือ”

เว่ยจางพลันทำมือคารวะ “คุณหนูรอง ช่างบังเอิญยิ่งนัก ท่านกับคุณชายรองมาด้วยกันหรือ”

หันหมิงชั่นเหลือบมองอวิ๋นคุนที่ยังคงตะลึงงันเพียงชั่วพริบตา แล้วพยักหน้า “เป็นเช่นนั้น พี่รองยังอยู่ด้านหลัง”

“ดีเลย เช่นนั้นข้าไปหาคุณชายรองก่อน” เว่ยจางมองอวิ๋นคุนที่ยังตะลึงงันเพียงพริบตาเดียว จากนั้นก็เร่งม้าจากไปโดยเร็ว เหลือแต่เพียงอวิ๋นคุนที่กำลังจับจ้องหันหมิงชั่นอย่างไม่พูดไม่จาอยู่ที่เดิม

หันหมิงชั่นมองอวิ๋นคุน แล้วคลายยิ้มอ่อนๆ “พี่ชาย ไว้เจอกันใหม่เถอะ” กล่าวจบ ก็กระตุกบังเหียนม้าพลางสวนทางอวิ๋นคุนไป

“ชั่นเอ๋อร์!” อวิ๋นคุนยื่นมือออกไปทันที แล้วดึงบังเหียนม้าของหันหมิงชั่น ตอนที่นางขี่ม้าสวนกับตนเอง

หันหมิงชั่นหันกลับมามองอวิ๋นคุน แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย

ม้าของทั้งสองยืนอยู่ข้างหน้าและข้างหลังตามแถวยาว และใกล้ชิดจนแทบจะยืนแนบชิดอยู่ที่เดียวกัน มือของอวิ๋นคุนดึงบังเหียนม้าของหันหมิงชั่นไว้ ระยะห่างของทั้งสองคนก็ใกล้กันมาก เสื้อผ้าของฝ่ายหนึ่งก็แทบจะแนบชิดกับของอีกฝ่าย

อวิ๋นคุนเองก็หันข้างมองนาง

พอเห็นรอยแผลเป็นบนใบหน้าของชั่นเอ๋อร์หายไป และใบหน้าที่ไร้ที่ติตรงหน้าของนางค่อยๆ ซ้อนทับกับใบหน้ากลมๆ เล็กๆ ที่มีลักยิ้มบุ๋มเมื่อนางยังเป็นเด็ก ทำให้อวิ๋นคุนรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน

เขาแทบอยากจะยื่นมือออกไป แล้วบีบแก้มที่อ่อนนุ่มนั้นอีกครั้ง หรือแทบอยากดึงตัวนางเข้ามาหอมในอ้อมกอด