ที่จริงแล้วเริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนที่พอใจในสิ่งที่มี มีพลังพิเศษสักอย่างก็ดีกว่าไม่มีสักอย่างเลย สุ่มไม่ได้ทักษะกระโดดเชือกระดับปรมาจารย์มาก็รู้สึกว่าดีถมเถแล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่มีลางสังหรณ์ว่าตัวลั่วซินอวี่เองก็น่าจะมีความเชี่ยวชาญกระโดดเชือกสูงลิบลิ่ว เพราะจะให้หยางเสียวจิ่นกระโดดคนเดียวก็ไม่ได้มั้ง…

แต่พอใจก็ส่วนพอใจ ทุกครั้งที่นึกว่าจะไปสรรหาโอกาสคัดลอกพลังประตูเงาฉบับสมบูรณ์จากไหนได้ก็หัวร้อนขึ้นมา

พระราชวังน่าจะบอกเขาก่อนว่าไม่ได้คัดลอกพลังฉบับสมบูรณ์ จะให้มาเจอจุดบกพร่องแล้วหลังคัดลอกทักษะเรียบร้อยแล้วใช้ได้ที่ไหน

ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่เห็นลั่วซินอวี่ใช้พลังพาหยางเสียวจิ่นหนีครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็เกิดความอยากได้พลังประตูเงาขึ้นมาสุดๆ ถ้าได้พลังประตูเงามาใช้แบบเต็มสูบละก็ ต่อไปนี้จะเจอฝูงหมาป่าก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว

แต่สุดท้ายเขาก็พาเข้าเงาไปได้แค่แขนเดียว! เขาจะเอาไปทำอะไรได้ เอาไปขโมยของเหรอ!

แถมเขายังไม่สามารถเปิดประตูเงาไปตามจุดที่เขาต้องการได้อีก ดูจากการเบี่ยงเบนก่อนหน้า จะให้เขาควบคุมจุดเปิดประตูอย่างแม่นยำนั้นเป็นไปไม่ได้เลย

แต่เริ่นเสี่ยวซู่ก็มีความรู้สึกว่าความแม่นยำสามารถเพิ่มได้ผ่านการฝึกฝน ต้องมีสักวันหนึ่งที่เขาสามารถเปิดประตูไปที่จุดที่ต้องการได้อย่างแม่นยำแน่

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้เลยว่าที่จริงแล้วลั่วซินอวี่ใช้เวลาเกือบปีกว่าจะฝึกเปิดประตูได้ หลังจากนั้นเธอถึงควบคุมประตูเงาได้ตามใจ

พอเริ่มเสี่ยวซู่กลับบ้าน ก็ลงกลอนห้องนอนฝึกใช้พลังทันที เขาพยายามเสาะหาวิธีควบคุมประตูเงาผ่านการเปิดปิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ถ้าลั่วซินอวี่เห็นภาพนี้ เธอต้องตะลึงตาค้างแน่นอน เพราะตอนที่เธอเริ่มฝึกแรกๆ ลองเปิดไปแค่ครั้งหรือสองครั้งในวันเดียว ก็ทำให้เธอรู้สึกหมดแรงหน้ามืดแล้ว จนกระทั่งถึงตอนนี้ เธอใช้ประตูได้ในขอบเขตหนึ่งกิโลเมตรเท่านั้น หากไม่ใช้พลังจิตใจเกินขีดจำกัด ก็เปิดประตูเงาได้แค่วันละสามถึงสี่ครั้ง

ส่วนเริ่นเสี่ยวซู่ ผ่านมาไม่นาน ก็เปิดปิดประตูเงาไปหลายสิบครั้งแล้ว

ตอนนั้นเองเสี่ยวอวี้ก็เคาะประตูห้อง เริ่นเสี่ยวซู่เปิดประตูออกมาถาม “พี่เสี่ยวอวี้มีอะไรหรือเปล่า ถึงเวลาข้าวเย็นแล้วเหรอ”

“เปล่าๆ ยังไม่ถึงเวลา” พี่เสี่ยวอวี้พูดด้วยสีหน้าอึมครึม “พี่แค่อยากถามว่าเหยียนลิ่วหยวนอยู่ไหน เธอคงไม่ได้ลืมน้องไว้ที่โรงเรียนหรอกนะ…”

“ฮะ?!” เริ่นเสี่ยวซู่เพิ่งนึกได้ เขาต้องไปรับเหยียนลิ่วหยวนกับหวังต้าหลงจากฝ่ายมัธยมต้นก่อนจะกลับบ้านนี่ แต่เขากลับคิดแต่จะตามหาที่อยู่ของหยางเสียวจิ่นหลังเลิกเรียนจนลืมเรื่องนี้เสียสนิทเลย “ผมจะออกไปรับพวกเขาเดี๋ยวนี้แหละ!”

“เธอเป็นพี่ภาษาอะไรเนี่ย” เสี่ยวอวี้บ่น “ไปรับพวกเขากลับบ้านมาเลยนะ พี่ใกล้ทำข้าวเย็นเสร็จแล้ว”

แต่วินาทีต่อมา เจียงอู๋ก็เดินเข้ามาพร้อมหวังต้าหลงและเหยียนลิ่วหยวน เธอยิ้มกล่าว “ไหนว่าวันนี้จะเรียนวิธีขี่จักรยานต่อไง ทำไมกลับจากโรงเรียนคนเดียวล่ะ”

เสี่ยวอวี้ยิ้มพูด “ครูเจียงอู๋นี่เอง มาเร็วค่ะ ล้างมือแล้วมาทานข้าวเย็นกับพวกเรา”

เหยียนลิ่วหยวนจ้องเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยสายตาเย็นเยียบ “ผมรออยู่หน้าตึกเรียน และเห็นพี่ออกไปกับหยางเสียวจิ่นกับตาเลย”

เริ่นเสี่ยวซู่ร้อนตัวเล็กน้อย “ฮ่าๆๆ พอดีมีเรื่องด่วนน่ะ!”

จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มมาจากข้างนอก ดูเหมือนว่ามีคนมาจอดรถนอกร้าน

เอ๋? เริ่นเสี่ยวซู่สงสัยนักว่าวันนี้มันวันอะไร ทำไมถึงมีคนมาร้านของชำของไม่หยุดหย่อน

เขาได้ยินเสียงหลัวหลานดังมาจากข้างนอก “เริ่นเสี่ยวซู่โว้ย ออกมาดูรถใหม่ฉันเซ้ มาดูหน่อยว่าเป็นไง”

เริ่นเสี่ยวซู่อดมองบนไม่ได้ อวดรถใหม่ จ้าๆ พ่อคนรวย!

แต่ทำไมเจ้าอ้วนหลัวถึงมาหาเขาบ่อยอะไรนักหนา หวังฟู่กุ้ยบอกว่าเขาเพิ่งเอาเงินมาให้เมื่อตอนเที่ยงนี่เอง

ระหว่างคิดอยู่ หลัวหลานกับถังโจวก็เดินเข้ามา ถังโจวถือของมาไม่น้อย หลัวหลานกล่าวกับเขาว่า “เอาของพวกนี้ให้คุณตงฟู่หนาน ยาบำรุงพวกนี้ดีสำหรับคนป่วย”

เริ่นเสี่ยวซู่เหมือนเห็นหลัวหลานตกอยู่ในห้วงความรักอย่างไรอย่างนั้น

เริ่นเสี่ยวซู่ที่สงสัยอดถามไม่ได้ “ทำเรื่องพวกนี้ไปเพื่ออะไรเนี่ย นายเป็นคนใหญ่คนโตในสมาคมตระกูลชิ่งไม่ใช่เหรอไง ถูกสาวปฏิเสธแล้วไหงถึงยังมาเร้าหรือไม่เลิก”

หลัวหลานพูดอย่างอารมณ์เสีย “นายจะไปรู้อะไร ฉันน่ะหมื่นบุปผารายล้อม มิอาจแปดเปื้อนแม้เพียงกลีบเดียว[1] แต่ตอนนี้ฉันไม่เหมือนเดิมแล้ว ฉันพบว่าคุณตงฟู่หนานคู่ควรกับฉัน!”

“มิอาจแปดเปื้อนแม้เพียงกลีบเดียว?” เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ “จะบอกว่ายาดำที่นายซื้อไปจากฉัน นายเอาไปให้ถังโจวว่างั้น?”

“อย่าใส่ร้ายป้ายสีฉันนะ ฉันไม่เคยซื้อยาอะไรจากนาย!” สีหน้าหลัวหลานกลับกลาย

ตงฟู่หนานพักรักษาตัวอยู่ในห้องของเสี่ยวอวี้ ตอนที่เธอได้ยินเสียงของหลัวหลาน เธอก็ลงกลอนประตูทันที เสียงลงกลอนดังขึ้น สีหน้าหลัวหลานเกิดความกระอักกระอ่วนแบบที่กระอักกระอ่วนไปไม่ได้กว่านี้แล้ว

แต่หลัวหลานก็ไม่ใช่คนธรรมดาเช่นกัน เขาดึงเริ่นเสี่ยวซู่ไปด้านข้างแล้วเปลี่ยนเรื่อง “ช่วงนี้ให้ฉันยืมเฉินอู๋ตี๋หน่อยได้ไหม”

“นายจะเอาเฉินอู๋ตี๋ไปทำอะไร เขาเป็นคนตัวเป็นๆ นะ ฉันจะให้นายยืมได้ยังไง ไปถามเขาเองนู่น” เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดจะยุ่งเรื่องนี้ด้วย

“สองวันมานี้ ฉันเห็นผู้มีพลังพิเศษคนอื่นเข้าป้อมปราการมาน่ะสิ” หลัวหลานกระซิบ “เห็นว่างานวิจัยของมหาวิทยาแห่งป้อมปราการ 109 จะเสร็จสิ้นดีแล้ว คนจำนวนไม่น้อยเกิดความสนใจเลยมาดูผลการวิจัยด้วยตัวเอง”

“งานวิจัยเกี่ยวกับอะไร” เริ่นเสี่ยวซู่เริ่มสนใจบ้างแล้ว แต่ไม่เผยทางสีหน้า

“ไม่แน่ใจเหมือนกัน…” หลัวหลานพูด

“นายมีความคิดจะทำอะไรบางอย่างในเรื่องที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้เนี่ยนะ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม จากสถานการณ์แล้ว คนของสมาคมตระกูลชิ่งน่าจะยังแทรกซึมเข้ามหาวิทยาลัยไปไม่ได้ เขาละสงสัยนักว่าหลัวหลานไปรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร หยางเสียวจิ่นเองก็เคยพูดอยู่ว่าสมาคมตระกูลชิ่งกำลังทุ่มป้องกันเรื่องนี้อยู่

เจ้าของนี่…น่าจะมีความสำคัญมากจนสั่นสะเทือนโครงสร้างระหว่างองค์กรต่างๆ ด้วยเหตุนี้จึงมีคนในกองกำลังต่างๆ จึงแห่กันมาที่นี่

และคืนที่เกิดเหตุผู้มีพลังพิเศษหนีออกจากจุดระเบิด สมาคมตระกูลหลี่ได้แค่เนรเทศสมาชิกของบริษัทหัวจ่งที่อยู่ในป้อมปราการออกไป ทว่าไม่ได้ทำการสืบค้นจับกุมเพิ่มเติม ดูเหมือนพวกเขาไม่อยากทำให้เรื่องวุ่นวายขึ้นเพราะกำลังคนส่วนใหญ่น่าจะทุ่มให้กับการคุ้มกันป้องกันผลลัพธ์ทดลองอยู่

แต่เริ่นเสี่ยวซู่มีเรื่องที่ไม่เข้าใจอยู่ ทำไมสมาคมตระกูลชิ่งถึงไม่ทราบว่าผลงานวิจัยคืออะไร คนเขารู้กันหมด แต่พวกนายกลับไม่รู้

“พวกเราไม่เคยให้ความสนใจกับมหาวิทยาลัยนี้เลย” หลัวหลานพูด “แต่ต้องเป็นของมีค่ามาก กองกำลังทรงพลังต่างๆ ถึงได้จับตามองแบบนี้! เอางี้สิ นายสั่งให้เฉินอู๋ตี๋คุ้มกันฉัน แล้วฉันจะจ่ายเงินตอบแทนให้นาย”

เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกทะแม่งๆ ว่าหลัวหลานน่าจะโกหกอยู่ เขาต้องรู้แน่ว่าผลการวิจัยคืออะไรแต่ไม่ยอมบอก!

เขาส่ายหน้าปฏิเสธหลัวหลาน “ถ้าอยากให้เฉินอู๋ตี๋ไปคุ้มกัน ก็ไปคุยกับเขาเอง ฉันไม่สั่งเขาหรอก”

ตอนนั้นเอง คนจากสมาคมตระกูลชิ่งผู้หนึ่งก็เดินเข้ามากระซิบกับหลัวหลานก่อนจะรีบร้อนจากไป เริ่นเสี่ยวซู่มองไล่หลังเขาไป ดูเหมือนสมาคมตระกูลชิ่งกำลังวางแผนทำอะไรบางอย่างอยู่

เริ่นเสี่ยวซู่ละสงสัยนักว่าทำไมผลลัพธ์งานวิจัยถึงสำคัญขนาดนั้น ถ้ารู้สถานที่ที่แน่นอนแล้ว เขาควรใช้ประตูเงาขโมยมาเลยดีไหมนะ

พอเห็นว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดจะให้ยืมเฉินอู๋ตี๋ หลัวหลานก็ไม่เสียเวลาต่อ เขาเพียงแค่เดินไปคุยกับตงฟู่หนานผ่านประตูห้อง แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไรให้มากความ เสียงเย็นชาของตงฟู่หนานก็ทะลุผ่านประตูมา “นายผอมลงเมื่อไรฉันถึงจะคุยด้วย”

เริ่นเสียวซู่หัวเราะแล้วว่า “งั้นเธอคงไม่ได้เห็นหน้าเขาอีกตลอดชาติแล้วมั้ง”

หลัวหลานหัวเสีย “อย่าพูดบั่นทอนคนอื่นสิโว้ย ก็แค่ลดน้ำหนักไม่ใช่เหรอไง แป๊บเดียวฉันก็ลดได้แล้ว!” จากนั้นเขาก็หันไปกระซิบกระซาบกับถังโจวที่อยู่ด้านข้าง “ทำยังไงถึงจะลดน้ำหนักได้ไวๆ ”

เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้มแล้วพูด “นายผอมแน่ถ้ากินถ้ากินหมั่นโถวเช้าลูก เที่ยงลูก และเย็นลูกพอ”

หลัวหลานตกอยู่ในภวังค์ “…กินหลังอาหารหรือก่อนอาหาร”

เริ่นเสี่ยวซู่ “…”

[1] หมื่นบุปผารายล้อม มิอาจแปดเปื้อนแม้เพียงกลีบเดียว (万花丛中过,片叶不沾身) วรรคหนึ่งในวรรณกรรมเรื่องหมู่ตานถิง (牡丹亭-ศาลาโบตั๋น) หมายถึงบุรุษมีสตรีมากมายชื่นชอบ แต่เขาไม่สนใจหญิงสาวเหล่านั้นแม้แต่นางเดียว