EP.124****ปรมาจารย์หลอมอาวุธ
รถม้าสีดำคันแล้วคันเล่ากำลังลำเลียงสมุนไพรเข้าไปในสมาพันธ์โอสถ ช่วงพลบค่ำเป็นช่วงเวลา “เข้าคลัง” สมุนไพรจำนวนมากที่จัดซื้อมาจากนอกเมืองกำลังถูกลำเลียงเข้าสมาพันธ์โอสถ และนักปรุงโอสถอย่างฉู่เหยาและคนอื่นๆ จะรับหน้าที่เปลี่ยนสมุนไพรเหล่านี้ให้เป็นโอสถฟื้นสภาพ โอสถสมานแผล โอสถผิวศิลาระดับสูง เป็นต้น เพื่อส่งมอบให้กับบรรดากองทัพของจักรวรรดิได้ใช้
……
“หลินจื้อแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ ขอพบแม่นางฉู่เหยาแห่งสมาพันธ์โอสถ” ตรงจุดลงทะเบียนของสมาพันธ์โอสถ หลินมู่อวี่กล่าวอย่างสุภาพนอบน้อม
ทหารรักษาการณ์ทั้งสองนายรู้จักเขาอยู่แล้ว หนึ่งในนั้นยิ้มพูด “ท่านหลินจื้อนี่เอง มาหาแม่นางฉู่เหยาอีกแล้วหรือ เข้ามาเถอะท่าน ไม่ต้องเขินหรอกขอรับ หลายวันก่อนได้ยินว่าท่านชนะครูฝึกดาวทองจ้าวจิ้นที่งานฝึกซ้อมของวิทยาลัยเทพสงคราม ยอดจริงๆ ขอรับ ตอนนี้ทั้งเมืองหลวงล้วนแต่พูดเรื่องของท่านกันทั้งนั้น!”
“จริงหรือ” หลินมู่อวี่รู้สึกเขินอยู่นิดหน่อย ประสานหมัดแล้วยิ้ม “ข้าโชคดีเท่านั้นเอง ขอบคุณท่านทั้งสอง เช่นนั้นข้าเข้าไปเลยนะ”
“เข้าไปเถอะท่าน! ต้องดูแลแม่นางฉู่เหยาให้ดีล่ะ นางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของพวกเราสมาพันธ์โอสถเชียวนะ พวกนักปรุงโอสถระดับสูงกับพวกท่านอ๋องคุณชายหลายท่านคิดจะขอพบนาง แต่ดูเหมือนนางยินดีที่จะพบแค่ท่านผู้เดียว…”
หลินมู่อวี่ก้าวขาเข้าไปด้านในสมาพันธ์โอสถ ในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
แสงไฟด้านในโถงปรุงโอสถส่องสว่าง ผู้ปรุงโอสถต่างกำลังยุ่งกับการสกัดแก่นโอสถ เขาเห็นเงาร่างอรชรของฉู่เหยาอยู่ไกลๆ วันนี้นางสวมชุดสีครามบางเบา มองแล้วให้ความรู้สึกอ่อนช้อยงดงาม
“พี่ฉู่เหยา!”
หลินมู่อวี่ส่งเสียงเรียกทำให้ร่างอ่อนช้อยของฉู่เหยาสั่นสะท้าน นางหันมามองหลินมู่อวี่ แล้วอดที่จะยิ้มดีใจไม่ได้ “อาอวี่ เจ้าว่างมาหาข้าด้วย ได้ยินว่าเจ้าถูกกักบริเวณอยู่ไม่ใช่หรือ ครั้งก่อนข้าไปเยี่ยมเจ้า ก็ถูกทหารรักษาการณ์ของวิหารศักดิ์สิทธิ์ปฏิเสธ พวกเขาบอกว่าไม่ว่าใครก็เข้าเยี่ยมเจ้าไม่ได้ทั้งนั้น ไร้น้ำใจที่สุด!”
แน่นอนว่าหลินมู่อวี่ทราบดีว่านั่นเป็นเพราะเหลยหงต้องการปกป้องตน เขาเดินขึ้นไปข้างหน้า กระโดดขึ้นไปนั่งบนโต๊ะปรุงโอสถของฉู่เหยา แกว่งขาสองข้างไปมา แล้วยิ้มพูด “ช่วงนี้ท่านปรุงโอสถเป็นอย่างไรบ้าง”
ด้านข้างมีนักปรุงโอสถอาวุโสอายุราวหกสิบปีท่านหนึ่งยิ้มพูด “แม่นางฉู่เหยาเป็นปราชญ์โอสถที่อายุน้อยที่สุดของพวกเราแล้ว!”
“เอ๋? ปราชญ์โอสถ?”
หลินมู่อวี่อดที่จะตะลึงไม่ได้ ยิ้มพูด “พี่ฉู่เหยา ท่านปรุงโอสถระดับเจ็ดได้แล้วหรือ”
ฉู่เหยายิ้มพยักหน้าเขิน “อือ!”
“ยอดไปเลย!”
หลินมู่อวี่ตื่นเต้น กระโดดลงจากโต๊ะปรุงโอสถแล้วอุ้มฉู่เหยาขึ้นมา ใบหน้าของฉู่เหยาแดงแปร๊ดทันที นางเอ่ยเสียงเบา “อาอวี่ นักปรุงโอสถหลายท่านมองอยู่นะ…”
“อ่า ข้าขอโทษ ข้าตื่นเต้นไปหน่อยน่ะ” หลินมู่อวี่รีบวางนางลงแล้วเอ่ยขอโทษ
“ไม่เป็นไรหรอก…” เสียงของฉู่เหยาเบานิดหน่อย ดวงตาคู่งามไม่กล้าที่จะมองหลินมู่อวี่ “ข้ายังนึกว่าเจ้ารู้จักกับองค์หญิงซีและองค์หญิงอินแล้วจะลืมพี่สาวคนนี้ไปแล้วเสียอีก…”
“จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า”
หลินมู่อวี่ถึงแม้จะซื่อบื้อเป็นท่อนไม้แต่ก็รู้ว่าฉู่เหยานั้นกำลังหึง ถึงแม้ในใจอันกระวนกระวายของเขานั้นไม่รู้จะจัดตำแหน่งหญิงงามเหล่านี้อย่างไรดี ทว่าเขาก็ยังพยายามปลอบใจทุกคน จึงกล่าวขึ้น “พี่ฉู่เหยาเป็นพี่สาวที่แสนดีของข้าตลอดไป ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรข้าก็ไม่ลืมท่านเด็ดขาด ว่าแต่ ทำไมท่านเลื่อนระดับเร็วขนาดนี้ หรือว่าจะเป็นเพราะ…”
ฉู่เหยาพยักหน้า พูดเสียงเบา “อือ เป็นเพราะตำราเทพโอสถ ข้าซ่อมแซมตำราที่เสียหายบางส่วน ดังนั้นเลยเป็นปราชญ์โอสถได้อย่างรวดเร็ว เฮ้อ…ชั่วชีวิตของท่านปู่อยากจะเป็นปราชญ์โอสถ แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะเป็นข้าที่บรรลุความปรารถนานี้
หลินมู่อวี่ประคองไหล่หอมของนางและพูดอย่างจริงจัง “หากท่านปู่ทราบถึงพลังในตอนนี้ของท่าน วิญญาณของท่านที่อยู่บนสวรรค์ต้องรู้สึกยินดีอย่างแน่นอน อีกอย่าง ข้าแก้แค้นให้ท่านปู่แล้ว ท่านจะต้องยิ้มอยู่อย่างแน่นอน”
“อือ อือ”
“ใช่แล้ว ทักษะการควบคุมกระบี่ของท่านเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” หลินมู่อวี่ถามขึ้นอีก “แค่วิชาปรุงโอสถอย่างเดียวไม่พอหรอก อย่างไรเสีย…บนโลกนี้หากต้องการมีชีวิตที่ดีนั้น ยังต้องแข็งแกร่งอีกด้วย”
ฉู่เหยาหัวเราะ “ทักษะควบคุมกระบี่น่ะเหรอ…ตอนนี้ข้าทำได้แค่บังคับกระบี่กลางอากาศ แต่ว่า…ยังไม่สามารถเข้าใจแก่นกระบี่จริงๆ ได้ อาอวี่ เจ้าบอกข้ามา เจ้าเรียนรู้เข้าใจจิตกระบี่ภายในสองวันสองคืนได้อย่างไร ข้าฝึกอย่างจริงจังมาสิบกว่าวันแล้วยังไม่เข้าใจเลย”
“เรื่องนี้น่ะเหรอ…” หลินมู่อวี่ก็พูดไม่ได้ว่าเป็นเพราะพรสวรรค์ของผู้ฝึกยุทธ์ จึงเกาท้ายทอยแล้วยิ้มพูด “อาจเป็นเพราะว่ามีตรงไหนที่ทำไม่ค่อยถูกกระมัง พยายามต่อไป จะเข้าใจได้เอง ขอแค่หลังจากพี่ฉู่เหยาเข้าใจจิตกระบี่ ข้าก็สามารถถ่ายทอดทักษะกระบี่จตุธาตุให้แก่ท่านได้…”
พูดจบ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อ “จตุธาตุควบคุมกระบี่ เพียงพอที่จะเพิ่มระดับพลังของท่านได้ อย่างน้อยก็ทำให้ท่านมีพลังปกป้องตนเองได้”
ฉู่เหยาจูงมือเขา นัยน์ตามีประกายความสุข ดวงตาคู่งามกวาดมองหลินมู่อวี่ในชุดศึกของวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่หล่อเหลา “อาอวี่ของพวกเราในวันนี้กลายเป็นยอดฝีมือของวิหารศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว…ขนาดจ้าวจิ้นราชันย์สวรรค์ระดับเจ็ดสิบยังถูกเจ้าโค่นได้ อาอวี่เจ้าทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ตอนนี้พลังของเจ้าตามขอบเขตของท่านพี่ข้าและพี่เฟิงจี้สิงทันแล้วกระมัง”
“เอ่อ…”
หลินมู่อวี่รู้สึกไม่มั่นใจอยู่บ้าง เขาตอนนี้จะสามารถชนะฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและเฟิงจี้สิงได้หรือไม่ ก็พูดยาก ทักษะดาบก้าววายุของเฟิงจี้สิงนั้นสง่างามและทรงพลังมาก ทักษะดัชนีเด็ดดาราของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนก็ไม่ได้ธรรมดา และทั้งสองคนยังไม่เคยใช้พลังทั้งหมดของตัวเองจริงๆ ดังนั้นแพ้ชนะจึงยากจะคาดเดา ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเฟิงจี้สิงมีฐานะเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ มีประสบการณ์การต่อสู้มานับไม่ถ้วน แค่เรื่องประสบการณ์การต่อสู้ก็เกรงว่าจะชนะหลินมู่อวี่ไปมากแล้ว
ด้วยเหตุนี้จึงยิ้มกล่าว “ไม่ทราบเหมือนกัน เฟิงจี้สิงเป็นพี่ใหญ่ที่ทำให้ข้าเคารพตลอดชีวิตผู้หนึ่ง ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนก็เป็นพี่ชายของพี่ฉู่เหยา ก็เป็นพี่ใหญ่ของข้า ไม่ว่าใครจะแข็งแกร่งกว่า ข้าคิดว่าชั่วชีวิตนี้พวกเราคงไม่มีโอกาสที่จะหันอาวุธเข้าหากันเอง”
“อืมๆ”
ฉู่เหยายิ้ม “เจ้ายังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม เย็นนี้กินข้าวเป็นเพื่อนข้า เป็นอย่างไร”
“ได้ ข้าเลี้ยงท่านนะ”
“ตกลง!”
ฉู่เหยาในวันนี้เป็นปราชญ์โอสถของสมาพันธ์โอสถแล้ว เงินเดือนนั้นไม่ได้แย่ แต่รายได้ของหลินมู่อวี่นั้นสูงกว่า ขอเพียงเขายินยอม อาศัยเพียงวิชาปรุงโอสถ วิชาหลอมอาวุธอย่างใดอย่างหนึ่งก็สามารถกลายเป็นเศรษฐีในเมืองหลันเยี่ยนได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่เงินทองสำหรับเขานั้นเป็นเพียงแค่ตัวเลข ไม่มีความหมายอะไร มีเงินมากแล้วอย่างไร พลังที่แข็งแกร่งนั้นถึงจะสำคัญที่สุด
เขาพาฉู่เหยามากินอาหารอร่อยในตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่งข้างถนนทงเทียน จากนั้นก็ไปสมาคมการค้าแห่งเมืองหลวงด้วยกันกับนาง สมาคมการค้าแห่งเมืองหลวงในยามค่ำคืนนั้นยิ่งคึกคัก รอบสมาคมเป็นร้านอัญมณี จำหน่ายอัญมณีที่สวยสดงดงามนานาชนิด ของเหล่านี้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าฮูหยินและคุณหนูผู้สูงศักดิ์พวกนั้น
ฉู่เหยาถึงแม้ว่าจะงดงาม แต่นางกลับไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่นางสนใจกลับเป็นบรรดากระบี่ในร้านศาสตราวุธ
หลินมู่อวี่เห็นอยู่ จึงกล่าวขึ้น “พี่ฉู่เหยาไม่ต้องอิจฉาอาวุธพวกนั้นหรอก ข้าจะรีบหลอมอาวุธที่เหมาะกับท่านให้ วางใจเถอะ พวกเราไปซื้อวัตถุดิบกัน”
“อืม!”
ฐานะของลูกค้าบัตรเพชรนั้นสูงศักดิ์มาก ครู่เดียวก็ได้พบกับรองประธานสมาคมการค้าจินเสี่ยวถัง คุณหนูใหญ่ผู้งดงามเห็นหลินมู่อวี่มาก็ยิ้มแย้มเบิกบาน “ใต้เท้าหลินจื้อ ครั้งนี้ท่านต้องการสิ่งใดหรือ”
สายตาของนางตกอยู่ที่ร่างของฉู่เหยา ดวงตาฉายแววประหลาดใจแล้วกล่าว “ว้าว ครั้งนี้ใต้เท้าพาสหายหญิงมาด้วยหรือนี่!”
“แค่ก แค่ก…”
หลินมู่อวี่กระแอม คลายความเขินของฉู่เหยา แล้วพูดขึ้น “แม่นางจิน ครั้งนี้ข้าต้องการศิลาวิญญาณและอาวุธเหล็กระดับสูงจำนวนหนึ่ง หากมีรบกวนช่วยแนะนำให้ข้าหน่อยได้หรือไม่”
“ได้สิเจ้าคะ ต้องการแบบไหนเป็นพิเศษหรือไม่”
“ต้องการศิลาวิญญาณธาตุน้ำแข็งอายุมากก้อนหนึ่ง ที่เหลืออย่างไรก็ได้”
“เจ้าค่ะ” จินเสี่ยวถังบิดสะโพกงอนงามเดินนำหน้า หัวเราะคิกคัก “ใต้เท้าหลินจื้อโชคดีเหลือเกิน ร้านศิลาวิญญาณเพิ่งจะได้ศิลาวิญญาณชั้นยอดมาจากหลิ่งหนาน ว่ากันว่าเป็นศิลาวิญญาณของกิเลนน้ำแข็งอายุหนึ่งหมื่นหนึ่งพันปี ก็ไม่รู้ว่าใต้เท้าหลินจื้อจะยอมจ่ายหรือไม่”
“อ่อ เท่าไรหรือ”
จินเสี่ยวถังชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้วแล้วยิ้ม “ให้ท่านราคาพิเศษ สามหมื่นเหรียญทอง เป็นอย่างไร”
“หา?”
หลินมู่อวี่มองกระเป๋าเงินของตนเอง “ไม่พอ ข้ามีแค่สองหมื่นเหรียญทอง ติดไว้ก่อนได้ไหม”
จินเสี่ยวถังหัวเราะคิกคัก นัยน์ตาฉายแววเฉลียวฉลาด “เช่นนั้นท่านต้องบอกข้ามาก่อน ว่าท่านต้องการศิลาวิญญาณเหล่านี้ไปทำอะไรกันแน่”
“หลอมอาวุธน่ะสิ”
“หลอมอาวุธ?” จินเสี่ยวถังกะพริบตา สีหน้าประหลาดใจ “ใต้เท้าหลินจื้อสามารถหลอมอาวุธระดับไหนได้หรือเจ้าคะ”
“ระดับนิลกระมัง…ต่ำมากใช่ไหม”
“ไม่เจ้าค่ะ!” จินเสี่ยวถังรีบส่ายหน้าพูด “ถ้าบอกว่าระดับนิลเป็นระดับต่ำ เกรงว่าสร้างความอับอายให้แก่นักหลอมอาวุธเหล่านั้นของจักรวรรดิแล้ว เช่นนี้แล้วกัน สามารถค้างจ่ายได้ แต่ว่าหลังจากใต้เท้าหลินจื้อหลอมอาวุธออกมาแล้วต้องแบ่งให้ข้านำไปขายที่หอประมูล เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของหอประมูลพวกเรา ใต้เท้าจะตกลงหรือไม่”
“ได้ ไม่มีปัญหา”
ธุรกิจที่ไม่ต้องลงทุน ไม่มีเรื่องที่ดีกว่านี้อีกแล้ว จินเสี่ยวถังยิ้มอย่างยินดีปรีดา นี่ก็คือธุรกิจ ที่นี่นางมีสิ่งล้ำค่าที่หลินจื้อที่ต้องการ ส่วนหลินจื้อนั้นมีทักษะหลอมอาวุธลึกลับที่จินเสี่ยวถังต้องการ
……
ตกลงธุรกิจกันได้อย่างรวดเร็ว ตอนที่ศิลาวิญญาณอายุหนึ่งหมื่นหนึ่งพันปีอยู่ในมือนั้น ความรู้สึกเย็นยะเยือกแผ่อยู่ใจกลางฝ่ามือ หลินมู่อวี่ทำเสียงประหลาดใจ “ถึงแม้จะแพงมาก แต่ก็เป็นศิลาวิญญาณที่ล้ำค่าที่จริงๆ ”
จินเสี่ยวถังยิ้มขำ “นั่นแน่นอนเจ้าค่ะ ว่ากันว่าทหารรับจ้างกว่าสองพันนายของหลิ่งหนานออกไปล่าสังหารมา เพื่อเจ้ากิเลนน้ำแข็งนี้แล้ว ต้องตายไปสามร้อยกว่าคน หนึ่งในนั้นยังยอดฝีมือขอบเขตนภาอีกด้วย พูดตามตรง ขายสามหมื่นเหรียญทองนั้นถูกมากๆ แล้วเจ้าค่ะ!”
“เจ้าจะมาขึ้นราคาตอนนี้ไม่ได้แล้วนะ” หลินมู่อวี่กล่าวเตือน
จินเสี่ยวถังอดหัวเราะไม่ได้ “เสี่ยวถังเป็นคนทำมาค้าขาย ความเชื่อใจเป็นพื้นฐาน ใต้เท้าหลินจื้อวางใจได้เจ้าค่ะ!”
ดังนั้นนอกจากศิลาวิญญาณก้อนนี้แล้ว หลินมู่อวี่ก็ค้างจ่ายศิลาวิญญาณหมวดน้ำแข็งอายุแปดพันปีมาอีกหนึ่งก้อน แล้วยังมีเหล็กนิลพันปีที่หายาก กับศิลาวิญญาณอายุต่ำกว่าห้าพันปีอีกจำนวนหนึ่ง หลังจากซื้อของไปมากถึงหนึ่งคันรถแล้ว จินเสี่ยวถังเลยมอบรถม้าให้เขาหนึ่งคัน ให้เขาใช้ขนของกลับวิหารศักดิ์สิทธิ์ เขาส่งฉู่เหยากลับไปก่อน หลังจากนั้นจึงรีบกลับวิหารศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว ได้เวลาที่จะกลายเป็นปรมาจารย์หลอมอาวุธที่ได้รับความเคารพจากผู้คนแล้ว!