เล่ม 1 ตอนที่ 122 สาวน้อยผู้น่าสนใจ

ราชินีพลิกสวรรค์

“หลียาโถ่ว ชิงเกอที่เจ้าว่านี้เป็นใครกันแน่ เหตุใดทุกครั้งที่พบฉินเทียนอี เจ้าจะต้องพูดชื่อนี้อยู่เรื่อย” ลู่เสวียนถือโอกาสเอ่ยถาม

 

 

เจียงหลีกลอกตาหันไปมองเขา ไม่ได้พลาดความเจ้าเล่ห์กลับกลอกที่แวบขึ้นมาในสายตาของเขา

 

 

เจียงหลีได้กลิ่นของเจตนาไม่ดีนั้นขึ้นมาทันใด

 

 

นางเข้าใจในทันทีว่า เจ้าหมอนี่คงไม่ได้มาหลอกถามอะไรจากข้าหรอกนะ ครั้งก่อน เนื่องจากฉินเทียนอีและมู่ชิงเกอนั้นละม้ายคล้ายกันนัก นางจึงได้เสียการควบคุม เรียกชื่อนั้นออกไป

 

 

ผลก็คือ ถูกหมอนี่ได้ยินเข้า แล้วยังวิ่งไปบอกลู่เจี้ยอีก นางก็ถูกลู่เจี้ยหลอกล่อ คาดคั้นว่าใครคือชิงเกอ

 

 

ดูๆ แล้ว หมอนี่ช่างอยากรู้อยากเห็นนัก เพิ่งจะออกมาก็ไม่ลืมที่จะวางแผนมุ่งร้ายนาง

 

 

“เจ้าอยากรู้หรือ” เจียงหลียิ้มให้เขา

 

 

ลู่เสวียนพยักหน้า ในดวงตาเต็มไปด้วยการเฝ้ารอ

 

 

“ไปถามพี่ชายเจ้าสิ” เจียงหลียิ้มเห็นฟัน รอยยิ้มเบิกบานเป็นพิเศษ

 

 

ลู่เสวียนสีหน้าหมดคำพูด ทำหน้าระทมแล้วกล่าว “หลียาโถ่ว เจ้าร้ายนัก เดี๋ยวนี้รู้จักรังแกข้าแล้ว จะต้องเรียนรู้มาจากพี่ใหญ่เป็นแน่ อย่างไรเสียข้าก็เป็นซื่อจื่อของพระชายาลู่ เจ้าจะทำดีกับข้าหน่อยไม่ได้หรือ”

 

 

เจียงหลีหัวเราะ กล่าวหยอกล้อเขา “เจ้าเองยังไม่เห็นยศซื่อจื่อในสายตา เจ้าจะให้คนอื่นเห็นเจ้าเป็นซื่อจื่อหรือ”

 

 

“…” ลู่เสวียนพูดไม่ออก นั่งยองข้างทางอย่างเ**่ยวแห้ง เด็ดต้นหญ้าข้างทางเล่น

 

 

เห็นท่าทางดั่งเด็กน้อยของเขาเช่นนั้น เจียงหลีก็อดไม่ได้ที่จะยกเท้าขึ้นเตะก้นเขาแล้วพูดว่า “นี่ เป็นผู้ชายอย่าสอดรู้สอดตัวเรื่องส่วนตัวของคนอื่นถึงเพียงนั้นสิ”

 

 

“ข้า…ข้าแค่ใส่ใจเจ้าเท่านั้น” ลู่เสวียนโดนเตะก้นก็ไม่ได้โกรธอะไร ยกสะโพกไปด้านข้าง ยื่นคางกล่าวเสียงแข็ง

 

 

“เหอะ ข้าขอบใจในความใส่ใจของเจ้านะ เจ้าเรียกข้าออกมาก็เพื่อจะหลอกถามเท่านั้นหรือ เช่นนั้นข้ากลับก่อนล่ะ” พูดจบ เจียงหลีก็หันตัวกำลังจะจากไป

 

 

“อย่าเพิ่งไป!” ลู่เสวียนยื่นมือออกมาอย่างว่องไว ดึงชายเสื้อของนางไว้ ขัดขวางไม่ให้นางจากไป

 

 

เจียงหลีเหลียวหลังมองไปทางเขาที่ยังคงนั่งยองอยู่บนพื้น

 

 

บนใบหน้าอันงดงามของหนุ่มน้อย เผยรอยยิ้มที่สดใสออกมา กล่าวประจบ “ไหนๆ ก็มาแล้ว เราไปดูเรื่องสนุกกันเถิด”

 

 

“เรื่องสนุกอะไรหรือ” เจียงหลีเลิกคิ้ว

 

 

สองเท้าของลู่เสวียนลากพื้นสองสามก้าว เข้ามาใกล้เจียงหลี “ข้างหน้ามีสาวงามมากมาย ยังมีพวกผู้ดีมีเงินเมืองซั่งตูอีก ได้ยินว่าพวกเขาจะสาดเทเงินทอง มาแลกกับรอยยิ้มของสาวงาม”

 

 

หะ?

 

 

ไปดูลูกไม่เอาไหนถลุงเงินทองหรือ

 

 

นางไม่ได้ว่างถึงขนาดไม่มีอะไรทำนะ

 

 

“ไม่ไป” เจียงหลีส่ายหน้าไปมาอย่างป๋องแป๋ง ปฏิเสธอย่างไม่ลังเล

 

 

“โถ่ ดูเดี๋ยวเดียวน่า เราแค่ไปมุงดู ดูว่าพวกผู้ดีมีเงินเหล่านั้นใช้จ่ายเงินทองของพ่อแม่อย่างไร อีกสองวัน เราก็ต้องไปรายงานตัวที่สถาบันไป๋หยวนแล้ว ต้องปฏิบัติตามกฎของสถาบัน จะออกมาดูเรื่องสนุกเช่นนี้ไม่ได้อีก” ลู่เสวียนกำชายเสื้อของนางไว้แน่น แล้วขอร้องวิงวอน

 

 

“…” เห็นท่าทางน่าสงสารของเขา ก็นึกขึ้นได้ว่าการฝึกเนตรญาณของตานี่ตกไประดับหกแล้ว หากมีคนคิดร้ายอยากฆ่าเขาอีก นางจะบอกกับลู่เจี้ยอย่างไร

 

 

สับสนทุรนทุรายในใจอยู่สักพัก เจียงหลีก็ยอมในที่สุด “ก็ได้ แต่ครั้งหน้าไม่ได้แล้วนะ”

 

 

“หลียาโถ่วเจ้าช่างดียิ่งนัก!” ลู่เสวียนดีใจกระโดดโลดเต้น

 

 

ท่าทางเช่นนี้ของเขากับความเป็นผู้ใหญ่ของลู่เจี้ยนั้น ช่างไม่เหมือนคนบ้านเดียวกันเสียจริง!

 

 

ด้วยความจนใจ เจียงหลีจึงทำได้เพียงเดินต่อไปกับลู่เสวียน ผ่านทุ่งหญ้าผืนหนึ่ง แล้วสุดท้ายก็มาถึงริมทะเลสาบ

 

 

ในเวลานี้ ริมทะเลสาบมีผู้คนมากมาย ชาวบ้านที่ชอบความคึกคักจำนวนไม่น้อยต่างก็มารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้ ริมฝั่งทะเลสาบนั้น ตั้งเพิงสีสันต่างๆ มากมาย ในนั้นมีเหล่าท่านชายสวมใส่เสื้อผ้าหรูหรานั่งอยู่

 

 

ตามที่ลู่เสวียนบอกไว้ คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ดีมีเงินจากเมืองซั่งตูทั้งนั้น

 

 

ฉินเทียนอีที่เสื้อสีสันสดใสที่สุดนั้น ก็ปรากฏตัวอยู่ในนั้นด้วย อีกยังเป็นตำแหน่งที่โดดเด่นที่สุดด้วย

 

 

ส่วนบนทะเลสาบนั้น มีเรือน้อยลอยลำอยู่

 

 

บนเรือแต่ละลำก็มีสาวงามนั่งอยู่ ต่างก็มีเอกลักษณ์ของตน หน้าตาสะสวยงดงาม

 

 

เจียงหลีตามลู่เสวียนเบียดไปแถวหน้าของฝูงคน ไปตรงที่วิสัยทัศน์ดีที่สุด นางมองไปก็เห็นฉินเทียนอีเลย

 

 

ฉินเทียนอีเหมือนว่าจะรู้สึกตัวว่านางมองมา มองด้วยหางตามาทางนี้

 

 

เมื่อเขาเห็นว่าเป็นเจียงหลี ใบหน้าอันงดงามของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม จนทำให้คนรอบข้างต้องสอบถามเขา “นายน้อยรองฉินมองอะไรอยู่หรือ”

 

 

“กำลังมองดูสาวน้อยน่าสนใจผู้หนึ่งอยู่” ฉินเทียนอีตอบส่งๆ

 

 

คนที่สอบถามนั้น มองตามสายตาของเขาไป แล้วก็เห็นเจียงหลีในชุดสีดำท่ามกลางฝูงชนจริงๆ รูปร่างผอมโซของนางในตอนนี้ ทำให้คนผู้นั้นยิ้มออกมา กล่าวแซวเย้าหยอก “รสนิยมของนายรองฉินเปลี่ยนไปเมื่อไรกัน สนใจสาวน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเช่นนี้หรือ”

 

 

ฉินเทียนอีได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะลั่น “นางมิใช่สาวน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม แต่เป็นสัตว์ประหลาดเรี่ยวแรงมหาศาลต่างหากเล่า”

 

 

เขาเห็นกับตาตนเอง ว่าเจียงหลีใช้กระบวนท่าเดียวก็สังหารหลิงเจี้ยงเจ็ดคนด้วยตาของของเขาเอง

 

 

ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่ไร้พิษสง มีจิตใจที่คนอื่นมองไม่ออกซ่อนอยู่

 

 

ฉะนั้น น่าสนใจ! น่าสนใจ!

 

 

เจียงหลีสายตาค้างชะงักไปเล็กน้อย นางเห็นท่าทางของฉินเทียนอีที่หัวเราะอย่างไม่เกรงสายตา ก็เดาได้ว่า เสียงหัวเราะนั้นเกี่ยวข้องกับนางแน่นอน

 

 

สายตาของนางก็มืดมนไม่สว่างสดใส ฉินเทียนอีรู้ถึงความโกรธของฮ่องเต้ คนผู้นี้จะสังหารหรือเก็บไว้ดี

 

 

“ลู่เสวียน…!”

 

 

ทันใดนั้น เสียงแหลมเล็กก็ลอยมาจากที่ไกล ขัดจังหวะความคิดของเจียงหลี

 

 

นางยังไม่ทันได้มองว่าใครเป็นคนเรียกลู่เสวียน ก็รู้สึกได้ว่าคนข้างกายตนจังหวะหายใจเปลี่ยนไป

 

 

“แย่แล้ว! ยัยบ้านั่นมา! หลียาโถ่วเรารีบไปกันเถิด!” ลู่เสวียนสีหน้าเปลี่ยนไปกระทันหัน ถึงขั้นซีดขาวไป จับมือเจียงหลีแล้ววิ่งออกไปทันใด

 

 

ท่าทางผิดปกติของเขา ทำให้เจียงหลีขณะที่แปลกใจอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเสียหน่อย “ใครกัน ทำเอาซื่อจื่อตระกูลลู่ของเราตกใจจนอกสั่นขวัญหายได้”

 

 

“แม่เสือสาวตัวหนึ่งน่ะ!” ลู่เสวียนกัดฟันตอบกลับ

 

 

ทว่า เขาเพิ่งจะพูดจบ เจียงหลีก็ได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความเอาแต่ใจลอยมา “เจ้าว่าใครเป็นเสือสาว!”

 

 

แถ่นแทนแท้น!

 

 

มีเงาตกกระทบมา ขวางทางของเจียงหลีและลู่เสวียนไว้

 

 

เงารวมตัวกัน เจียงหลีถึงมองเห็นคนผู้นั้นได้ชัดเจน ล้วนเป็นองครักษ์ที่แต่งตัวเหมือนกันทั้งสิ้น

 

 

“ลู่เสวียน จวิ้นจู่เรียกเจ้า เจ้าจะวิ่งหนีทำไม” เสียงเอาแต่ใจใสเจื้อยแจ้วลอยมาจากทางด้านหลัง

 

 

เวลานี้ งานผู้ดีมีเงินทางด้านหน้า ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาแล้ว

 

 

เจียงหลีกลอกตามองไป เห็นเพียงสาวน้อยที่น่ารักงดงาม สวมใส่เสื้อผ้าสีสันสดใส มือไขว้หลัง เดินก้าวขาคล่องแคล่วมาทางพวกเขา

 

 

ขณะที่สาวน้อยเดินก้าวเท้านั้น กระดิ่งที่ผูกไว้บนข้อเท้านางก็ส่งเสียงดังใสไพเราะอยู่ไม่ขาดสาย

 

 

ระหว่างคิ้วของสาวน้อย มีความสูงศักดิ์ปรากฏอยู่ ไม่ต้องถามเจียงหลีก็รู้ได้ว่าฐานะของนางไม่ต่ำต้อยเลย

 

 

เพียงแต่ ทำไมนางปรากฏตัว สีหน้าลู่เสวียนถึงได้ดูแย่ขมขื่นดั่งกินมะระเข้าไปเช่นนั้นเล่า

 

 

“โจวยวน ข้าบอกเจ้าตั้งหลายครั้งแล้ว ทำไมเจ้ายังจะต้องตามตื๊อข้าอีก” ลู่เสวียนกล่าวอย่างจนใจ

 

 

สาวน้อยที่เดิมทีมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า เมื่อได้ยินคำพูดนั้นของเขาแล้ว รอยยิ้มก็หายไป ทว่า เมื่อสายตานางไปตกอยู่ที่มือที่จับกันไว้แน่นของลู่เสวียนและเจียงหลี นางก็เลิกคิ้วขึ้น ชี้ไปที่ทั้งสองคนแล้วถาม “เหตุใดเจ้าจึงจับมือกับนาง นางเป็นใคร!”