ตอนที่ 226 ผลของการลงโทษ

พันธกานต์ปราณอัคคี

“อาจารย์…” เพิ่งสิ้นเสียงกู้หลี คนที่หน้าถอดสีกลับเป็นมั่วชิงเฉิน

 

 

กู้หลีเหลือบมองมั่วชิงเฉินอย่างนิ่งเรียบปราดหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าซีดเซียว กัดริมฝีปากว่า “อาจารย์ เรื่องนี้เดิมทีชิงเฉินก็ทำคนเดียวอยู่แล้ว ท่านจะร่วมรับโทษเฆี่ยนแส้เทพกับข้าได้อย่างไรกัน?”

 

 

กู้หลีมองมั่วชิงเฉิน อารมณ์สลัวๆ ในดวงตาอ่านไม่ออก น้ำเสียงกลับสงบจนเกือบเย็นชาว่า “ชิงเฉิน เจ้ายังเห็นข้าเป็นอาจารย์เจ้าหรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉินชะงักงัน เหมือนมีค้อนอันเล็กๆ ทุบลงบนหัวใจ ไม่นับว่าหนัก กลับเจ็บอย่างชัดเจน ในที่สุดก็ก้มหน้าลงด้วยใบหน้าซีดเซียว ไม่พูดสิ่งใดอีก

 

 

“ทางแห่งการเป็นอาจารย์ ความรับผิดชอบในการสอนคน หากเหอกวงตั้งมั่นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า” เสียงของหรูอวี้เจินจวินดังขึ้น ในโถงใหญ่ที่เงียบสงบทำให้ได้ยินอย่างชัดเจนยิ่งนัก พูดจบสายตากวาดไปที่นักพรตเจิ้นผิง “เจิ้นผิง เฆี่ยนแส้เทพสิบที เหอกวงรับเจ็ดที มั่วชิงเฉินรับสามที บัดนี้ก็ให้เจ้ามาปฏิบัติเถอะ”

 

 

“ขอรับ” นักพรตเจิ้นผิงคารวะหนึ่งที มองๆ กู้หลีแล้ว กลับเดินไปที่มั่วชิงเฉินก่อน

 

 

มั่วชิงเฉินคุกเข่าอยู่บนพื้น ครึ่งตัวบนยืดตรง ตากลับปิดลงเบาๆ ขนตาสั่นไหวแผ่วเบา

 

 

นักพรตเจิ้นผิงยกแส้ทองในมือขึ้นช้าๆ

 

 

ในยามนี้เองจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหนึ่งว่า “ช้าก่อน”

 

 

ทุกคนมองไปตามเสียง เห็นเพียงนักพรตซานอินแสยะมุมปาก เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ถุงเก็บวัตถุของเถียนหยวนถูกมั่วชิงเฉินเก็บไปสินะ ขอให้ส่งคืนด้วย”

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มมุมปาก ล้วงของสิ่งหนึ่งออกจากอกอย่างไม่ลังเลแล้วโยนไปที่นักพรตซานอิน

 

 

นักพรตซานอินรับไว้ทันที ใช้จิตตระหนักกวาดดูแล้วถึงว่า “พัดหยินหยางของเถียนหยวนล่ะ?”

 

 

“ไม่ทราบ คิดว่าคงถูกระเบิดเป็นผุยผงแล้ว” อารมณ์หวาดกลัวและตื่นเต้นที่เกิดจากการต้องถูกเฆี่ยนแส้เทพของมั่วชิงเฉินแต่เดิม กลับถูกพัดสลายไปเพราะการกระทำนี้ของนักพรตซานอิน

 

 

นักพรตซานอินคิ้วขาวกระตุก “ระเบิดเป็นผุยผงแล้ว? จะเป็นไปได้อย่างไร…”

 

 

“เอาล่ะ ซานอิน พัดหยินหยางที่เถียนหยวนใช้เดิมก็เป็นของนอกลู่นอกทางอยู่แล้ว ต่อให้มั่วชิงเฉินเอาไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด แม้แต่ฆ่าเถียนหยวนนางยังยอมรับแล้ว ยังจะโลภพัดของเขาเพียงเล่มเดียวหรือ? เจ้าก็อย่าต่อความยาวสาวความยืดอีกเลย” หรูอวิ้เจินจวินเอ่ยนิ่งเรียบ

 

 

นักพรตซานอินหลุบตาลงอย่างไม่ยอม

 

 

พัดหยินหยางเล่มนั้นเมื่อนานมาแล้วด้วยโอกาสวาสนานำพาเขาแลกมาจากผู้บำเพ็ญเพียรผีผู้หนึ่ง ระดับของสิ่งนั้นไม่อาจแบ่งแยกเช่นอาวุธเวทธรรมดา สามารถพูดได้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรใช้ไปตลอดถึงระดับก่อแก่นปราณหรือกระทั่งก่อกำเนิดก็ไม่เป็นปัญหา

 

 

 เดิมเขายังคิดจะเก็บไว้ใช้เอง เสียดายยามนั้นตนก่อแก่นปราณแล้ว มีสมบัติวิเศษเจ้าชะตาแล้ว จึงเกิดการต่อต้านสมบัติวิเศษประเภทนี้ ต่อให้หลอมพัดหยินหยางแล้วก็ยากจะสำแดงอานุภาพของมันออกมาได้อยู่ดี จึงเก็บไว้เสมอมา ต่อมาได้มอบให้เถียนหยวน

 

 

บัดนี้ยัยเด็กบ้านั่นกลับบอกว่าพัดหยินหยางถูกระเบิดเป็นผุยผงแล้ว เขาไม่เชื่อแม้แต่น้อย เพียงแต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วก็ได้แต่ยอมรับ วันหลังหากมีโอกาส ต้องให้ยัยเด็กบ้านั่นลำบากสักครั้งให้ได้ เฆี่ยนแส้เทพสามทีช่างสบายนางเกินไปแล้วจริงๆ!

 

 

ไม่พูดถึงความคิดลับๆ ในใจของนักพรตซานอิน ทางด้านนี้นักพรตเจิ้นผิงได้ยกแส้เทพสีทองขึ้นสูงแล้ว มองดูสาวน้อยที่คุกเขาอยู่เงียบๆ บอบบางเหมือนต้นหลิว สุดท้ายก็ทำใจไม่ได้ต้องเตือนว่า “ศิษย์หลานมั่ว เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมนะ”

 

 

เพิ่งสิ้นเสียง แส้ยาวสีทองในมือก็ตวัดขึ้นทันที วาดแสงทองสายหนึ่งกลางอากาศ ตวัดแส้ออก เพี๊ยะเสียงหนึ่งฟาดลงบนตัวมั่วชิงเฉิน

 

 

ร่างมั่วชิงเฉินสั่นเทิ้มทันที ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

 

 

เดิมทีนางคิดว่าตนเตรียมตัวพร้อมสำหรับการต้อนรับความเจ็บปวดแล้ว ทว่ามีเพียงยามที่แส้เทพเฆี่ยนลง ถึงรู้ว่ารสชาติของการที่ดวงจิตถูกฟาดเป็นเช่นไร

 

 

ความเจ็บปวดเช่นนั้นไม่อาจใช้คำพูดมาพรรณนาได้แล้ว กระทั่งตกลงเจ็บที่ตรงไหนก็พูดไม่ถูก รู้สึกเพียงว่าความเจ็บปวดเช่นนี้เกินระดับการทนได้ของมนุษย์ไปแล้ว กลับดันไม่อาจสลบได้ ได้แต่รับรู้อย่างมีสติและชัดเจนถึงรสชาติความเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่เช่นนั้น

 

 

นี่ก็คือส่วนที่ร้ายกาจของการเฆี่ยนแส้เทพ มันเฆี่ยนลงโดยตรงบนดวงจิตที่อยู่ในส่วนลึกของความตระหนัก ความเจ็บปวดเช่นนั้นรุนแรงยิ่งกว่าความเจ็บปวดของร่างเนื้อที่ต้องทนรับการขาดสะบั้นของชีพจรหลักและการขยายตัวอย่างรุนแรงของตันเถียนยามที่ผู้บำเพ็ญเพียรทะลวงด่านใหญ่ระดับสร้างรากฐาน ระดับก่อแก่นปราณนับไม่ถ้วนเท่า

 

 

ที่ยิ่งน่ากลัวคือ ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งไม่ว่าถูกเฆี่ยนหนึ่งที หรือว่าเฆี่ยนหนึ่งร้อยที จะรักษาสติไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่ต้นจนจบ กระทั่งมีสติชัดเจนยิ่งกว่ายามปกติเสียอีก

 

 

และยังมีอีกข้อหนึ่งก็คือ ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งหลังจากถูกเฆี่ยนแล้วร่างกายจะไม่ทิ้งร่องรอยบาดเจ็บไว้แม้แต่น้อย ส่วนดวงจิตกลับต้องบำรุงรักษาเป็นเวลานานกว่าจะฟื้นฟูได้

 

 

หากจะว่าการลงโทษเช่นนี้น่าหวาดกลัวรุนแรง ที่จริงก็มิใช่ไม่มีประโยชน์เสียทีเดียว ผู้บำเพ็ญเพียรหากรับการลงโทษเฆี่ยนแส้เทพ เช่นนั้นต่อไปเมื่อเลื่อนขั้นความสามารถในการอดทนต่อความเจ็บปวดของร่างเนื้อจะสูงขึ้นมาก ยิ่งกว่านั้นหากยามที่พบเจอสมบัติวิเศษหรือคาถาที่ใช้โจมตีดวงจิตโดยเฉพาะ ภูมิต้านทานก็จะแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย

 

 

ดีและร้าย บุญและเคราะห์ เดิมทีในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรก็ยากจะพูดได้ชัดเจนอยู่แล้ว

 

 

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีคนเต็มใจรับการเฆี่ยนตีของแส้เทพ

 

 

เพียงทีเดียวนี้ มั่วชิงเฉินก็เหงื่อโทรมไปทั้งกายในพริบตา

 

 

เดิมทีนางนึกว่าความเจ็บปวดทีแรกได้เกินระดับการทนได้ของมนุษย์แล้ว ประสาทรับรู้ความเจ็บปวดควรด้านชาแล้วกระมัง ทว่าเมื่อทีที่สอง ทีที่สามมาตามกำหนดถึงรู้ตัวว่าตนเองผิดเสียแล้ว

 

 

ความเจ็บปวดของแต่ละทีล้วนชัดเจนถึงเพียงนั้น อย่าว่าแต่ด้านชาเลย นางกระทั่งรู้สึกว่าแต่ละทีเจ็บปวดขึ้นเรื่อยๆ ทีสุดท้ายเจ็บจนนางสามารถรับรู้ได้ว่าวิญญาณสั่นเทาอยู่อย่างชัดเจน

 

 

ในพริบตานั้น นางกระทั่งมีความรู้สึกเหมือนหลุดออกจากความเป็นความตาย

 

 

เฆี่ยนแส้เทพสามทีเฆี่ยนเสร็จ มั่วชิงเฉินยังลำตัวตั้งตรงคุกเข่าอยู่ตรงนั้น มิใช่นางอวดเก่ง หากแต่ความเจ็บปวดของดวงจิตในยามนี้ทำให้นางสูญเสียสัญชาตญาณทางร่างกาย หลุดจากการควบคุมที่มีต่อร่างกาย ราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง แต่กลับรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้อย่างชัดเจนจนไม่รู้จะชัดเจนอย่างไรแล้ว

 

 

นักพรตเจิ้นผิงเดินไปที่กู้หลี

 

 

การเฆี่ยนแส้เทพเฆี่ยนลงบนร่างกู้หลีทีแล้วทีเล่า เขากลับไม่ส่งเสียงสักแอะ สายตามองตรงไปข้างหน้า

 

 

คนอื่นต่อให้รู้สึกเข้าใจอย่างลึกซึ้ง กลับเทียบไม่ได้กับมั่วชิงเฉินที่ร่วมชะตาเดียวกัน

 

 

เพียงเพราะนางคือคนที่เพิ่งถูกเฆี่ยนแส้เทพ ไม่มีใครเข้าใจชัดเจนไปกว่านางว่าการถูกเฆี่ยนตีดวงจิตนั้นรสชาติเป็นเช่นไร

 

 

ส่วนความเจ็บปวดที่กู้หลีได้รับในยามนี้ ก็ไม่บางเบาลงเพราะเขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ กระทั่งเพราะดวงจิตของเขาแข็งแกร่งกว่า การรับรู้ต่อความเจ็บปวดจึงยิ่งเฉียบไวกว่า

 

 

และความทรมานที่เขาได้รับ ตนเป็นคนสร้างไว้

 

 

มั่วชิงเฉินสายตาจับจ้องกู้หลีเขม็ง ในใจเจ็บปวดสุดที่จะทนได้

 

 

อาจารย์ นี่ท่านลงโทษข้าอยู่ใช่หรือไม่? ไม่คิดว่าจะใจร้ายถึงเพียงนี้! มั่วชิงเฉินหลับตาลง แล้วถอนใจลึกๆ

 

 

“เรียนท่านเจินจวิน ศิษย์ลงโทษเสร็จสิ้นแล้วขอรับ เฆี่ยนแส้เทพสิบทีนักพรตเหอกวงรับเจ็ดที มั่วชิงเฉินรับสามที” นักพรตเจิ้นผิงเดินถึงตรงกลางโถงใหญ่ สองมือยกแสทองขึ้นสูง เอ่ยด้วยเสียงมั่นคง

 

 

หรูอวี้เจินจวินมองดูกู้หลีศิษย์อาจารย์สองคน แล้วถอนใจเสียงหนึ่งว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ เจิ้นผิงเจ้าถอยลงไปเถอะ”

 

 

“ขอรับ” นักพรตเจิ้นผิงเทิดแส้เทพไว้ด้วยสองมือ ถอยหลังไปช้าๆ

 

 

“ช้าก่อน” กู้หลีใช้นิ้วมือเรียวยาวเช็ดเลือดที่มุมปากทิ้งไป แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า

 

 

หรูอวี้เจินจวินกวาดสายตามา “เป็นอะไรหรือ เหอกวง เจ้ายังมีอะไรจะพูดเช่นนั้นหรือ”

 

 

กู้หลียิ้มแผ่วเบาว่า “ท่านอาจารย์อาหรูอวี้ ‘ทางแห่งการเป็นอาจารย์ ความรับผิดชอบของการสอนคน’ เถียนหยวนในฐานะศิษย์ก้นกุฏิของศิษย์พี่ซานอิน กลับประพฤติตนต่ำช้า ย่ำยีศิษย์น้องร่วมสำนัก บัดนี้แม้ต้องตัวตายก็เพราะเหตุจากอดีตส่งผลในวันนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ซานอินในฐานะอาจารย์ ควรรับผิดชอบเช่นไรอีก?”

 

 

สิ้นเสียงกู้หลี กลางโถงเงียบงันก่อน จากนั้นก็มีเสียงหลายเสียงดังขึ้นพร้อมกัน

 

 

“ไอยา บัดนี้ข้าถึงพบว่าศิษย์น้องเล็กปกติแกล้งเป็นหมูกินเสือหรือนี่…โอ๊ย ศิษย์น้องสาม เจ้าเหยียบข้าไปไย?” นี่คือเสียงนักพรตจื่อซีอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

นักพรตหมิงจ้าวได้ยินนักพรตจื่อซีพูดความในใจออกมาอย่างลืมตัว เกิดร้อนรนขึ้นมาจึงเหยียบนางไปทีหนึ่ง กลับถูกนักพรตจื่อซีเปิดโปงอีก กระอักกระอ่วนอย่างมากขึ้นมาทันที แล้วรีบหันหน้าไปอีกข้างหนึ่งแกล้งทำเป็นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนักพรตจื่อซี แต่กลับลืมหดเท้ายักษ์ที่เหยียบอยู่บนรองเท้าปักลายของนักพรตจื่อซี กระทั่งถูกนักพรตจื่อซีเหยียบทีหนึ่งอย่างแรง จนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

 

 

“กู้เหอกวง เจ้าอย่ารังแกกันเกินไป ศิษย์เจ้าฆ่าลื่อของข้า หรือว่าสุดท้ายยังกลายเป็นความผิดของข้าอย่างนั้นหรือ?” นี่คือเสียงโหวกเหวกของนักพรตซานอินที่โมโหยากจะทน

 

 

เพราะว่าสามคนนี้ออกเสียงพร้อมกัน โถงใหญ่อื้ออึงขึ้นมาทันที

 

 

เจินจวินทั้งสี่ท่านมองหน้ากันปราดหนึ่ง ต่างรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

 

 

“หุบปาก!” หรูอวี้เจินจวินตะคอกว่า

 

 

ในโถงสงบลงมา

 

 

หรูอวี้เจินจวินถึงมองทุกคนว่า “ที่เหอกวงพูด ก็ไม่ผิด”

 

 

“ท่านเจินจวิน!” นักพรตซานอินเรียกเสียงหลง “ท่านจะฟังคำพูดข้างๆ คูๆ ของกู้เหอกวงไม่ได้เด็ดขาดนะขอรับ เถียนหยวนตายไปแล้ว ยังมีการลงโทษที่รุนแรงกว่านี้หรืออย่างไร? อีกอย่าง เขาก็ไม่ได้ย่ำยีมั่วชิงเฉินนี่นา!”

 

 

นักพรตจื่อซีหัวเราะเย้ยออกเสียงว่า “การตายของเถียนหยวนเพราะเขารนหาที่เอง เขาไม่ได้ย่ำยีศิษย์หลานชิงเฉิน ไม่ใช่เขาไม่อยาก หากแต่เพราะเขาไม่มีปัญญา นี่คือแบบฉบับของการขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวสารอีกกำมือ หากเปลี่ยนเป็นศิษย์หญิงคนอื่น ผลจะเป็นเช่นไรไม่ต้องคิดก็รู้!”

 

 

กู้หลีกลับพูดเสียงไม่ช้าไม่เร็วว่า “ศิษย์พี่ซานอินพูดชอบกลนัก การตายของเถียนหยวนคือผลการลงโทษต่อการกระทำของตัวเขาเอง ก็เหมือนกับศิษย์ข้าถูกเฆี่ยนแส้เทพเป็นผลการลงโทษจากการที่นางทำอะไรบุ่มบ่าม เหอกวงสอนสั่งไม่เหมาะสม ก็ยากจะหนีความรับผิดชอบเช่นเดียวกัน เช่นนั้นความรับผิดชอบในการสอนสั่งของศิษย์พี่ซานอินควรรับผิดชอบเช่นไร?”

 

 

“เจ้า เจ้า…” นักพรตซานอินโกรธจนพูดไม่ออก เขารู้สึกรางๆ ว่าคำพูดของกู้หลีค่อนข้างผิดปกติ ทว่าเนื่องจากความโกรธบดบังจิตใจกลับคิดไม่เข้าใจ

 

 

“ท่านอาจารย์อาหรูอวี้ขอรับ ศิษย์ข้าได้รับการลงโทษแม้เป็นเรื่องสมควร เรื่องนี้สำหรับนางแล้วกลับเป็นเคราะห์ที่เกิดโดยไม่ได้คาดคิด ขอให้ท่านให้ความเป็นธรรมด้วย” กู้หลีมองไปที่หรูอวี้เจินจวิน

 

 

หรูอวี้เจินจวินพยักหน้า “ที่เหอกวงพูดมาก็มีเหตุผล เพียงแต่อย่างไรเสียเถียนหยวนก็ตายไปแล้ว จึงให้เว้นโทษเฆี่ยนแส้เทพซานอิน ไปอยู่โถงลงทัณฑ์สักสามปีเถอะ”

 

 

นักพรตซานอินได้ยินว่าไม่ใช่โดนเฆี่ยนแส้เทพ ในที่สุดก็โล่งใจ เทียบกันแล้วการไปอยู่โถงลงทัณฑ์สามปีต้องดีกว่ามาก เพียงแต่ความโกรธแค้นในใจที่มีต่อเขาชิงมู่ยิ่งเพิ่มขึ้นขั้นหนึ่ง

 

 

“เอาล่ะ ถอยลงไปให้หมดเถอะ” หรูอวี้เจินจวินกุมขมับ ในที่สุดก็จบเรื่องเสียที

 

 

หลิวซางเจินจวินนำพวกกู้หลีกลับเขาหลักเขาชิงมู่ แล้วสั่งให้นักพรตหมิงจ้าวส่งกู้หลีศิษย์อาจารย์กลับเขาป่าไผ่

 

 

นักพรตจื่อซีขลุกอยู่ยอดเขาหลักไม่ยอมไป คล้องแขนหลิวซางเจินจวินว่า “อาจารย์ จื่อซีรู้สึกว่าศิษย์น้องเล็กนับวันยิ่งฉลาดขึ้นแล้ว”

 

 

หลิวซางเจินจวินกลับกึ่งหรี่ตา เอ่ยอย่างลังเลเล็กน้อยว่า “จื่อซี เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าเหอกวงเห็นความสำคัญศิษย์ของเขาเกินไปสักหน่อย?”

 

 

นักพรตจื่อซีตกใจ รีบเอ่ยว่า “ไม่หรอกกระมัง ยามเรายังเยาว์วัย อาจารย์ก็ปฏิบัติกับพวกเราเช่นนี้มิใช่หรือเจ้าคะ?”

 

 

หลิวซางเจินจวินถึงได้พยักหน้าแล้วย้อนกลับที่พำนัก

 

 

อีกด้านหนึ่งนักพรตซานอินเพิ่งถูกขังเข้าโถงลงทัณฑ์ กลับจู่ๆ โหวกเหวกโวยวายขึ้นมา “กู้เหอกวง เจ้าสารเลว ข้าก็ว่าตรงไหนมันผิดปกติ แส้เจ็ดทีของเจ้านั่นเจ้าโดนแทนศิษย์เจ้าชัดๆ เกี่ยวกับความรับผิดชอบในการสอนสั่งตรงไหนกัน!”

 

 

เพียแต่ที่ตอบรับเขา มีเพียงประตูหินที่ปิดสนิท