ตอนที่ 122 ขอโทษ

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ตกบ่าย หลังจากที่โจวเสาจิ่นกลับมาจากเรือนหานปี้ซานแล้ว ซือเซียงก็บอกนางว่า ได้ส่งถุงเท้าไปที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยเรียบร้อยแล้ว “…แม่นางจี๋อิ๋งรับเอาไว้แล้ว ยังมอบผ้าเช็ดหน้าไหมทองให้ข้าอีกสองผืนเจ้าค่ะ”

 

 

ผ้าเช็ดหน้าไหมทองหนึ่งผืนราคามากกว่าสองเหลี่ยงเงิน จี๋อิ๋งช่างให้มาอย่างใจใหญ่ใจโตยิ่งนัก

 

 

โจวเสาจิ่นร้องเฮอะอยู่ในใจครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าเช่นนี้ทั้งสองคนก็ถือว่าหายกัน

 

 

คิดไม่ถึงว่าเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น จี๋อิ๋งให้คนส่งขนมวุ้นใสกับเต้าฮวยทรงเครื่องมาให้ ยังฝากข้อความมากับสาวใช้เด็กที่มาส่งของด้วยว่า “…ขนมวุ้นใสซื้อมาจากหอจุ้ยเซียน ส่วนเต้าฮวยทรงเครื่องซื้อมาจากหอหนานซื่อเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นนั้นไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย จึงไม่รู้จักทั้งหอจุ้ยเซียนและหอหนานซื่อ แต่ฟังจากคำพูดของสาวใช้แล้ว คาดว่าขนมวุ้นใสเป็นของขึ้นชื่อของหอจุ้ยเซียน ส่วนเต้าฮวยทรงเครื่องก็เป็นของขึ้นชื่อของหอหนานซื่อ

 

 

สาวใช้เด็กล้วนเป็นเพียงคนวิ่งส่งสารเท่านั้น นางเองก็ไม่อยากไปเคี่ยวเข็ญเอากับสาวใช้เด็ก จึงให้ซือเซียงรับเอาไว้ “…เอาไปเททิ้งในถังขยะให้หมด”

 

 

“ของดีขนาดนี้…” ซือเซียงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย

 

 

ขนมวุ้นใสนั้นสีใสแวววาวดั่งหยกเนื้อดี ด้านบนแต้มสีแดงเล็กน้อยดูงดงามชวนรับประทาน ทำให้ผู้คนน้ำลายสอโดยที่ยังไม่ได้รับประทาน ส่วนเต้าฮวยทรงเครื่องก็แน่นไปด้วยเครื่องโรยหน้าอย่าง ผักดอง เนื้อสัตว์ซอย และผักดอกไม้จีน…กลิ่นหอมเตะจมูกยิ่งนัก

 

 

นางลอบสำรวจสีหน้าของโจวเสาจิ่น พลางกล่าวขึ้นว่า “หรือไม่ ยกให้ป้ารับใช้ที่เฝ้าเวรยามตอนกลางคืนดีหรือไม่เจ้าคะ ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ”

 

 

โจวเสาจิ่นไม่ได้กล่าวอะไร

 

 

ถ้าจี๋อิ๋งคิดว่าการทำเช่นนี้ถือเป็นการขอโทษนาง เช่นนั้นก็ให้นางขอโทษไปก็แล้วกัน

 

 

ซือเซียงถอนหายใจครั้งหนึ่ง นำของกินไปมอบให้ป้ารับใช้ที่เฝ้าเวรยามตอนกลางคืน และได้รับคำขอบคุณกลับมาชุดใหญ่

 

 

วันถัดมา จี๋อิ๋งให้สาวใช้นำขนมผักกาดและต้มเลือดเป็ดใส่วุ้นเส้นมาให้อีก

 

 

โจวเสาจิ่นให้ซือเซียงยกไปเททิ้งเช่นเดิม

 

 

ครั้งนี้ซือเซียงไม่ถามโจวเสาจิ่นอีก นำของกินที่ส่งมาให้ไปมอบเป็นรางวัลให้กับป้ารับใช้ที่ดูแลตัดแต่งต้นไม้และดอกไม้

 

 

วันที่สาม ของที่จี๋อิ๋งส่งมาให้เป็นเป็ดต้มดอกกุ้ยฮวากับถั่วเหลืองอบข้าวหมักแดง

 

 

วันที่สี่ ของที่ส่งมาให้เป็นเสี่ยวหลงเปากับต้มไก่เต้าหู้ฝอย

 

 

กระทั่งวันที่ห้า…เรื่องรู้ไปถึงโจวชูจิ่น

 

 

โจวชูจิ่นเรียกซือเซียงไปสอบถาม

 

 

ซือเซียงไม่กล้าปิดบัง เล่าเรื่องทั้งหมดออกมาให้ฟัง

 

 

ถึงแม้โจวชูจิ่นจะไม่ชอบที่จี๋อิ๋งมาหลอกลวงโจวเสาจิ่นเช่นนี้ แต่เห็นว่านางรู้จักสำนึกผิด อย่างไรเสียก็ยังไม่ขาดความตรงไปตรงมา เมื่อนึกถึงโจวเสาจิ่นที่ปกติมักจะขังตัวอยู่แต่ในบ้าน หากเรื่องนี้ทำให้ได้เรียนรู้ประสบการณ์ที่มากขึ้นได้ก็ดีเหมือนกัน จึงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ปล่อยให้นางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง

 

 

เป็นเช่นนี้อยู่เจ็ดถึงแปดวัน จากนั้นอยู่ๆ จี๋อิ๋งก็ส่งลูกสุนัขมาให้ตัวหนึ่ง

 

 

เป็นลูกสุนัขพันธุ์ปั๊กตัวหนึ่งที่เพิ่งเกิดมาได้ไม่กี่วัน มีขนาดเท่าฝ่ามือ ขนสีขาว ดวงตาสีดำวาววับ สวมปลอกคอสีแดงสดห้อยด้วยกระดิ่งเล็กๆ เส้นหนึ่ง นอนคุดคู้อยู่บนผ้าสักหลาดสีแดงเลือดหมูที่ปูอยู่ในตะกร้าไม้ไผ่ เอียงหัวมองโจวเสาจิ่นพลางเห่า บ๊อกๆ เบาๆ ไม่หยุด

 

 

ใจของโจวเสาจิ่นพลันรู้สึกชอบขึ้นมาในทันที

 

 

นางอุ้มลูกสุนัขขึ้นมา เห็นมีกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ตรงก้นตะกร้า เขียนเอาไว้ว่า หากเจ้าอุ้มสุนัข ก็แสดงว่าเจ้าให้อภัยข้าแล้ว

 

 

โจวเสาจิ่นทั้งโกรธทั้งร้อนรน ยื่นลูกสนัขให้ซือเซียง กล่าวขึ้นว่า “อุ้มมันออกไปให้ข้าหน่อย”

 

 

ซือเซียงจำต้องอุ้มลูกสุนัขแล้วเดินออกไป

 

 

โจวเสาจิ่นก้มหน้าลงปักผ้าโพกศีรษะต่อ

 

 

มีเสียงคราง หงิงๆ ของลูกสุนัขดังเข้ามาในเรือน เหมือนกับเด็กที่กำลังร้องไห้อยู่ก็ไม่ปาน

 

 

โจวเสาจิ่นประหนึ่งนั่งอยู่บนพรมเข็ม ปักผ้าต่อไปได้อีกไม่กี่ฝีเข็ม สุดท้ายก็ทนไม่ไหว เรียกซือเซียงเข้ามา เอ่ยถามขึ้นว่า “ลูกสุนัขตัวนั้นเป็นอะไรหรือ”

 

 

ซือเซียงเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “พวกข้าส่งกลับไปแล้ว แต่สักพักแม่นางจี๋อิ๋งก็ส่งกลับมาอีก ไปๆ กลับๆ ข้าดูแล้วอารมณ์ของลูกสุนัขตัวนั้นไม่ค่อยดีเท่าไรแล้วเจ้าค่ะ…”

 

 

“ช่างน่ารังเกียจและไร้ยางอายเสียจริง!” โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างขุ่นเคือง แต่กลับไม่อาจปล่อยให้ลูกสุนัขตัวนี้ต้องเจ็บป่วยลงเหตุเพราะปัญหาระหว่างตนกับจี๋อิ๋งได้ จึงให้ซือเซียงอุ้มลูกสุนัขเข้ามาข้างใน

 

 

ลูกสุนัขพยายามปีนออกมาจากตะกร้า มาถูๆ ไถๆ อยู่ข้างๆ เท้าของโจวเสาจิ่น

 

 

โจวเสาจิ่นอุ้มมันไปวางในตะกร้า มันก็ปีนออกมาอีก

 

 

ซือเซียงกล่าว “เกรงว่าลูกสุนัขตัวนี้จะหิวแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นไม่เคยเลี้ยงสุนัขมาก่อน ถามขึ้นว่า “แล้วมันกินอะไรเป็นอาหาร”

 

 

ซือเซียงครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าจำได้ว่าป้ารับใช้คนหนึ่งที่มาตัดแต่งต้นไม้และดอกไม้ให้พวกเราเมื่อหลายวันก่อนนั้นถูกดึงตัวมาจากบ้านสวน ข้าจะไปถามนางดูนะเจ้าคะ”

 

 

พอป้าผู้นั้นได้ยินว่าเป็นสุนัขที่คุณหนูรองตระกูลโจวเลี้ยงเอาไว้ จึงไม่กล้าบอกว่าสุนัขที่บ้านสวนกินอะไรกันบ้าง ยังคิดด้วยว่าสุนัขตัวนั้นคงจะมีค่ามาก ตนจะพูดแต่ในส่วนที่ดีก็พอ “…เป็นลูกสุนัขตัวหนึ่งอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ให้ดื่มพวกน้ำแกงเนื้อต้ม และกินพวกเมล็ดข้าวต่างๆ เจ้าค่ะ”

 

 

ซือเซียงกลับไปบอกให้ในห้องครัวทำต้มกระดูกหมูและข้าวอย่างละหน่อยมาให้ลูกสุนัขตัวนั้น

 

 

ลูกสุนัขกินอย่างเอร็ดอร่อย จนเลอะไปทั้งปาก

 

 

โจวเสาจิ่นถือโอกาสตัดผ้ากันเปื้อนง่ายๆ ให้มันหนึ่งผืน

 

 

ซือเซียงและคนอื่นๆ ต่างก็ช่วยกันเย็บผ้ากันเปื้อนให้มัน ยังออกความเห็นว่า “สุนัขเฝ้าประตูของบ้านอื่นล้วนมีชื่อเรียก พวกเราก็น่าจะตั้งชื่อให้มันสักชื่อนะเจ้าคะ”

 

 

โจวเสาจิ่นเห็นว่าสุนัขตัวนั้นตัวกลมๆ และมีสีขาว จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นสุนัขของพวกเราชื่อ ‘เสวี่ยฉิว’ ก็แล้วกัน พวกเจ้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

ทุกคนต่างเห็นด้วย จึงพากันเรียกมันว่า ‘เสวี่ยฉิวๆ’

 

 

เสวี่ยฉิวมองซ้ายที มองขวาที จากนั้นเอนตัวนอนหลับอยู่ในตะกร้า

 

 

ทุกคนต่างรู้สึกว่ามันช่างน่ารักยิ่งนัก พากันหัวเราะร่าขึ้นมา

 

 

โจวเสาจิ่นเองก็รู้สึกว่าภายในห้องคึกครื้นขึ้นมาอยู่หลายส่วน

 

 

กระทั่งนางกลับมาจากเรือนหานปี้ซาน ซือเซียงมาบอกนางด้วยน้ำตานองว่า “ไม่รู้ว่าเสวี่ยฉิวเป็นอะไร อยู่ๆ ก็ท้องเสียขึ้นมาเจ้าค่ะ พวกข้าไปเชิญท่านหมอมาแล้ว แต่ท่านหมอบอกว่าเขารักษาได้แต่คนเท่านั้นไม่อาจรักษาสุนัขได้ ให้พวกข้าเร่งส่งพ่อบ้านไปตามหาคนที่รักษาสุนัขได้ จนถึงตอนนี้พ่อบ้านก็ยังไม่กลับมาแจ้งข่าว เสวี่ยฉิวเอาแต่นอนนิ่งอยู่ในตะกร้าแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกราวกับตนถูกอะไรบางอย่างตะปบหัวใจเอาไว้ก็ไม่ปาน

 

 

นางรีบสาวเท้ากลับเรือนอย่างรวดเร็ว

 

 

เสวี่ยฉิวนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่ในตะกร้า โจวเสาจิ่นเรียกมัน มันเงยหน้าขึ้นมามองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง แล้วร้อง เอ๋งๆ สองครั้ง จากนั้นก็นอนลงไปอย่างหมดแรงอีกครั้ง

 

 

น้ำตาของโจวเสาจิ่นไหลออกมา กล่าวขึ้นว่า “พ่อบ้านว่าอย่างไรบ้าง”

 

 

ซือเซียงน้ำตาคลอพลางกล่าวว่า “บอกว่าในบ้านไม่เคยเลี้ยงสุนัขมาก่อน จึงไม่รู้ว่ามีใครรักษาสุนัขได้ ได้แต่ค่อยๆ สอบถามไปเจ้าค่ะ”

 

 

หากรอให้พวกเขาถามจนได้ความ ป่านนั้นเสวี่ยฉิวก็คงไร้ลมหายใจไปแล้ว!

 

 

โจวเสาจิ่นอุ้มเสวี่ยฉิวเข้ามาไว้ในอ้อมอกอย่างรักใคร่

 

 

นางไม่ค่อยสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้คนมากนัก ด้วยกลัวเวลาที่ต้องจากกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเลี้ยงสัตว์จำพวกลูกแมว ลูกสุนัข หรือลูกนกเลย

 

 

โจวเสาจิ่นนึกถึงผู้ที่สร้างปัญหานี้ขึ้นมา อดไม่ได้กัดฟันกรอดอย่างมีน้ำโห กล่าวกับซือเซียงว่า “เจ้าไปบอกจี๋อิ๋งว่าลูกสุนัขที่นางส่งมาให้ข้านั้นไม่สบาย ให้นางหาวิธีไปตามหมอมารักษามันให้เร็วไว”

 

 

หากว่าเสวี่ยฉิวมีอันเป็นไปจนถึงแก่ชีวิต ชาตินี้ทั้งชาตินางจะไม่ไยดีจี๋อิ๋งอีก

 

 

ซือเซียงได้ยินแล้วตาลุกวาว กล่าวขึ้นว่า “ไอ้โหยว เหตุใดพวกเราถึงคิดไม่ถึงกัน ในเมื่อแม่นางจี๋อิ๋งมีวิธีซื้อสุนัขตัวนี้กลับมาได้ ก็ย่อมต้องรู้วิธีเลี้ยงสุนัขอยู่แล้ว ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” ยังไม่ทันพูดจบ ก็ยกกระโปรงขึ้นพลางวิ่งออกไปข้างนอกแล้ว

 

 

โจวเสาจิ่นเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน

 

 

นางเดินวนไปมา ค่อยๆ ลูบขนปุกปุยของเสวี่ยฉิวพลางปลอบโยนมันไปด้วยว่า “ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวท่านหมอก็มาแล้ว ไม่นานเจ้าก็จะหายดีแล้ว!”

 

 

จี๋อิ๋งมาถึงอย่างรวดเร็ว ตอนที่นางมาถึงนั้นยังไม่เห็นแม้แต่เงาของซือเซียง

 

 

เห็นท่าทางของโจวเสาจิ่นแล้ว นางตกตะลึงไปชั่วขณะเป็นลำดับแรก จากนั้นถึงกล่าวขึ้นว่า “ตอนที่ซื้อกลับมานั้นก็ยังดีๆ อยู่มิใช่หรือ ทำไมจู่ๆ ถึงไม่สบายขึ้นมาได้”

 

 

“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร!” โจวเสาจิ่นขึงตาใส่จี๋อิ๋งหนึ่งครั้ง “ให้เจ้าไปตามหมอ เจ้าไปตามมาแล้วหรือยัง”

 

 

“ไปตามแล้ว!” จี๋อิ๋งกล่าว “ประเดี๋ยวก็มาถึงแล้ว”

 

 

โจวเสาจิ่นสงบใจลงได้เล็กน้อย

 

 

จี๋อิ๋งเองก็กระวนกระวายเล็กน้อย เดินเข้าไปลูบหลังของเสวี่ยฉิว

 

 

ชั่วขณะนั้นทั้งสองคนต่างไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกันดี คนหนึ่งอุ้มสุนัขเดินวนมาอยู่ในห้อง ส่วนอีกคนก็นั่งรออยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขนอย่างกระวนกระวาย

 

 

ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ซือเซียงก็วิ่งเข้ามา

 

 

“คุณหนูรองเจ้าคะ คุณหนูรอง” ใบหน้าของนางเผยความยินดีออกมา “คนที่จะมารักษาเสวี่ยฉิวมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นและจี๋อิ๋งออกไปต้อนรับโดยไม่ได้กล่าวอะไร

 

 

คนที่มาเป็นชายชราท่าทางค่อนข้างเงอะงะผู้หนึ่ง อายุประมาณหกสิบปี สวมเสื้อแขนสั้นคอป้ายกับกางเกงผ้าเนื้อหยาบสีเหลืองแก่ตัวหนึ่ง โดยสาวใช้ที่นำสิ่งของมาส่งให้โจวเสาจิ่นก่อนหน้านี้เป็นผู้พาเข้ามา ยืนอยู่ในลานพลางหันมายิ้มให้โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ อย่างกระตือรือร้น

 

 

คนผู้นี้จะได้การหรือ

 

 

โจวเสาจิ่นหันไปมองจี๋อิ๋ง

 

 

จี๋อิ๋งเองก็สงสัยเล็กน้อยเช่นกัน แต่นางก็กล่าวขึ้นว่า “เป็นผู้ที่คนขายสุนัขแนะนำมา เห็นบอกว่าชื่ออันต้า เวลาที่สุนัขในเมืองจินหลิงไม่สบาย ล้วนไปหาเขา”

 

 

โจวเสาจิ่นร้อง “อ้อ” ออกมา ยื่นสุนัขที่อยู่ในอกส่งให้ซือเซียง ให้นางอุ้มไปให้อันต้าดูอาการ

 

 

อันต้าสอบถามถึงอาการของเสวี่ยฉิว กระทั่งเขาฟังถึงตอนที่ซือเซียงบอกว่าเช้าวันนี้เสวี่ยฉิวยังดื่มน้ำต้มกระดูกหมูไปหนึ่งถ้วย เขาก็ร้องเสียงดังอย่างเกินจริงขึ้นมา พลางกล่าวว่า “นี่เป็นเพียงสุนัขพันธ์ปั๊กที่เพิ่งจะหย่านมเท่านั้น พวกเจ้าให้มันดื่มน้ำแกงเนื้อต้มได้อย่างไร มันก็เหมือนกับเด็กที่เพิ่งคลอดออกมาผู้หนึ่ง กินได้แต่อาหารรสอ่อนๆ เท่านั้น หากว่ามีพวกนมแพะมาให้มันกิน เช่นนั้นก็ยิ่งดี”

 

 

ทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

 

 

โจวเสาจิ่นยิ่งแล้วใหญ่ตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง

 

 

ที่แท้ก็เป็นนางที่ทำร้ายเสวี่ยฉิวจนเป็นเช่นนี้

 

 

นางรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก

 

 

จี๋อิ๋งเห็นแล้ว ก็ตบบ่าของโจวเสาจิ่นเบาๆ ถามอันต้าว่า “เช่นนั้นตอนนี้ควรทำเช่นไร”

 

 

“ข้าจะให้มันกินยาที่ได้รับตกทอดมาจากบรรพบุรุษของข้าก่อน ภายในสามวันนี้ให้มันกินได้เฉพาะข้าวต้มขาวเท่านั้น” อันต้ากล่าวขึ้นอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า “หลังจากสามวันแล้วข้าค่อยกลับมาดูอีกครั้ง หากว่าหายดีแล้ว ก็ไม่ต้องกินยาเพิ่มอีก แต่ถ้าหากยังไม่หาย ข้าค่อยเปลี่ยนยาตัวใหม่ให้มันลองกินดู”

 

 

ทุกคนต่างก็กังวลใจขึ้นมา

 

 

ซือเซียงเดินนำอันต้าไปป้อนยาให้เสวี่ยฉิว

 

 

โจวเสาจิ่นมองเสวี่ยฉิวที่ไร้เรี่ยวแรงนั้นแล้วก็สะอื้นไห้ออกมาอย่างอดไม่ได้ “ทั้งหมดเป็นเพราะข้าไม่ดีเอง…”

 

 

จี๋อิ๋งปลอบโยนโจวเสาจิ่นว่า “ที่เจ้าให้มันดื่มน้ำแกงเนื้อต้ม ก็เพราะหวังดีกับมัน ใครจะรู้ว่ามันดื่มน้ำแกงเนื้อต้มไม่ได้…นอกจากนี้หลังจากที่รอดพ้นจากความโชคร้ายแล้ว หลังจากนี้ก็จะมีแต่ความโชคดี ต่อจากนี้ไปเสวี่ยฉิวย่อมไร้โรคภัยไข้เจ็บและมีชีวิตยืนยาวร้อยปีอย่างแน่นอน!”

 

 

โจวเสาจิ่นกลับไม่ได้มองโลกในแง่ดีขนาดนั้นเช่นนาง

 

 

หลังจากที่ส่งอันต้าออกไปเรียบร้อยแล้ว นางก็อุ้มเสวี่ยฉิวเอาไว้และลูบขนให้เสวี่ยฉิวเงียบๆ

 

 

เสวี่ยฉิวรู้สึกสบายจนคราง หงิงๆ ออกมา

 

 

ในที่สุดโจวเสาจิ่นก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย

 

 

จี๋อิ๋งดูแล้วรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก นางกล่าวขึ้นอย่างขอลุแก่โทษว่า “เดิมทีข้าคิดว่าส่งลูกสุนัขมาให้สักตัวเพื่อทำให้เจ้าเบิกบานใจ คิดไม่ถึงว่าจะทำให้กลายเป็นเช่นนี้ไปได้ ต้องขออภัยจริงๆ ประเดี๋ยวข้ากลับไปจะให้คนหาดูสักหน่อย ดูว่าในเมืองจินหลิงนี้ยังมีผู้อื่นที่รักษาสุนัขได้อีกหรือไม่ จะหามาดูอาการของเสวี่ยฉิวให้หมด ข้าคิดว่าต้องมีสักคนที่มีความสามารถมากพอจนรักษาเสวี่ยฉิวให้หายดีได้อย่างแน่นอน”

 

 

“ให้อันต้าดูอาการให้เสวี่ยฉิวอีกสักสองวันก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน!” โจวเสาจิ่นกล่าว “เปลี่ยนหมอให้เสวี่ยฉิวบ่อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แต่เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมเอาไว้ก่อน ก็ยังจำเป็นต้องหาคนที่รักษาสุนัขได้เผื่อเอาไว้ก่อน”

 

 

“อืม!” จี๋อิ๋งพยักหน้า นึกถึงเรื่องที่ว่าพรุ่งนี้โจวเสาจิ่นยังต้องไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน จึงกล่าวขึ้นว่า “หรือไม่ พรุ่งนี้ข้าช่วยดูแลเสวี่ยฉิวให้เจ้าดีหรือไม่ ไม่ใช่ว่าเจ้ายังต้องไปคัดพระธรรมอยู่หรอกหรือ”

 

 

โจวเสาจิ่นลังเลเล็กน้อย

 

 

จี๋อิ๋งรีบกล่าว “เจ้าก็ให้ข้าได้พยายามอย่างเต็มที่บ้างเถอะ! ไม่เช่นนั้นข้าก็จะรู้สึกมีปมติดอยู่ในใจไม่หาย”

 

 

โจวเสาจิ่นดูใบหน้าที่แสดงความรู้สึกผิดของนางแล้ว พลันคิดไปถึงลูกที่ไร้วาสนาของตนในชาติก่อนผู้นั้น

 

 

เสวี่ยฉิวก็เป็นสิ่งมีชีวิตชีวิตหนึ่ง ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น จี๋อิ๋งก็คงจะรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากเช่นกัน

 

 

โจวเสาจิ่นจึงพยักหน้าน้อยๆ เป็นการตกลง

 

 

…………………………………………………………………….