คำพูดเร่งให้แต่งงานของเจี่ยซิ่วฟางในโทรศัพท์ทำให้เสี่ยวเชี่ยนจิตใจสับสน
เธอมองท่าทีของอวี๋หมิงหลางออก เขาลาพักร้อนครึ่งเดือนอีกทั้งยังดูจริงจังขนาดนั้น ครั้งนี้คงเอาจริงแน่
เสี่ยวเชี่ยนพอลงจากตึกแล้วก็ไม่ได้ไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต แต่นั่งตากลมอยู่ตรงแปลงดอกไม้ ตอนนี้เธอรู้สึกลนลานนิดหน่อย
เลี่ยวฟู่กุ้ยโทรมา โทรศัพท์ดังอยู่สองรอบเธอถึงจะได้สติจากอาการเหม่อลอย
“เชี่ยนเอ๋อ มีเคสนึงเธอรับได้ไหม?” น้ำเสียงของเลี่ยวฟู่กุ้ยแหบเล็กน้อย คงเป็นเพราะเครียดเรื่องต้าหลงเลยเป็นร้อนใน
“เคสอะไร?”
“เพื่อนที่อยู่ศูนย์ป้องกันความรุนแรงในครอบครัวแนะนำมา บอกว่ามีป้าคนหนึ่งถูกสามีซ้อมหนักเลยไปขอตรวจร่างกายไว้เป็นหลักฐาน พวกเขาสงสัยว่าป้าคนนี้จะเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำเสพติดการแต่งหน้า ที่สามีใช้ความรุนแรงกับเขาเป็นเพราะทุกปีป้าคนนี้จะหมดเงินไปกับเครื่องสำอางจำนวนมาก แค่ลิปสติกอย่างเดียวก็ใช้เงินไปสองหมื่นแล้ว”
“ตัวเองเป็นคนหาเมียเองยังไงก็ต้องใช้ชีวิตด้วยกัน อยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็หย่า ทำร้ายผู้หญิงคิดว่าเท่ห์นักหรือไง?”
“สามีรายได้ต่อปีไม่ถึงหมื่น เครื่องสำอางที่ป้าคนนี้ซื้อราคาเกินรายได้ของครอบครัว เลยต้องไปยืมเงินคนอื่น สามีเคยนั่งคุยเรื่องนี้แล้วหลายครั้งก็ไม่เป็นผล ด้วยความกดดันที่ต้องมานั่งใช้หนี้จำนวนมากเลยลงมือทำร้ายป้าคนนั้น ได้ยินว่าป้าแกเสียงานเสียการก็เพราะเรื่องสำอาง ตอนนี้ยังทำให้ครอบครัวต้องเดินมาถึงทางตันอีก”
“เคสที่ต่างฝ่ายต่างหาเรื่องใส่ตัวเองแบบนี้ฉันไม่รับ ฉันไม่ได้มีจิตใจเมตตาขนาดนั้น”
เงินกับใจต้องไปด้วยกัน เคสนี้ทั้งไม่มีเงินทั้งทำให้เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกขยาด แม้แต่ใจที่อยากช่วยเหลือก็ไม่มี
“โอเค งั้นเดี๋ยวพี่ไปหาคนอื่น จริงสิเชี่ยนเอ๋อ โรคย้ำคิดย้ำทำเสพติดการแต่งหน้ามันคืออะไรเหรอ?”
อาชีพของเลี่ยวฟู่กุ้ยคือวินิจฉัยว่าใครเป็นโรคประสาท แต่เรื่องโรคจิตเวชพวกนี้เขาไม่ได้เข้าใจเชิงลึกแบบเสี่ยวเชี่ยน
“เป็นชนิดหนึ่งของโรคย้ำคิดย้ำทำ กลไกในร่างกายจะคล้ายคนเสพย์ยาเสพติดเข้าไป”
“หนักขนาดนั้นเลยเหรอ? ควบคุมตัวเองไม่ให้แต่งหน้าไม่ได้เหรอ?”
“ควบคุมไม่ได้ คนที่เสพย์ยากับคนที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำเสพติดการแต่งหน้าตอนแรกๆทำเพราะตัวเองต้องการ แต่พอติดแล้วก็ควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป บางคนดึกดื่นแต่งหน้าจัดเต็มใส่ชุดนอนลงมาซื้อแตงโมก็มี”
ประโยคหลังอารมณ์ล้วนๆ
“แต่ผู้ขอเข้ารับคำปรึกษาคนนี้เรียนมาสูงนะ น่าแปลกทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้”
“ก็เพราะได้รับการศึกษามาสูงถึงได้เป็นโรคนี้ไงล่ะ พอเป็นโรคนี้แล้วต่อไปวงจรประสาทของสมองก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง มีแนวโน้มที่จะซึมเศร้าและวิตกกังวล สุดท้ายแล้วคนที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำเสพติดการแต่งหน้าล้วนอยากใช้พฤติกรรมนี้ปกปิดจิตใจที่กลัวการล้มเหลวของตัวเอง อันที่จริงโรคจิตเวชมันไม่เกี่ยวกับการศึกษาสูงหรือต่ำหรอกนะ”
เลี่ยวฟู่กุ้ยจดจำคำพูดของเสี่ยวเชี่ยนอย่างเงียบๆ ถึงจะทำงานกันคนละด้าน แต่เสี่ยวเชี่ยนมักจะให้แนวคิดใหม่ๆได้เสมอ ซึ่งมันมีประโยชน์ต่องานของเขามาก
“จริงสิเชี่ยนเอ๋อ เห็นคุณน้าบอกว่าเธอจะแต่งงานเหรอ?”
เสี่ยวเชี่ยนมองบน แม่เธอนี่ก็ปากไวจริงๆ นี่เพิ่งวางสายไปไม่เท่าไรก็เอาเรื่องไปป่าวประกาศแล้วเหรอ?
“ยังไม่ได้คิดหรอก ฉันไม่ค่อยอยากแต่งงาน”
“ทำไมล่ะ?”
ในสายตาของคนในครอบครัว เสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางยังไงก็เป็นคู่ที่มั่นคงแล้ว เจี่ยซิ่วฟางพอวางสายก็เริ่มวางแผนงานแต่งให้ลูกสาวอย่างดีอกดีใจ เลี่ยวฟู่กุ้ยเองก็พลอยยินดีไปด้วย หลังจากที่ได้เจอเสี่ยวเชี่ยนหลายครั้งเขาก็จัดการปิดตายความหวังเล็กๆที่เคยมี
ผู้หญิงนิสัยแบบนี้เขาเอาไม่อยู่จริงๆ เป็นพี่ชายแหละดีแล้ว มีน้องสาวที่แสนฉลาดเพิ่มเข้ามากับ…น้องชายที่ไม่อาจบรรยาย เลี่ยวฟู้กุ้ยก็รู้สึกว่าชีวิตมีความสุขดี
“ฉันรู้สึกว่าด้วยหน้าที่การงานในตอนนี้ยังไม่ควรแต่งงาน ยังต้องเตรียมสอบเข้าปริญญาเอก ยังมีงานต้องทำ…”
เลี่ยวฟู่กุ้ยฟังออกว่านี่เป็นแค่ข้ออ้างของเสี่ยวเชี่ยน
“เชี่ยนเอ๋อ เธอคงไม่ได้เป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงานหรอกนะ?”
เสี่ยวเชี่ยนเหงื่อออกเต็มมือ เธอหัวเราะแห้งๆ “จะเป็นไปได้ไง ฉันกลัวอะไรที่ไหน ฉันกับเขารู้จักกันนานแล้ว แล้วจะเป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงานได้ยังไง เฮอะๆๆๆ…”
เสียงหัวเราะเฮอะๆในตอนหลัง แม้แต่ใบไม้ที่อยู่ข้างๆยังขยับ
“เธอทำให้พี่รู้สึกเหมือนเธอเป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงาน เตรียมพร้อมจะหนีงานแต่งตลอดเวลา พี่จำได้ว่าเคยให้เคสแนวๆนี้กับเธอไป เธอรักษาหายด้วย ตอนนี้เธอเหมือนกับผู้ป่วยคนนั้นมาก โรคหวาดกลัวการแต่งงานจะทำให้วงจรประสาทของสมองเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างควบคุมไม่ได้ด้วยหรือเปล่า?”
ไอ้บ้าเลี่ยวฟู่กุ้ย ปกติซื่อบื้อแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ ทำไมทีงี้ล่ะทำตัวฉลาดมีไหวพริบขึ้นมาเชียว?
“ฉันไม่ได้เป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงาน ไม่ ได้ เป็น”
“มีคนดังเคยกล่าวไว้ว่า การไม่มีความคิดเรื่องแต่งงานที่ถูกต้องก็เท่ากับไร้จิตวิญญาณ เชี่ยนเอ๋อตอนนี้เธอต้องปรับทัศนะคติ”
“เลี่ยวฟู่กุ้ยนายคิดว่าฉันไม่เคยท่องเรื่องพวกนี้เหรอ? คำพูดเดิมคือไม่มีความคิดเรื่องการเมืองที่ถูกต้องเท่ากับไร้จิตวิญญาณ” เสี่ยวเชี่ยนพองขนแล้ว
“เอามาปรับใช้กับปัญหาเรื่องชีวิตคู่ก็ได้ ตอนนี้ความคิดเรื่องการแต่งงานของเธอมันผิดเพี้ยน พี่ว่าเธอควรจะไปคุยกับหมิงหลางให้ดี”
เสี่ยวเชี่ยนวางสาย มีใบไม้ตกใส่หัว เธอจึงยื่นมือจะไปหยิบออกแต่กลับคลำเจอมือของใครคนหนึ่ง
ไม่รู้ว่าอวี๋หมิงหลางมายืนอยู่ข้างหลังเธอนานเท่าไรแล้ว
เสี่ยวเชี่ยนตกใจ ไม่รู้ว่าเขาได้ยินไปมากน้อยแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรเป็นพิเศษ เวลาที่เขาอยากเก็บซ่อนเรื่องไว้ในใจ ใครก็ไม่มีทางเดาออก
“นายออกมาได้ไง?” เธอลองถามดูแบบคนร้อนตัว
“มาดูว่าคุณไปซื้อจิ๊กโฉ่ถึงไหน เกี๊ยวทำเสร็จหมดแล้ว”
“เอ่อ ฉันออกมานานขนาดนั้นเลยเหรอ ช่างเถอะไม่ซื้อแล้ว กลับบ้านไปกินกันเถอะ”
เสี่ยวเชี่ยนดันแขนเขาจะให้ออกเดิน แต่อวี๋หมิงหลางกลับไม่ขยับ
“เสียวเหม่ย การอยู่กับผมทำให้คุณหวั่นใจเหรอ?”
“กินเกี๊ยวไม่ใส่จิ๊กโฉ่ฉันหวั่นใจกว่า ไปเถอะๆ รีบไปกินข้าวฉันหิวจะตายอยู่แล้ว” เสี่ยวเชี่ยนจงใจเลี่ยงคำถาม กลัวเขาจะพูดต่อ
อวี๋หมิงหลางเม้มปาก ไม่พูดอะไรอีก
ระหว่างกินเสี่ยวเชี่ยนมีท่าทีระแวงตลอดเวลา กลัวว่าเขาจะพูดเรื่องแต่งงานกับเรื่องที่คุยในโทรศัพท์ โชคดีที่อวี๋หมิงหลางไม่ได้พูดอะไรอีก เธอคิดว่าเขาไม่น่าจะได้ยินเรื่องที่เธอคุยกับเลี่ยวฟู่กุ้ย
ตอนบ่ายอวี๋หมิงหลางบอกว่าจะออกไปซื้อถุงยางอนามัย ปรากฏว่าไปสองชั่วโมงแล้วก็ยังไม่กลับมา เสี่ยวเชี่ยนอยากจะโทรไปถามว่าเขาไปถึงไหนแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะเท่าไร
สัปดาห์หน้าที่มหาวิทยาลัยมีประชุมกลุ่มเรื่องวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวกับโรคหวาดกลัว เสี่ยวเชี่ยนกำลังเตรียมเอกสาร พอเห็นคำว่าหวาดกลัวเธอก็นึกถึงคำพูดของเลี่ยวฟู่กุ้ย
หรือเธอจะเป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงานจริงๆ?
เมื่อชาติก่อนเธอก็หนีไปก่อนแต่งงาน ชาตินี้ใช้ชีวิตกับอวี๋หมิงหลางออกจะมีความสุข ไม่เคยต้องมีเรื่องขัดแย้งอะไรกัน เขาดูแลเธอเป็นอย่างดี ผู้ใหญ่ของเธอและเขาต่างก็มั่นใจ ก็แค่ไปจดทะเบียนแล้วตกลงเธอกลัวอะไรกัน?
การทำให้คนอย่างเสี่ยวเชี่ยนยอมรับว่าเธอเป็นโรคหวาดกลัวเดิมก็เป็นเรื่องน่ากลัวอยู่แล้ว เพราะเธอรู้สึกว่านี่ไม่เหมือนตัวเธอ เธอไม่เคยกลัวอะไรเลย แล้วจะกลัวการสร้างครอบครัวกับผู้ชายที่ตัวเองรักได้ยังไง?
อีกทั้งเธอเรียนเป็นจิตแพทย์ แล้วจะเกิดปัญหาแบบนี้ได้ยังไง—
โรคจิตเวชไม่เกี่ยวกับการศึกษาสูงต่ำ คนที่มีปัญหาทางจิตจะควบคุมสมองกับพฤติกรรมของตัวเองไม่ได้ ประโยคที่เธอเพิ่งอธิบายให้เลี่ยวฟู่กุ้ยฟังเมื่อกี้นี้อยู่ๆก็ผุดออกมา
เสี่ยวเชี่ยนวางปากกาในมือ มองเอกสารกองพะเนินด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ซึ่งภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในสายตาของอวี๋หมิงหลางที่เพิ่งเข้าบ้านมา