หลี่หมิงอวินวางถ้วยน้ำชาลง ก่อนจะขมวดคิ้วขณะกล่าวออกไป “อวี้หลงไปไหนแล้วหรือ เหตุใดยังไม่กลับมาเสียที ป๋ายฮุ่ย เจ้าออกไปดูหน่อยสิ”
“เจ้าค่ะ!” ป๋ายฮุ่ยขานรับแล้วออกไป ตามด้วยผ้าม่านที่ถูกปล่อยลง นางสอดส่องสายตาไปยังลานบ้านที่ว่างเปล่าพร้อมกับรอยยิ้มขมขื่น เหลือเวลาไม่มากแล้ว หากพลาดโอกาสนี้ไปคงได้แต่เสียใจไปชั่วชีวิต นายน้อยไม่รักใคร่นางก็มิเป็นไร ขอเพียงได้อยู่ที่นี่ ต่อให้ได้พบเจอนายน้อยเพียงครั้งคราวก็ยินยอม
ป๋ายฮุ่ยกลับเข้าไปในเรือนหลังคำนวณช่วงเวลาที่ยาจะออกฤทธิ์
นายน้อยหายไปจากพื้นที่ส่วนห้องโถงเสียแล้ว ป๋ายฮุ่ยจึงหันมองดูทั้งสองด้านก่อนจะเห็นว่าม่านมุ้งที่เตียงนอนในห้องชั้นในถูกปล่อยลงมา อีกทั้งที่ปลายเตียงยังมีรองเท้าของนายน้อยวางอยู่…ทันใดนั้นหัวใจของนางเริ่มเต้นระรัวประหนึ่งกลองขนาดเล็กที่กำลังถูกระดมตี มือและเท้ารู้สึกได้ถึงความเย็นเฉียบ ทว่าใจกลางมือกลับเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อที่ผุดออกมา นางสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่และพร่ำบอกตนเองว่าโอกาสเช่นนี้มิได้มาโดยง่าย ขอเพียงนางก้าวข้ามผ่านไปได้ แค่ก้าวข้ามผ่านไปได้ก็จะได้อยู่ที่นี่ต่อไป…
ป๋ายฮุ่ยเดินไปปิดประตูห้องโดยไม่ได้ลงกลอนแต่อย่างใด หลังจากนั้นนางก็เดินไปข้างเตียงช้าๆ แล้วหยุดยืนอยู่ที่ปลายเตียง มองดูเรือนร่างบนเตียงนอนที่นูนเด่นขึ้นมา “เอ้อร์เส้าเหยีย อย่าได้โกรธเกลียดข้าน้อยเลยนะเจ้าคะ ข้าน้อยบีบบังคับตนเองเช่นกัน ข้าน้อยมิเคยคิดแยกจากเอ้อร์เส้าเหยียไปแห่งหนใดทั้งนั้น หากข้าน้อยต้องจากไป มิสู้ข้าน้อยไปตายเสียดีกว่า…เอ้อร์เส้าเหยีย ขอท่านโปรดนึกถึงดวงใจของข้าน้อยที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ลุ่มหลงท่าน โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วยเถอะเจ้าค่ะ…”
ป๋ายฮุ่ยกัดริมฝีปากล่างจนแน่น ขณะเดียวกันสองมือสั่นคลอนไม่มีท่าทีว่าจะหยุด หลังพยายามอยู่หลายครั้งเพื่อปลดกระดุมเสื้อออกแต่กลับไม่เป็นผล นางจึงออกแรงกระชากกระดุมจนหลุด มาถึงขั้นนี้แล้วคงมิอาจถอยหลังกลับได้
ชุดของนางไหลลื่นลงกองบนพื้น ตามด้วยม่านมุ้งที่ถูกเปิดอย่างเบามือ ทันใดนั้นเองป๋ายฮุ่ยกลับตกอยู่ในอาการตะลึงงัน นางเลิกผ้าห่มที่นูนเด่นเปิดออกจึงเห็นว่าด้านในนั้นหาได้มีนายน้อยอยู่ไม่ แต่กลับเป็นหมอนข้างใบใหญ่สองใบ…เอ้อร์เส้าเหยียหายไปไหนแล้ว ไม่ทันที่นางจะตั้งสติได้ ก็ได้ยินเพียงเสียงดัง “ปึง…” ของประตูถูกถีบเปิดออก
ป๋ายฮุ่ยดึงผ้าห่มมาปกคลุมเรือนร่างภายใต้อาการตื่นตกใจ แผนการที่วางไว้หาได้เป็นเช่นนี้ไม่ เอ้อร์เส้าเหยียหายไปได้อย่างไรกัน
ม่านมุ้งถูกใครคนหนึ่งเปิดออก ป๋ายฮุ่ยกอดผ้าห่มไว้แน่นและไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น นางรู้ดีว่าแผนการล้มเหลวเสียแล้ว สิ่งที่กำลังรอนางอยู่คืออันใด นางเองไม่อยากจินตนาการเลยด้วยซ้ำ ยามนี้มีเพียงหัวใจดวงน้อยที่กำลังร่วงหล่น ร่วงหล่นไปยังก้นเหวลึกอันไร้ที่สิ้นสุด
กุ้ยซ่าวมองดูเสื้อผ้าของป๋ายฮุ่ยที่กระจัดกระจายด้วยสีหน้าเดือดดาลและอดกัดฟันแน่นมิได้ “ป๋ายฮุ่ย เจ้าเลอะเลือนไปแล้วหรือ!” นางกล่าวด้วยความเจ็บปวดใจ
“ป้าจ้าว แม่สุน จับตาดูนางไว้ให้สวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วนำตัวนางไปห้องปีกตะวันออก” กุ้ยซ่าวสั่งการด้วยน้ำเสียงเย็นชาทั้งยังส่งสายตาเป็นสัญญาณให้ทั้งสองคนนั้น ก่อนที่พวกนางทั้งสองจะพยักหน้าเป็นการตอบรับ
ป๋ายฮุ่ยสวมใส่เสื้อผ้าทั้งที่มือไม้สั่นระริก ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว หวาดกลัวที่ต้องเห็นสายตาจงเกลียดจงชังของนายน้อย เกรงว่านายน้อยจะขับไล่นางออกไปหรือขายนางทิ้ง…ขณะที่นางเตรียมอ้าปากก็ถูกป้าจ้าวบีบคางไว้แล้วจับผ้าก้อนหนึ่งหยัดใส่ปาก
“เวลานี้ทำมาเป็นกลัวขายขี้หน้า มันสายไปแล้ว” ป้าจ้าวกล่าวอย่างไม่เกรงใจ
ภายในห้องฝั่งตะวันออก หลี่หมิงอวินมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างยิ่ง ดวงตาของเขาเคลือบด้วยความเย็นชาขณะมองดูป๋ายฮุ่ยที่คุกเข่าอยู่บนพื้น มันเป็นความรู้สึกเจ็บปวดใจและรังเกียจอย่างพูดไม่ออก
“สิ่งที่ข้ากังวลมากที่สุดก็คือสิ่งนี้ และเจ้าก็มิทำให้ข้าผิดหวังเลยจริงๆ…” คำพูดของหลี่หมิงอวินแทบจะเป็นการกัดฟันสะกดมันออกมา
ป๋ายฮุ่ยเผยสีหน้าเศร้าสลดพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลรินนองหน้า “ข้าน้อยเลอะเลือนไปชั่วขณะเจ้าค่ะ…” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“เจ้าแค่เลอะเลือนไปชั่วขณะเช่นนั้นหรือ เหตุใดวันนี้ฮูหยินถึงป่วยขึ้นมากะทันหันจนต้องอยู่ค้างคืนบนภูเขา เหตุใดวันนี้ภายในบ้านถึงไม่มีผู้ใดอยู่สักคน เหตุใดเจ้าต้องบอกเรื่องที่เอ้อร์เส้าหน่ายนายกินยานั่น เหตุใดในถ้วยน้ำชาถึงมีสิ่งที่มิควรมีปะปนอยู่ หรือเจ้ายังจะบอกข้าว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องบังเอิญเช่นนั้นหรือ แผนการที่ซับซ้อนเยี่ยงนี้ ลำพังความสามารถเจ้าคนเดียวจักทำได้หรือ เจ้าเห็นนายอย่างข้าเป็นคนโง่เขลาหรือไร” หลี่หมิงอวินโกรธเกรี้ยวจนเกินกว่าจะสรรหาคำใดๆ มาอธิบายได้
ป๋ายฮุ่ยเอาแต่นิ่งเงียบและปล่อยน้ำตาไหลรินลงมาไม่ขาดสาย
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายมิชอบควันของธูปหอม ดังนั้นภายในห้องจึงมิเคยจุดธูปหอมมาแต่ไหนแต่ไร ทว่าเจ้าจุดมันไว้ เพื่อกลบกลิ่นที่อยู่ในน้ำชาสินะ! ทว่าเจ้าดูถูกนายอย่างข้าเกินไปเสียแล้ว ข้าดื่มชาปี้หลัวชุนมาสิบกว่าปี อย่าว่าแต่มีใส่สิ่งใดผสมลงไปเลย ต่อให้เป็นใบชาก่อนฝนหรือใบชาหลังฝน หรือกระทั่งใบชาที่เก็บไว้นานแล้ว ข้าล้วนลิ้มรสและแยกแยะได้ทั้งนั้น ข้าให้โอกาสเจ้ามาโดยตลอด และหวังว่าเจ้าจะไม่พลั้งพลาดพาตนเองเดินไปถึงจุดนั้น ทว่าเจ้ายังคงกระทำในสิ่งที่ไม่พึงกระทำ เยี่ยมมาก เยี่ยมมากจริงๆ…เพื่อสนองความปรารถนาที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว เจ้าถึงขั้นวางกับดักข้าโดยไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดี เจ้าเป็นคนบีบบังคับให้ข้าลบเลือนความรู้สึกที่คำนึงถึงน้ำใจเจ้าในยามนั้นจนหมดสิ้น ป๋ายฮุ่ย เจ้าทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”
ป๋ายฮุ่ยรู้สึกหมดพลังไร้เรี่ยวแรง นายน้อยรับรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว เป็นนางที่ไม่ต่างไปจากคนโง่เขลาที่คิดไปว่าตนเองฉลาดปราดเปรื่อง
“บ้านหลังนี้มิอาจปล่อยเจ้าไว้ได้อีกแล้ว ข้าก็มิคิดทำร้ายครอบครัวสวีเช่นกัน แม่โจว…” หลี่หมิงอวินส่งสายตาเป็นสัญญาณให้แม่โจว
“ไม่นะเจ้าคะ เอ้อร์เส้าเหยีย ได้โปรด อย่าขับไล่ข้าน้อยไปเลยนะเจ้าคะ ข้าน้อยมิกล้าอีกแล้ว ข้าน้อยจะเชื่อฟังคำพูดของเอ้อร์เส้าเหยีย จะมิทำเรื่องใดที่ออกนอกลู่นอกทาง ข้าน้อยมิกล้าอีกแล้วเจ้าค่ะ…” ป๋ายฮุ่ยคลานเข่าเข้าไปเบื้องหน้าผู้เป็นนายแล้วฉุดรั้งชายชุดของนายน้อยพร้อมกับร้องไห้อ้อนวอน
แม่โจวและกุ้ยซ่าวก้าวขึ้นไปเบื้องหน้าเพื่อลากนางออกมา ทว่าป๋ายฮุ่ยกลับจับชายชุดของผู้เป็นนายไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย “เอ้อร์เส้าเหยียเจ้าคะ ให้อภัยข้าน้อยสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ! ต่อให้ข้าน้อยมีความผิด แต่ขอให้เอ้อร์เส้าเหยียเห็นแก่สัมพันธ์ที่ข้าน้อยคอยอยู่ปรนนิบัติเส้าเหยียมานานหลายปีเถอะนะเจ้าคะ ให้อภัยข้าน้อยสักครั้ง…”
“เจ้ายังมีหน้าเอ่ยถึงสัมพันธ์อันใดนั่นอีกหรือ เอ้อร์เส้าเหยียให้ความเมตตาและรักษาสัจจะต่อเจ้าอย่างถึงที่สุดแล้ว หากเปลี่ยนเป็นนายผู้อื่น ป่านนี้เจ้าคงถูกลากออกไปเฆี่ยนตีจนตายไปแล้ว” แม่โจวว่ากล่าว “มิใช่เจ้ามิรู้ว่าฮูหยินใหญ่ปฏิบัติต่อเส้าเหยียอย่างไร เจ้าร่วมมือกับฮูหยินใหญ่เพื่อมาเล่นงานเส้าเหยีย เช่นนั้นเจ้าจะไปต่างอันใดกับคนเหล่านั้นที่จ้องแต่จะทำร้ายเส้าเหยียอีกหรือ” ยิ่งครุ่นคิด แม่โจวก็ยิ่งรู้สึกเสียใจยิ่งนัก!
“ข้าน้อยมิได้คิดทำร้ายเส้าเหยีย ข้าน้อยเพียงแค่รักใคร่เส้าเหยียเกินไปเท่านั้น…” ป๋ายฮุ่ยกล่าวแก้ต่างพลางร้องห่มร้องไห้
“ทุเรศ! ป๋ายฮุ่ย เป็นคนทั้งทีมิควรไร้ยางอายถึงเพียงนี้ เจ้าคิดว่าฮูหยินกำลังช่วยเจ้าเช่นนั้นหรือ เจ้าก็มิรู้จักใช้สมองเสียหน่อย ฮูหยินจะช่วยเหลือเจ้าไปเพื่ออันใดหรือ หากเรื่องในวันนี้เป็นไปอย่างที่พวกเจ้าวางแผนไว้ เช่นนั้นก็คงมิใช่แค่เรื่องที่เอ้อร์เส้าเหยียต้องแต่งตั้งอี๋เหนียงขึ้นมาหนึ่งคน ยังมินับรวมว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายจะเจ็บปวดหัวใจเพียงใด ฮูหยินคงได้หยิบยกเรื่องเช่นนี้ไปพูดภายนอกจนชื่อเสียงของเอ้อร์เส้าเหยียเสื่อมเสีย” กุ้ยซ่าวไม่อาจทนฟังต่อไปได้เช่นกัน “ถูกคนไร้ยางอายอย่างเจ้ารักใคร่เข้า นั่นมิใช่ความโชคดี มันคือความโชคร้ายต่างหาก”
หลี่หมิงอวินชักสีหน้าเย็นชาประดุจน้ำแข็ง “ความสัมพันธ์นายบ่าวระหว่างเจ้ากับข้าเป็นอันสิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้ หลังจากนี้ต่างฝ่ายต่างไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกันอีก เจ้าเองก็ดูแลตนเองให้ดีแล้วกัน!”
ป๋ายฮุ่ยร้องตะโกนสุดเสียง ราวกับถูกมีดปักลงกลางหัวใจ “หากเส้าเหยียต้องการขับไล่ข้าน้อยออกไป เช่นนั้นข้าน้อยก็จะเอาหัวโขกพื้นให้ตายอยู่ที่นี่ไปเสีย”
หลี่หมิงอวินชายตาลงมองไปที่นางด้วยสายตาเย็นชา “หากเจ้าดื้อดึงคิดจะตายให้ได้ ข้าเองก็มิรั้งเจ้าเช่นกัน เรื่องราวในวันนี้ทุกคนล้วนได้เห็นกับตาทั้งนั้น หากทางการเอ่ยถามก็คงต้องพูดความจริงออกไปตามตรง ข้าหลี่หมิงอวินยึดถือในความสัตย์จริงตรงไปตรงมา หาได้เกรงกลัวผู้ใดหน้าไหนให้ร้ายหรือคุกคามข่มขู่ไม่”
ป๋ายฮุ่ยรู้สึกตื่นตกใจและหดหู่ในเวลาเดียวกันจนหน้าซีดเผือด นางรู้จักนิสัยใจคอของนายน้อยชัดแจ้งไม่แพ้ผู้ใด เมื่อใดที่ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมา เขาก็จะทำในสิ่งที่พูดได้อย่างเด็ดขาด นางพ่ายแพ้ราบคาบ แม้แต่จินตนาการสุดท้ายก็มิหลงเหลือ ยามนี้นางรู้สึกมืดมนจากความพ่ายแพ้และเจ็บปวดหัวใจจนไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร มันจบสิ้นแล้ว ทุกอย่างพังทลายหมดแล้ว
แม่โจวถือโอกาสระหว่างที่ป๋ายฮุ่ยกำลังตกตะลึงกระชากมือของนางออก หลี่หมิงอวินสะบัดชายแขนเสื้อแล้วเดินออกไปทันทีที่เรือนร่างเขาหลุดพ้นจากการฉุดรั้ง
“เอ้อร์เส้าเหยีย…” ป๋ายฮุ่ยตะโกนสุดเสียงพร้อมกับร้องไห้ออกมาปานใจจะขาด
“ป๋ายฮุ่ย กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง เรื่องมาถึงจุดนี้ เจ้ามาเสียใจภายหลังก็สายเกินไปแล้ว เอ้อร์เส้าเหยียทิ้งคำสั่งไว้ให้ส่งเจ้าออกจากจวนทันที หากเจ้าต้องการเดินไปตามของตนเอง เช่นนั้นเอ้อร์เส้าเหยียจักมอบเงินให้เจ้าสามร้อยตำลึงเงิน หากเจ้ารนหาที่ตาย เช่นนั้นก็เชิญเจ้าออกไปไกลๆ หน่อย ปากเจ้าพร่ำเอ่ยว่ารักใคร่เอ้อร์เส้าเหยีย ทว่าใต้นภานี้หาได้มีการรักใคร่ด้วยวิธีการนี้ไม่ เจ้าเกือบทำลายชื่อเสียงอันดีงามของเอ้อร์เส้าเหยีย อย่าได้เพิ่มปัญหาวุ่นวายให้เอ้อร์เส้าเหยียอีกเลย” แม่โจวกล่าวอย่างใจเย็น
ป๋ายฮุ่ยทรุดลงกับพื้นและร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ใช่ นางกำลังเสียใจภายหลัง เสียใจจนอยากตายจากไปเสียตอนนี้เลยด้วยซ้ำ ทว่ามันสายเกินไปแล้วจริงๆ นายน้อยมิอาจให้อภัยนางได้อีก
หลี่หมิงอวินเดินออกจากห้องปีกตะวันออกแล้วมุ่งหน้าสู่ห้องครัวทันที
ภายในห้องครัว เพราะเหวินซานที่เข้ามาเสริมทัพ บรรดาป้าๆ สองสามคนนั้นหรือจะเป็นคู่ต่อสู้ของเหวินซานได้ แม่เติ้งจึงรีบไปเรียกผู้เฝ้าระวังความปลอดภัยภายในบ้านมาเป็นลูกมืออีกแรง ในทางกลับกัน วันนี้คนของเรือนหลั้วเซี๋ยจายเหลือกันอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ยามที่หลี่หมิงอวินไปถึงห้องครัว เห็นคนกลุ่มนั้นกำลังรุมล้อมลงไม้ลงมือกับเหวินซาน ทางด้านเหวินซานก็ออกแรงสู้คืนอย่างสุดกำลัง ทว่าด้วยจำนวนคนของอีกฝ่ายที่มากกว่า จึงอดพลาดท่าไม่ได้ เลยถูกทุบตีเข้าไปที่ร่างกายอยู่หลายครั้งจนดวงตาถึงกับบวมเป่ง ส่วนทางด้านจิ่นซิ่วและคนอื่นๆ มีสภาพยับเยินหนักเสียยิ่งกว่า ไม่เพียงผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าของพวกนางก็ขาดรุ่ยด้วยเช่นกัน บนใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยขีดข่วน หลี่หมิงอวินที่เห็นเช่นนั้นจึงส่งเสียงตะคอกออกไปอย่างดุดันภายใต้อารมณ์ฉุนเฉียวประดุจเพลิงที่กำลังลุกโหม “ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้!”
บรรดาข้ารับใช้ที่เดิมทีตบตีกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่มีใครยอมใคร ทว่าทันทีที่เสียงตะคอกอย่างดุดันของคุณชายรองดังขึ้น ส่งผลให้ตื่นตกใจจนผีบ้าที่เขาสิงพวกเขาหลุดออกจากร่างไปพร้อมกับหยุดชะงักมือไม้ในทันทีทันใด ตามด้วยอาการของแต่ละคนที่ค่อยๆ สงบลง
แม่เติ้งซึ่งกำลังแอบอยู่ภายในห้อง ยามที่ได้ยินเสียงคุณชายรองก็รู้สึกตื่นตกใจเช่นกัน มิใช่ว่าวันนี้เอ้อร์เส้าเหยียมิออกมาแล้วหรือ เหตุใดถึงมายังห้องครัวได้
จิ่นซิ่วและคนอื่นๆ เมื่อเห็นนายน้อยของพวกตนก็ร้องห่มร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ “เอ้อร์เส้าเหยียเจ้าคะ…”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม “ไม่อนุญาตให้ร้องไห้”
จิ่นซิ่วและคนอื่นๆ รีบปาดน้ำตา พยายามอย่างสุดแรงเพื่อสะกดกลั้นมิให้ระบายความอัดอั้นตันใจออกไป
หลี่หมิงอวินกวาดสายตามองกลุ่มคนเบื้องหน้าด้วยแววตาอันน่าเกรงขาม จนพวกเขาพากันก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกขลาดกลัวทันที โดยเฉพาะตัวการอย่างหญิงวัยกลางคนสองสามคนที่พากันถอยไปอยู่ด้านหลังด้วยความหวาดกลัว ท้ายที่สุดหลี่หมิงอวินหยุดสายตาไว้ที่เรือนร่างของเหวินลี่ “ได้ยินว่าเรื่องราวเกิดขึ้นจากตัวเจ้า เจ้าทำเรื่องราวบอกเล่าด้วยความสัตย์จริงออกมาเสีย หากเป็นความผิดของเจ้า เราจักลงโทษในสถานหนักที่สุด หากมีผู้ใดสร้างเรื่องหลอกลวงขึ้นมา จงใจสร้างปัญหาขึ้นมาเองทั้งๆ ที่มิได้มีมูลเหตุแต่แรก ด้วยคิดสร้างปัญหาวุ่นวายให้แก่เรือนหลั้วเซี๋ยจาย เช่นนั้น…เราก็มิไว้หน้าเช่นกัน”
เหวินลี่รู้สึกเสมือนตนเองกำลังได้รับขวัญกำลังใจอย่างเต็มเปี่ยม นางจึงชี้นิ้วไปยังหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “เป็นนางเจ้าค่ะ ป้าฉี เดิมทีข้าน้อยอยู่ในเรือนหลั้วเซี๋ยจายดีๆ นางก็มายังเรือนหลั้วเซี๋ยจายโดยบอกว่าทางจวนเราซื้อรังนกมาใหม่ จึงให้ข้าน้อยไปนำมา ข้าน้อยก็เลยติดตามนางมา หลังจากนั้นป้าฉีเอ่ยว่านางมีเรื่องต้องไปจัดการ ส่วนสิ่งของอยู่ในช่องที่สามของตู้และเอ่ยว่าให้ข้าน้อยหยิบเองได้เลย ข้าน้อยมิได้สงสัยว่าจะมีเล่ห์กลอันใดก็เลยไปหยิบ ทว่าทันทีที่เปิดตู้ ป้าหวังก็เข้ามาแล้วเอ่ยว่าข้าน้อยขโมยสิ่งของ หลังจากนั้นก็ฉุดกระชากข้าออกไปตบตี ข้าน้อยพยายามอธิบายแก่นาง นางก็หาได้รับฟังไม่ แล้วยังเรียกคนโขยงหนึ่งมาตบตีข้าน้อยอีก ต่อมาภายหลังพี่อวิ๋นอิงและพี่จิ่นซิ่วรีบมาช่วยเหลือข้า พวกนางก็ฉุดกระชากเข้ามาตบตีด้วยอีกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ เจ้าค่ะ”
ป้าฉีกล่าวด้วยน้ำเสียงเชิงข่มขู่ “ข้าให้เจ้าหยิบรังนกที่วางไว้ในช่องที่สอง แต่เจ้ากลับกล้าดี พอเห็นเงินของป้าหวังที่วางไว้ในตู้ก็คิดจะหยิบติดมือไปด้วย”
เหวินลี่กล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้าเป็นคนพูดเองแท้ๆ ว่าช่องที่สาม”