บทที่ 723 ใครใช้ให้พวกนายไม่มองฉัน โดย Ink Stone_Fantasy
“หื้ม?”
ด้านหลังหน้าต่างของชั้น 3 เงาร่างของใครคนหนึ่งกำลังจ้องลงไปที่ลานจัตตุรัสด้านล่าง
พอชายหนุ่มที่สวมหมวกแก็ปคนนั้นเงยหน้าขึ้นมามองกะทันหัน เงาร่างนี้ก็ชะงักไป
“ไม่ใช่มั้ง แป๊บเดียวก็หาฉันเจอแล้ว? ช่างเป็นพลังสัมผัสรู้ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ…”
แอบมองแล้วยังถูกเขาจับได้อีก เงาร่างรู้สึกอับอายเล็กน้อย จึงรีบหมุนตัวและเดินจากไป
“มีอะไรหรอ?” มู่เฉินเห็นหลิงม่อเงยหน้า จึงถาม พลางมองตามสายตาของเขาขึ้นไป
ทว่าตอนที่เขามองไปที่หน้าต่างบานนั้น ที่นั้นกลับว่างเปล่าไร้เงาคนแล้ว
“ไม่มีอะไร” หลิงม่อละสายตา แล้วพูดเบาๆ ว่า “ผู้มีความสามารถพิเศษที่นี่มีเยอะมากจริงๆ พวกเราต้องระวังตัวให้มาก”
“นี่นายรู้ด้วยหรอว่าต้องระวังตัวน่ะ…” มู่เฉินพูดพลางกลอกตาขาว
เรื่องอย่างนี้หมอนี่กลับเพิ่งมาพูดเตือนเอาป่านนี้ นี่มันความรู้ทั่วไปที่ใครก็รู้อยู่แล้วเถอะ!
ยิ่งเข้าใกล้ประตูใหญ่ มู่เฉินก็ยิ่งตื่นตระหนก
ด้านหลังบานกระจกที่อยู่ข้างหน้านั่น มีเจ้าหน้าที่ยามยืนอยู่อีกตั้งสี่คน แต่ละคนมีทั้งปืนและระเบิดติดตัว
ถูกปากปืนดำๆ จ่ออย่างนี้ จะไม่ให้กดดันก็คงยาก
เขาแอบชำเลืองมองหลิงม่อ แล้วก็พบว่าหลิงม่อยังคงทำสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม แม้แต่สีหน้าก็ยังไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อกี้เลย
“ไหนบอกว่าต้องระวังไง! อย่างน้อยก็ช่วยกังวลให้ฉันเห็นหน่อยเซ่!”
มู่เฉินลอบด่าเขาว่า “หน้าตาย” ในใจ ขณะเดียวกันก็สูดหายใจลึกๆ
ใจเย็นไว้ ต้องใจเย็นไว้…
นับจากที่ก้าวเข้ามาในตาข่ายเหล็ก พวกเขาก็ไม่มีทางหันหลังกลับได้อีกต่อไป…
เขาก้าวขึ้นเรือโจรแล้ว แถมยังเป็นเรือโจรที่มีแต่รูโหล่เต็มไปหมดด้วย
นอกจากต้องจ้ำพายไปข้างหน้าอย่างสุดชีวิต เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
เจ้าหน้าที่ยามที่นำทางอยู่ข้างหน้าได้ยินเสียงหายใจของมู่เฉิน ก็เหลือบมองเขาด้วยหางตา ขณะที่มุมปากกลับกระตุกยิ้มอย่างย่ามใจ
“สถานที่เล็กๆ อย่างสาขาย่อยเมืองตงหมิง ห่างชั้นกับสำนักงานใหญ่มาก แค่ระบบป้องกันอันแน่นหนาเท่านี้ ก็ทำให้พวกนั้นตกใจจนหน้าซีดแล้วสินะ…”
ทว่าคิดก็ส่วนคิด แต่เขากลับไม่ได้พูดออกมา
สำหรับคนที่เพิ่งตกใจของเล่นชิ้นเล็กๆ จนชักปืนออกมา ตอนนี้เขาไม่มีหน้าไปยืดอกโชว์ความภูมิใจกับใครจริงๆ…
“เจ้าหนุ่มที่ใส่หมวกนั่นดูร้ายกาจไม่เบา ตอนที่ถูกปืนจ่อไม่เห็นว่าสีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไปเลย แต่ดูจากศักยภาพด้านร่างกายของเขาไม่น่าไหวนะ สายพลังจิต? ถ้าอย่างนั้นก็ไม่น่าแปลกแล้วล่ะ ก็ผู้มีพลังจิตมักจิตแข็งกันนี่…
เจ้าหน้าที่ยามคิดในใจ แต่ฝีเท้ากลับไม่ได้ช้าลง ไม่นานเขาก็พาหลิงม่อกับมู่เฉินเดินไปถึงหน้าประตูใหญ่
หลังจากส่งมอบอาวุธให้เจ้าหน้าที่ยามหนึ่งในนั้นเสร็จ เจาก็แนะนำความเป็นมาของพวกเขาให้เจ้าหน้าที่ยามฟังคร่าวๆ จากนั้นก็กลับไปยืนประจำตำแหน่งของตัวเอง
ขณะที่เดินผ่านหลิงม่อ เจ้าหน้าที่ยามคนนี้กลับดึงหน้าเคร่งเครียดไม่เหล่มอง กระทั่งเร่งฝีเท้าเดินออกไปเร็วๆ ด้วยซ้ำ…
“ต้องขนาดนั้นไหม…” หลิงม่อลอบหัวเราะในใจ
“ตามฉันมา ฉันจะพาพวกนายไปลงทะเบียน” เจ้าหน้าที่ยามที่รับช่วงต่อเป็นชายวัยกลางคน ร่างกายของเขากำยำบึกบึน เสียงพูดแหบทุ้มน่าเกรงขาม
“เขาเป็นผู้มีความสามารถพิเสษด้านศักยภาพร่างกาย” มู่เฉินพูดเสียงเบา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
แค่เฝ้าประตู ถึงขนาดต้องใช้ผู้มีความสามารถพิเศษด้วยหรอเนี่ย…
สำนักงานใหญ่ฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว…
ทว่าหลิงม่อกลับสังเกตเห็น เมื่อกี้ตอนที่เจ้าหน้าที่ยามคนแรกคุยกับชายวัยกลางคนอย่างสุภาพและค่อนข้างให้เกียร์ติ เดาว่าเขาน่าจะเป็นหัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยอะไรทำนองนั้น
นิพพานสำนักงานใหญ่จุผู้มีความสามารถพิเศษรวมถึงเก็บซ่อนความลับไว้มากมายขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะลงทุนลงแรงกับเรื่องความปลอดภัยมากขนาดนี้
จัดสรรให้ผู้มีความสามารถพิเศษคนหนึ่งมานำทีมรักษาความปลอดภัย ไม่ถือเป็นการสิ้นเปลือง…
ชายวัยกลางคนคนนี้เดินนำหลิงม่อกับมู่เฉินเข้าไปในห้องโถงรับรอบ จากนั้นก็เดินตรงไปข้างหน้า
หลิงม่ออาศัยการปิดบังจากหมวดแก็ป ลอบสังเกตสถานการณ์รอบข้างอย่างละเอียด
เป็นไปตามที่คาดไว้ ในห้องโถงรับรองยังมีเจ้าหน้าที่ยามอีกหลายคน สองในสี่ยืนเฝ้าโถงทางเดินเส้นหนึ่ง ส่วนอีกสองคนที่เหลือดูเหมือนจะเป็นเจ้าหน้าที่เดินตรวจตรา
“ไม่รู้ว่าทางเดินเส้นนั้นทะลุไปที่ไหน…แต่การรักษาความปลอดภัยแน่นหนาขนาดนี้ จะต้องรับมือได้ยากมากแน่ๆ”
หลิงม่อคิดในใจ
มู่เฉินกลับตื่นตระหนกไปหมด สาขาย่อยเมืองตงหมิงถือว่าตั้งอยู่ในที่ที่ค่อนข้างลับตาคนเท่านั้น แต่เรื่องการรักษาความปลอดภัยกลับเทียบนิพพานสำนักงานใหญ่ไม่ติดเลยแม้แต่น้อย
หากจะขโมยข้อมูลไปจากที่นี่ ก็ไม่ต่างอะไรจากยื่นมือไปดึงเขี้ยวราชสีห์เลย
แต่ตอนนี้พวกเขากลับเดินเข้ามาในปากราชสีห์เสียแล้ว ได้แต่ภาวนาว่าหลิงม่อจะมีแผนการที่รัดกุมมากพอ…
“นี่…” มู่เฉินชะลอฝีเท้าเล็กน้อย เพื่อเดินข้างหลิงม่อ เขาพูดเสียงเบาๆ ว่า “นายเห็นว่าไงบ้าง?”
“อะไรเห็นว่าไง?” หลิงม่อถามกลับ
มู่เฉินลนลาน “แล้วนายคิดว่าอะไรเล่า!”
เขาไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ แม้ชายวัยกลางคนจะเอาแต่จ้ำอ้าวไปข้างหน้า แต่ใครจะรู้ว่าเขามีความสามารถพิเศษอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า
“เรื่องนั้น…รับมือไปตามสถานการณ์แล้วกัน” หลิงม่อตอบกำกวม
“ชะ…ชิบบ!” มู่เฉินสติหลุด ที่แท้เจ้านี่ไม่มีแผนการอะไรทั้งนั้น!
แต่คิดดูอีกทีมันก็ถูกของเขา อย่างไรก็ต้องเข้ามาสังเกตสภาพแวดล้อมก่อน ถึงจะสามารถวางแผนได้…
“เอาน่ะ นายใจเย็นหน่อย” หลิงม่อถอนหายใจ พลางพูดขึ้น
มู่เฉินก็รู้ตัวว่าตัวเองลนลานไปแล้วจริงๆ ในเมื่อไม่มีทางให้ถอยแล้ว เขาก็ทำได้เพียงแสดงละครให้เนียนต่อไป เพื่อไม่ให้ถูกจับได้
จุดรับช่วงต่อที่ว่า ความจริงก็คือห้องทำงานขนาดใหญ่ห้องหนึ่งที่หันหน้าไปทางประตูใหญ่
เดาว่าเมื่อก่อนที่นี่คงจะเคยเป็นที่จ่ายค่าเทอมอะไรทำนองนั้น เพราะดูแวบแรกก็ไม่ต่างอะไรจากเคาน์เตอร์ในธนาคารเลย เพียงแต่ไม่มียานกระจกกั้นไว้เท่านั้น
เจ้าหน้าที่สองสามคนตรงจุดรับช่วงต่อกำลังยุ่งหัวหมุน แล้วยังมีสมาชิก 5 – 6 คนของนิพพานสำนักงานใหญ่ที่กำลังรวมกลุ่มกันอยู่ใกล้เคาน์เตอร์
นับตั้งแต่ที่หลิงม่อกับมู่เฉินเข้ามา คนพวกนั้นก็หันมามองพวกเขาเป็ฯตาเดียว
ทว่าสองคนในกลุ่มนั้นเพียงหันมามองแวบเดียวก็หันกลับไปแล้ว แต่อีกสามคนกลับเอาแต่มองพวกเขาหัวจรดเท้าอย่างไม่เกรงกลัวอะไร
ไม่ว่าใครหากถูกจ้องอย่างนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจทั้งนั้น โดยเฉพาะสายตาของหนึ่งในนั้น ทั้งเย็นชาโหดเหี้ยม จ้องจนทำเอาขนลุกไปทั้งตัว เหมือนโดนงูพิษจ้องอย่างไรอย่างนั้น
แต่เทียบกับซอมบี้ สายตาคู่นี้ยังอ่อนไปนิดหนึ่ง
อย่าว่าแต่หลิงม่อไม่มีปฏิกิริยาเลย แม้แต่มู่เฉินก็ยังไม่รู้สึกอะไรมาก
สายตาน่ากลัวของคุณผู้ชายท่านนี้ จะไปสู้ซย่าน่าได้ยังไงกัน…
พอรู้สึกตัวว่าถูกพวกเขาจ้อง หลิงม่อกับมู่เฉินก็หันไปมองพวกเขาแวบหนึ่ง
แต่พอเห็นว่าคนกลุ่มนี้ไม่คิดจะเข้ามาคุยด้วย พวกเขาจึงเงียบ และเดินตามชายวัยกลางคนต่อไป
คุณลุงสายตาน่ากลัวคนนั้นกลับไม่แสดงสีหน้าอะไร แต่อีกสองคนที่เหลือกลับขมวดคิ้ว แล้วหันหน้ามองตามไป หญิงสาวหนึ่งในนั้นที่แต่งตัววับๆ แวบๆ พลันสะบัดเสียงอย่างไม่สบอารมณ์
เธอลดส้นรองเท้าหนาๆ ที่เขย่งขึ้นชะเง้อมองลงกับพื้น และเก็บต้นขาที่จงใจโชว์ให้เห็นกลับมา
“ทำเป็นมองไม่เห็นฉัน” หญิงสาวพึมพำ
ชายอีกคนชายตามองเธอผ่านๆ แล้วหัวเราะบอกว่า “ไม่ใช่ว่าทุกคนจะหิวจนกินไม่เลือกนี่นา”
“นายอยากตายนักใช่ไหม!” หญิงสาวตะคอกเสียงแข็ง
“ก็ได้ๆ ถือว่าฉันไม่ได้พูดแล้วกัน ใครใช้ให้เธอทำตัวน่าเกลียดกันล่ะ…” ชายคนนั้นส่ายหน้า แล้วพูดเบาๆ ว่า “แต่สองคนนั้นเป็นใครกันนะ…”
“หลี่เสียง ลงทะเบียนให้พวกเขาหน่อย พวกเขามาจากสาขาย่อยเมืองตงหมิง”
ชายวัยกลางคนเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ แล้ววางอาวุธลงบนนั้น
“เคร้งคร้าง!”
เสียงเหล็กกระทบกันดังขึ้น ดึงดูดสายตาของผู้คนรอบข้างเข้ามาทันที สองคนนั้นก็ละสายตาจากตัวหลิงม่อและมู่เฉินไปมองบนเคาน์เตอร์
“ที่แท้ก็สาขาย่อยเมืองตงหมิง…”
“อ๋อ ที่นั่นเองหรอ…คราวที่แล้วมีคนบอกว่าที่นั่นจะถูกสั่งปิดแล้วไม่ใช่หรอ?”
ทว่าพอเห็นของที่อยู่บนนั้น หญิงสาวคนเดิมก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
ได้ยินเสียงหัวเราะ หลิงม่อกับมู่เฉินก็รีบหันไปมอง
คนที่หัวเราะคือผู้หญิงอายุราว 27 – 28 ปี เส้นผมครึ่งหนึ่งของเธอถูกถักเปียเป็นเส้นเล็กๆ หลายเส้น อีกครึ่งที่เหลือปล่อยลงมาบดบังดวงตาข้างหนึ่งและดวงหน้าเล็กๆ ครึ่งหนึ่ง เธอทาลิปสติกสีเข้มจนเกือบดำ เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นเสื้อผ้ารัดรูปที่เปิดเผยให้เห็นสัดส่วนร่างกายไม่น้อย เมื่อกี้คนที่สะบัดเสียง ก็คือเธอ
ทว่าถึงแม้เมื่อกี้หลิงม่อจะมองเห็นเธอแล้ว แต่กลับไม่ได้สังเกตอะไรมาก ส่วนมู่เฉินก็ไม่มีเวลาสังเกตอะไรมากนัก เพราะกำลังเครียดบวกกับกังวลอยุ่
อย่าว่าแต่ผู้หญิงคนนี้ใส่เสื้อผ้าวับๆ แวมๆ เลย ถึงแม้จะไม่ใส่เสื้อผ้าซักชิ้น…เอ่อ ถ้าไม่ใส่เลยก็อาจจะมองซักนานสองนานล่ะนะ…มู่เฉินคิดในใจ
“น่าขำไปไหม สาขาย่อยใช้ของแบบนี้กันหรอ? เหล็กเส้นเนี่ยนะ…อาวุธดีๆ ซักชิ้นก็ยังไม่มี คือไม่กล้าออกไปหาหรือหาไม่ได้กันล่ะนั่น?”
หญิงสาวคนนั้นหัวเราะเสียดสีอย่างไม่ไว้หน้า คนอื่นๆ ถึงแม้ไม่มีใครสมทบ แต่ล้วนทำท่าทางเหมือนกำลังดูเรื่องสนุก
สีหน้าของมู่เฉินตึงขึ้นมาเล็กน้อย ถึงแม้จะรู้นานแล้วว่าคนในสำนักงานใหญ่มักดูถูกคนของสาขาย่อย แต่ไม่จำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้หรือเปล่า…
หญิงสาวเห็นหลิงม่อยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ซ้ำดวงตาใต้ปีกหมวกนั่นก็ยังกวาดมองเธอขึ้นลงผ่านๆ เธอก็รู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาทันที
“ใช่ไหมล่ะ?” เธอถามคนข้างๆ
คนพวกนั้นไม่มีใครตอบ แต่กลับเผยรอยยิ้มหยันเบาๆ
—————————————————————————–