ภาคที่ 2 บทที่ 140 หดหู่

มู่หนานจือ

“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร!” หลี่เชียนเห็นเจียงเซี่ยนโกรธ ต่อให้โง่แค่ไหนก็พูดความคิดที่แท้จริงในใจตนเองออกไปไม่ได้เช่นกัน จึงรีบเอ่ยว่า “ข้าเพียงแต่คิดไม่ถึงว่าท่านจะรู้เรื่องพวกนี้!”

เจียงเซี่ยนลองคิดดูก็รู้สึกว่าคำพูดนี้มีเหตุผล

ชาติก่อนนางในเวลานี้ก็ยังไม่รู้เรื่องพวกนี้จริงๆ

สีหน้าของนางคลายความโกรธลงเล็กน้อย

หลี่เชียนเห็นแล้วก็ยิ้มออกมา

เจียงเซี่ยนเอ่ยถึงหูอี่เหลียงผู้ว่าราชการมณฑลซานซีกับเขา “เขาเป็นคนขี้เหนียวมาก ขี้เหนียวถึงระดับไหนน่ะหรือ? เขานั้นนอกจากเครื่องแบบขุนนางแล้ว เสื้อผ้าชุดอื่นต่างก็ปะแล้วปะอีก ปะซ่อมทุกตัว ปกติกินข้าวแต่ในจวนไม่ว่าจะมื้อเช้า เที่ยง หรือเย็น ก็ข้าวต้มหนึ่งถ้วยกับผักดองจานเล็กหนึ่งจานเหมือนกันหมด หากมีคนเลี้ยงอาหาร เขาจะต้องสั่งอาหารสองสามอย่างกับหมั่นโถวสองสามลูกกลับไปด้วย เขาเป็นขุนนางมาหลายปี แต่ใช้ชีวิตคนเดียวมาตลอด ภรรยากับลูกต่างอยู่ที่เหมียนหยางบ้านเกิด และอาศัยที่นาที่ดินไม่ดีไม่กี่หมู่ที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ดำรงชีวิต ปีหนึ่งเขาถึงจะนำเงินสิบตำลึงกลับไป แค่นี้…ก็ยังต้องให้ภรรยาของเขาจดบัญชี ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นต้องประหยัดทั้งหมด…ข้าให้คนยึด…” ตอนที่ยึดทรัพย์สินในบ้านเขานั้น ในบ้านเขายากจนมากและไม่มีของอะไรเลย ทว่ากลับฝังทองคำไว้หลายชั้นใต้พื้นในห้องนอน ตอนที่ขุดออกมากองได้ครึ่งห้อง เงินทองที่เขาได้มาด้วยการทุจริตไม่ได้ใช้แม้แต่สลึงเดียว ทว่าเปลี่ยนเป็นทองคำและฝังไว้ในห้องนอนของเขา ตอนนั้นที่นางได้รับบันทึกรายการก็แปลกใจมาก และไม่มีทางเข้าใจได้เลยว่าหูอี่เหลียงผู้นี้คิดอย่างไร

พอนางพูดออกไปก็คิดได้ว่าเรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องในชาติก่อน จึงรีบพูดจากำกวมครู่หนึ่งแล้วก็อ้อมไปพูดต่อว่า “ตอนที่เจ้าติดต่อกับเขา ไม่ต้องให้พวกหยกโบราณหรือหญิงงามเมือง ให้แค่ทองคำก็พอ แค่เพียงทองคำก็สำเร็จแล้ว”

เจียงเซี่ยนบอกสิ่งที่นางรู้กับหลี่เชียนหมดแล้ว ก็หวังว่าเขาจะได้เดินทางอ้อมน้อยลงหน่อย

หลี่เชียนฟังอย่างตั้งใจ แล้วความเจ็บปวดเหมือนถูกมีดคว้านก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในใจอีกครั้ง

เวลาที่เขากับนางพบกันและคุยกันอย่างมีความสุขเช่นนี้ พบกันครั้งหนึ่งก็น้อยลงครั้งหนึ่ง

ต่อไปโอกาสได้พบนางก็คงยากขึ้นเรื่อยๆ

เจียงเซี่ยนเห็นเขาสีหน้าแย่ลงเรื่อยๆ จึงค่อยๆ หยุดพูด

หลี่เชียนบอกว่าเขาเป็นหวัดไม่ใช่หรือ?

เช่นนั้นนางพูดให้น้อยหน่อยดีกว่า!

ชาติก่อนหลี่เชียนกับนางไม่รู้จักใช้ชีวิตให้ดีตามแบบอย่าง นางจะดูถูกความสามารถของหลี่เชียนเพราะตอนนี้เขายังหนุ่มไม่ได้ หากพูดเป็นต่อยหอยอยู่ข้างหูเขาบ่อยๆ เหมือนหญิงชราที่ไม่วางใจและกลัวเขาจะหกล้ม เขาอาจจะไม่อยากฟัง

เจียงเซี่ยนถอนหายใจอย่างกลุ้มใจ

หลี่เชียนเห็นนางวิพากษ์วิจารณ์คนในวงราชการของซานซีเกือบทุกคนรวดเดียว ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ

นางสามารถสืบเรื่องพวกนี้ได้ ก็คงจะใช้เวลาและสายสัมพันธ์ไปไม่น้อยกระมัง!

ไม่อย่างนั้นผู้หญิงที่เลี้ยงดูในวังหลังอย่างนาง จะรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร

บุญคุณที่นางมีต่อเขา เกรงว่าชาตินี้เขาคงจะไม่มีตอบแทนได้แล้วเช่นกัน

ทันใดนั้นหลี่เชียนก็อยากทำอะไรให้นางเล็กน้อย

เขาคิดแล้วก็ลุกขึ้นรินชาและวางไว้ใกล้มือของเจียงเซี่ยน แล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านดื่มชาสักหน่อยเถอะ! เรื่องพวกนั้นที่ท่านเอ่ย ข้าจำได้หมดแล้ว คนที่จะให้ข้าไปหา ข้าก็จะไปหาเช่นกัน ท่านไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงข้า…” เขาเอ่ยถึงตรงนี้ ก็ลังเลอยู่ชั่วครู่ และเอ่ยว่า “ต่อไปข้ามีเรื่องอะไร เขียนจดหมายมาหาท่านได้หรือไม่?”

เจียงเซี่ยนลังเลเล็กน้อย

หากนางแต่งงานกับจ้าวเซี่ยวจริง และติดต่อกับหลี่เชียนทางจดหมายอีกก็เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะสม

ไม่แน่ถึงเวลานั้นหลี่เชียนกับจ้าวเซี่ยวอาจจะกลายเป็นศัตรูทางการเมือง

หากแต่งงานกับคนอื่นก็ยังพูดง่าย

“ดูสถานการณ์แล้วกัน!” นางตอบเลี่ยง “ไม่รู้ว่าถึงเวลานั้นในเมืองหลวงจะเป็นอย่างไร?”

หลี่เชียนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหมือนถูกคนชกหมัดหนึ่ง สีหน้าหม่นหมองลงในชั่วพริบตา

เจียงเซี่ยนเห็นเขาฝืนอยู่แบบนี้ก็ไม่ถือสาจริงๆ จึงเอ่ยว่า “หากเจ้ารู้สึกไม่สบาย ก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ! พรุ่งนี้เช้ามืดข้าก็กลับแล้ว เจ้าออกจากเมืองหลวงเมื่อไร? ถึงเวลานั้นข้าต้องไปส่งเจ้าไม่ได้แน่ เช่นนั้นก็อวยพรตรงนี้ก่อนแล้วกัน ขอให้เจ้าเดินทางปลอดภัย คิดสิ่งใดสมปรารถนา และอนาคตยาวไกล”

เมื่อก่อนนางไม่เคยเร่งให้เขากลับเช่นนี้!

“ขอบคุณมาก!” หลี่เชียนเงียบไปครู่หนึ่ง และเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าอาจจะออกจากเมืองหลวงวันที่สิบ เดือนสาม หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าไปกองบัญชาการซานซี ไม่กลับเมืองหลวงอีกแล้ว…”

เจียงเซี่ยนพยักหน้า

หลิวตงเยว่ขอพบอยู่นอกประตู

เจียงเซี่ยนให้เขาเข้ามา

เขาคารวะนางอย่างประจบประแจง และเอ่ยว่า “ซื่อจื่อจิ้งไห่โหวได้รับของขวัญของท่านหญิงแล้วรู้สึกซาบซึ้งมาก จึงตั้งใจให้ผู้ติดตามที่อยู่ข้างกายมาขอบคุณท่านหญิงแทนเขาโดยเฉพาะ ท่านว่าเอ่อ…” เขาเอ่ยพลางมองหลี่เชียนครั้งหนึ่ง เหมือนกำลังส่งสัญญาณว่าเขายังไม่รีบกลับอีก

มือของหลี่เชียนกำหมัด

แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาควรกลับแล้วจริงๆ

เขาอยู่ที่นี่ มีแต่จะขัดขวางเจียงเซี่ยนเท่านั้น

ทว่าเขาก็ยังไม่ตัดใจ จึงหยั่งเชิงอย่างระมัดระวังมาก และเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านหญิง เช่นนั้น…ข้าขอตัวก่อน…”

เจียงเซี่ยนคิดแล้วก็ไปหยิบซองจดหมายที่ว่างเปล่าจากในห้องหนังสือมายื่นให้เขา และเอ่ยว่า “หวังว่าเจ้าจะไม่ต้องใช้”

สายตาของหลี่เชียนฉายแววงุนงง เขาจับซองจดหมายนั้น สัมผัสได้ถึงปึกกระดาษหนา

ปฏิกิริยาแรกของเขาคือเจียงเซี่ยนมอบตั๋วเงินให้เขา เขาเหมือนถือมันเทศที่ลวกมืออยู่ในมือ และรีบเอ่ยว่า “ข้าไม่สามารถขอ…”

“อย่าเอ่ยเร็วขนาดนั้น” เจียงเซี่ยนเม้มปากยิ้ม และเอ่ยว่า “เจ้ารู้ว่าเป็นอะไรแล้วค่อยปฏิเสธข้าก็ไม่สาย”

หลี่เชียนคิดว่าเจียงเซี่ยนมักจะทำให้เขาประหลาดใจอยู่เสมอ จึงรับซองจดหมายไว้อย่างเงียบๆ และลุกขึ้นบอกลา

เจียงเซี่ยนให้ฉิงเค่อออกไปส่งเขาข้างนอก แล้วสั่งหลิวตงเยว่ “เช่นนั้นก็ให้ผู้ติดตามของซื่อจื่อจิ้งไห่โหวมาขอบคุณข้าแทนเจ้านายของเขาเถอะ”

หลิวตงเยว่ยิ้มพลางขานรับ และออกจากตำหนักใหญ่ไปถ่ายทอดคำพูด ผู้ติดตามของจ้าวเซี่ยวก็คุกเข่าลงหน้าม่านประตูที่หนามากของตำหนักใหญ่และคำนับเจียงเซี่ยนอย่างเคารพนบนอบสามครั้ง

หลี่เชียนหันกลับไปเห็นผู้ติดตามคนนั้นกำลังคุกเข่าคำนับพอดี

เจียงเซี่ยนคงจะไม่ได้ชอบจ้าวเซี่ยวเหมือนอย่างที่เขาคิดใช่หรือไม่?

เมื่อครู่นางยังเป็นห่วงว่าเขาจะทำงานหนักอยู่เลย!

พอคิดถึงตรงนี้ หลี่เชียนก็อดที่จะเปิดซองจดหมายฉบับนั้นไม่ได้

ข้างในเป็นเทียบขอพบของเจียงเจิ้นหยวน

หลี่เชียนเบิกตาโต

ทุกคนต่างรู้ว่า…ตอนนี้เขาเป็นคนของเฉาไทเฮา

แต่เจียงเซี่ยนกลับให้เทียบขอพบของเจียงเจิ้นหยวนกับเขา…

หลี่เชียนจับเทียบขอพบฉบับนั้นแน่น หัวใจเหมือนจะกระโดดออกมาจากในอก

เขานึกถึงตอนเด็ก ทุกครั้งที่ถึงฤดูร้อน เขามักจะชอบพาเด็กกลุ่มหนึ่งไปจับปลาในแม่น้ำ

ทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลานี้ คนรับใช้ในบ้านก็จะกำชับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า อย่าไปทางต้นน้ำ กระแสน้ำที่ต้นน้ำเร็วเกินไป ระวังจะจมน้ำ

พูดมากแล้ว ในที่สุดก็มีครั้งหนึ่งที่เขาทนไม่ไหว และแอบเอาเชือกหนาไปที่ริมแม่น้ำ เขาผูกปลายเชือกหนาข้างหนึ่งไว้กับแขนเขา และผูกปลายอีกข้างไว้กับต้นไม้ริมแม่น้ำ แล้วว่ายไปทางต้นน้ำ…ปรากฏว่า เขาค้นพบป่าท้อแห่งหนึ่งที่ต้นน้ำ

ตอนนั้นเขาก็เข้าใจหลักการหนึ่งแล้ว

เรื่องบางเรื่องหากไม่ไปทำ ก็จะไม่มีวันรู้ว่าสิ่งที่รอเราอยู่ข้างหน้าคืออะไร

หลี่เชียนยืนอยู่บนทางเดิน ได้ยินเสียงเสียดสีกันดังมาจากป่ารอบด้านยามที่ลมพัดผ่าน สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเคร่งขรึมและเด็ดเดี่ยว

ต้องไปรู้จักจินเซียวสักหน่อยอย่างที่เจียงเซี่ยนบอกหรือไม่?

หลี่เชียนกำลังครุ่นคิด

คนๆ หนึ่งเดินมาตรงหน้า

รูปร่างสูงโปร่ง สวมเครื่องแบบแม่ทัพระดับสาม มีใบหน้าที่งดงามจนไร้ซึ่งตำหนิ หล่อเหลาจนไม่มีทางที่ใครจะมองผ่านไปเฉยๆ

หลี่เชียนรู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นใคร

หรือว่านี่เป็นเจตนารมณ์ของสวรรค์งั้นหรือ!

หลี่เชียนยิ้มออกมา และเดินไปทางชายคนนั้น

“แม่ทัพจินใช่หรือไม่?” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส “ข้าชื่นชมท่านมานานแล้ว วันนี้ได้พบ สมคำร่ำลือจริงๆ”

จินเซียวไม่รู้จักคนๆ นี้

ทว่าใบหน้าที่มีรอยยิ้มอบอุ่นและเต็มไปด้วยแสงแดดของเขากลับทำให้จินเซียวรู้สึกชอบ

เขาผ่อนคลายการระวังตัว และเอ่ยว่า “ข้าคือจินเซียว ไม่ทราบว่าเจ้าคือ?”

“ข้าคือหลี่เชียนลูกชายของหลี่ฉางชิงแม่ทัพซานซีที่รับตำแหน่งใหม่” หลี่เชียนยิ้มกว้าง “คิดไม่ถึงว่าจะเจอแม่ทัพจินที่นี่…”

———————–