ไม่ออกเรือนอย่างนั้นหรือ

หญิงสาวไม่ออกเรือนแล้วจะมีประโยชน์อะไร

นายใหญ่โจวจ้องตาเขม็ง

บ้านตระกูลโจวของเขาไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์หรอก

ฮูหยินโจวยิ้มพลางยกจอกเหล้าให้เขา

“นางเป็นเช่นนี้ จะหาคนดีๆ ได้อย่างไร” นางเอ่ย “กำพร้าแม่เป็นกาลกิณีของตระกูล แถมยังสติไม่สมประกอบตั้งหลายปี แต่ไม่รู้ว่าไปร่ำเรียนวิชาจากเทพเซียนที่ใดตอนนี้ถึงรักษาคนได้ ถึงเช่นนั้นรูปลักษณ์ก็ดูไม่เหมือนคนปกติอยู่ดี จะไปต้องตาคนดีๆ ที่ไหนกัน”

นางเน้นเสียงตรงคำว่า ‘คนดีๆ’ จนนายใหญ่โจวรับรู้ได้

คนดีๆ ที่ว่านั้นก็ย่อมเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อบ้านตระกูลโจว

นายใหญ่โจวดื่มเหล้าไปจิบหนึ่งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

“เช่นนี้รั้งให้นางอยู่ที่บ้านจะดีกว่า มีท่านกับข้าอยู่ ให้ข้าวให้น้ำเลี้ยงดูนางอย่างดี ถึงท่านกับข้าไม่อยู่แล้ว ลูกๆ ก็คงเลี้ยงดูแลนางดั่งอาหญิง ดีกว่าไปถูกคนอื่นรังแกมิใช่หรือ” ฮูหยินโจวเอ่ยพลางอมยิ้มพลาง “อีกอย่างนางยังมีสินเดิมอยู่ เช่นนี้ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระมากกว่ามิใช่หรือ”

นายใหญ่โจวเข้าใจในทันใด พยักหน้ารับในทันที

“ใช่ ใช่ สมควรเป็นเช่นนั้น” เขาเอ่ย “เจ้าคิดได้รอบคอบมาก สมกับเป็นท่านป้าจริงๆ”

“ข้าก็แค่พูดด้วยความเป็นธรรมเท่านั้น” ฮูหยินยิ้มกล่าว

“มา มา ลำบากฮูหยินแย่แล้ว ข้ารินเหล้าให้เจ้า” นายใหญ่โจวพูดพลางยิ้ม คว้ากาเหล้ามาแล้วรินเหล้าให้ฮูหยินโจวตามที่ว่าจริงๆ

ฮูหยินโจวยิ้มพลางยกจอกขึ้นรับ ภายในห้องค่ำคืนฤดูหนาวสองสามีภรรยามีความสุขกันยิ่งนัก

ตะวันโด่งฟ้า ฮูหยินโจวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วนั่งดื่มชาเย็นใจ

“ท่านแม่ อย่างไรข้าก็ไม่นั่งรถคันเดียวกับนาง” หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “แค่เห็นนางข้าก็รู้สึกกระอักกระอ่วนแล้ว”

“เช่นนั้นก็ไม่ต้องไป” ฮูหยินโจวกล่าว

“ไม่ได้ แม่นางตระกูลเฉียวฝีมือการชงชาเป็นเลิศ ใช่ว่าจะพบได้เจอได้ง่ายๆ อย่างไรข้าก็จะไป” หญิงสาวเอ่ย พลางดึงแขนเสื้อของท่านแม่ “ท่านแม่ เอารถไปอีกคันเถิด ให้นางนั่งคนเดียว ยิ่งจะทำให้ดูเหมือนว่าเราให้ความสำคัญนาง”

ขณะกำลังพูดคุยอยู่นั้นเสียงฝีเท้าด้านนอกก็ดังขึ้น ฮูหยินโจวจ้องนางตาเขม็ง ส่งสัญญาณให้นางนั่งดีๆ ตนเองก็รีบเผยรอยยิ้มอันอ่อนโยนออกมา

แต่คนที่เข้ามากลับเป็นแม่นม

“ฮูหยินเจ้าคะ นายหญิงเฉิงนาง นางบอกว่า ไม่ไปเจ้าค่ะ” นางนั่งคุกเข่าคำนับพร้อมเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ

รอยยิ้มบนใบหน้าของฮูหยินโจวหายไปในพริบตา

ดู ดูสิ นางรู้อยู่แล้ว! รู้อยู่แล้วเชียว!

ฮูหยินโจวนั่งอยู่ในห้องโถงของหลานสาวอีกครั้งเพื่อเชิญให้นางออกไปข้างนอกกับตน

เมื่อความคิดนี้แล่นเข้ามาในหัว ฮูหยินโจวที่นั่งลงก็อยากจะลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อจากไป

คนเป็นป้าทำถึงขนาดนี้แล้ว ในใต้หล้านี้มีเพียงนางคนเดียวกระมัง

แต่นางกลับทำได้แค่กัดฟันแล้วนั่งต่อไป

“ทำไมไม่ไปเล่า คุยกันไว้แล้วนี่ จะไม่รักษาคำพูดได้อย่างไร” นางเอ่ยพร้อมมองหญิงสาวตรงหน้า

หญิงสาวตรงหน้ากำลังกินข้าวอย่างช้าๆ

เป็นสาวเป็นนาง ทำอะไรไม่เป็นเวล่ำเวลา มีอย่างที่ไหนกัน!

“ข้าบอกเมื่อไร ว่าจะออกไปข้างนอก” เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้นเอ่ยถาม

“เจ้าบอกเองว่าจะรักษาโรคให้เขามิใช่หรือ” ฮูหยินโจวกัดฟันเอ่ย รอยยิ้มบนใบหน้าก็เริ่มแข็งกระด้าง หากไม่ได้รับการฝึกฝนการเป็นภรรยาเป็นแม่เป็นเวลาหลายสิบปี นางคงจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้จริงๆ

เฉิงเจียวเหนียงยิ้มมุมปาก ก้มหน้ากินต่ออีกหนึ่งคำ

“ฮูหยิน นายหญิงข้าบอกว่ารักษาโรคได้ มิได้บอกว่าจะออกไปข้างนอกนะเจ้าคะ” สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น

“ฮูหยินคุยกับนายหญิงอยู่ เจ้าพูดแทรกทำไมกัน” แม่นมด้านหลังฮูหยินโจวโพล่งขึ้นมาทันที

“ท่านแม่นมอย่าร้อนรนไป ฮูหยินก็อย่าเพิ่งโมโหไป ใช่ว่าบ่าวไม่รู้จักกาลเทศะ” สาวใช้อมยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “นายหญิงข้าพูดไม่เก่ง ทั้งยังพูดมากไม่ได้ ฉะนั้นสาวใช้อย่างข้าจึงจำเป็นต้องพูดแทนนายหญิงเจ้าค่ะ”

เช่นนี้หรือ

เฉิงเจียวเหนียงผู้นี้ก็พูดน้อยก็จริง แต่เดิมนางพูดไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป

ถึงได้บอกว่าคนบ้าที่ไหนจู่ๆ จะหายดีกลายเป็นคนปกติได้ เช่นนั้นไม่เรียกว่าปีศาจหรอกหรือ

แม่นมไม่รู้จะพูดอย่างไร ฮูหยินโจวเองก็ถอนหายใจ

“เจ้าไม่ออกจากบ้าน จะรักษาโรคได้อย่างไร” นางเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน

“ฮูหยินคงยังไม่ทราบ หากนายหญิงข้าจะรักษาโรคมีกฎอยู่สองข้อ” สาวใช้เอ่ยพลางยิ้ม

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เฉิงเจียวเหนียงก็เอาแต่ก้มหน้ากินข้าวตลอด ฮูหยินโจวจึงจำเป็นต้องหันไปทางสาวใช้นางนั้น

“ข้อแรกก็คือไม่ไปรักษาถึงที่บ้าน” สาวใช้เอ่ย “รอรักษาอย่างเดียว”

นี่มันกฎอะไรกัน!

“แล้วบ้านอำมาตย์เฉินเล่า…” ฮูหยินโจวเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้

สาวใช้ยิ้มเล็กน้อย ขัดจังหวะคำพูดของนาง

“แน่นอนว่า กรณีบ้านอำมาตย์เฉินนั้น ก็อีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ” นางกล่าว

กรณีบ้านอำมาตย์เฉินอย่างนั้นหรือ

ฮูหยินโจวตะลึง

คำพูดเช่นนี้จะให้นางพูดออกมาได้อย่างไร จะพูดออกมาได้อย่างไร

จะให้บอกว่าพวกเจ้าเทียบกับบ้านอำมาตย์เฉินไม่ได้ จึงไม่มีสิทธิ์จะเชิญให้มารักษาถึงที่อย่างนั้นหรือ

นางบ้าไปแล้วหรือไม่อยากอยู่ในเมืองหลวงแล้วกันแน่

“เจียวเจียว เจ้าอย่าก่อเรื่องเลย กฎนี้เจ้าก็ตั้งขึ้นมาเองมิใช่หรือ” นางสูดหายใจเข้าแล้วพูด

เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า

“ในเมื่อตั้งกฎแล้ว ก็จะแก้ไม่ได้ จะไม่รักษาคำพูดได้อย่างไรกัน” นางเอ่ย

ฮูหยินโจวจำต้องอดกลั้นความโกรธไว้อีกครั้งหนึ่ง

“อีกอย่าง หากไม่ทำตามกฎ ข้าก็รักษาให้ไม่ได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

หากไม่ทำตามกฎก็รักษาให้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ นี่กำลังข่มขู่หรืออย่างไร

หากไม่ทำตามกฎของนาง ก็จะไม่รักษาให้หรือ

ฮูหยินโจวมองดูหญิงสาวที่ยังคงกินข้าวอย่างเรียบเฉยตรงหน้า ก่อนจะกัดฟันลุกขึ้นเดินจากไป

หลังเวลาอาหารเย็น เป็นเวลาที่บุตรชายบุตรสาวมาทักทายพ่อแม่ของบ้านตระกูลโจว ท่านชายโจวหกมาช้าเล็กน้อย เมื่อมาถึงภายในห้องก็มีเพียงพี่สาวนั่งอยู่

บรรยากาศภายในห้องอึดอัดเล็กน้อย

“เจ้าเองก็เหมือนกัน ไม่ไปก็ไม่ไปสิ ทำตามกฎก็พอ มีอะไรน่าโมโหกัน” นายใหญ่โจวเอ่ย

ท่านชายโจวหกเพิ่งสังเกตเห็นว่าฮูหยินโจวขอบตาแดงเล็กน้อย

“ท่านแม่ มีเรื่องอะไรหรือ” เขาเอ่ยถามอย่างร้อนรน

“ไม่มีอะไร” ฮูหยินโจวบีบคั้นรอยยิ้มออกมาปลอบลูกชาย

“จะเรื่องอะไรได้เล่า ก็เด็กบ้าเจียงโจวนั่นน่ะสิ” พี่สาวที่นั่งอยู่ข้างๆ พูดด้วยความโมโห “คำพูดดีๆ นั้นคุยโวออกไปเอง จู่ๆ ก็กลับคำไม่ยอมรับ ให้ท่านแม่เป็นคนร้ายไปเสีย วันนี้ตอนออกไปข้างนอก ท่านแม่ถูกเยาะเย้ยใหญ่!”

“แม่นางเจ็ดหยุดพูดเสียที” ฮูหยินโจวเอ่ย “เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด”

“ข้าว่าเป็นเพราะท่านพ่อท่านแม่ตามใจนางมากเกินไป!” แม่นางโจวเจ็ดพูดขึ้นก่อนจะลุกขึ้นเอ่ยลา พอเห็นท่านชายโจวหกก็สะบัดแขนเสื้อใส่ “เจ้าก็ด้วย!”

แม่นางโจวเจ็ดออกไปแล้วแต่ท่านชายโจวหกยังคงนั่งอยู่ไม่ขยับ มองดูท่านแม่แล้วถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย

“นาง…” เขากำลังจะเอ่ยปากแต่นายใหญ่โจวก็กลับพูดขึ้นมาก่อน ท่านชายโจวหกจึงไม่ได้พูดต่อ

“นางพูดเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะจงใจก่อเรื่อง” นายใหญ่โจวเอ่ยพลางลูบเครา “หลายวันมานี้ในงานสังสรรค์ ข้าได้ยินมาว่าที่นางรักษาโรคได้ ก็เพราะตำรับเซียนที่ท่านเซียนทิ้งไว้ให้นาง”

“ท่านพ่อ” ท่านชายโจวหกอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา

คำพูดน่าขันเช่นนั้นจะเชื่อได้อย่างไร! ยังจะเอามาปลอบท่านแม่อีก ไม่จริงใจเลยสักนิด

“หรืออาจจะไม่ใช่ท่านเซียน น่าจะเป็นนักพรตที่ร่อนเร่หรือคนพเนจรอะไรทำนองนั้นกระมัง” นายใหญ่โจวเอ่ยพลางหัวเราะ บนใบหน้ายังมีอาการมึนเมาจากสุราอยู่

ไม่เหมือนกับภรรยาที่ออกไปสังสรรค์กับเหล่าฮูหยินแล้วถูกพูดจาเยาะเย้ยใส่ เหล่าชายหนุ่มนั้นมองการณ์ไกลกว่า ไม่ถือสากับปัญหาเล็กน้อยที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ ฉะนั้นหลายวันมานี้ยามเขาออกไปข้างนอกนั้นช่างสุขใจยิ่งนัก อย่างแรกเป็นเพราะตีเสมอตนกับบุคคลอย่างอำมาตย์เฉินได้ แถมในในบ้านยังเลี้ยงปรมาจารย์ที่สามารถชุบชีวิตคนตายได้อีก

“ที่เด็กบ้า…ที่เจียวเหนียงหายได้ คาดว่าน่าจะเป็นฝีมือของปราชญ์ผู้นั้น เสียดายนักไม่รู้ว่าเสียสติมานานกี่ปี ตรงนี้ถึงใช้การได้ไม่ค่อยดีนัก” นายใหญ่โจวยกมือขึ้นมาชี้หัวก่อนจะเอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า “ฉะนั้นนางจึงจำไม่ได้ ตนเองก็พูดไม่รู้ความอีก”

ฮูหยินโจวกับท่านชายโจวหกได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึงไป

“เรื่องพวกนี้ ท่านได้ยินมาจากที่ใดหรือ” ฮูหยินโจวเอ่ยถาม

ตัวละครหลักที่ถูกนำมาเป็นหัวข้อสนทนานั้นอาศัยอยู่ในบ้านพวกนางเอง แต่พวกนางกลับไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย

“จะจากที่ใดเล่า” นายใหญ่โจวเอ่ย “บ้านอำมาตย์เฉินน่ะสิ”

เนื่องจากอาการป่วยของท่านพ่อของเฉินเซ่าดีขึ้น ตำแหน่งฐานะมั่นคง ปีใหม่ปีนี้รถม้าหน้าบ้านตระกูลเฉินถึงได้คึกคักนัก

ในห้องมีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด อึกทึกคึกโครมดั่งโรงเหล้า ถึงแม้น้ำชารับรองแขกในห้องของบ้านตระกูลเฉินจะไม่ดีนัก แม้เฉินเซ่าจะไม่ออกมาต้อนรับรองแขกมากมายด้วยตนเองตามความเคยชินของเขา แต่ก็ไม่สามารถขัดขวางแขกมากมายที่มาเยี่ยมเยียนได้

ความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาพบเฉินเซ่าแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นธรรมเนียมของวงการข้าราชการ ที่ต้องมาปรากฏตัวเพื่อแสดงน้ำใจ

เหล่าขุนนางในห้องนั้นส่วนมากรู้จักมักคุ้นกัน ต่างก็ทักทายกันอย่างยิ้มแย้ม คนที่ว่างไม่มีธุระอะไรก็นั่งลงดื่มชาคุยกันสัพเพเหระ

“ปราชญ์ที่นายหญิงตระกูลเฉิงผู้นี้ได้พบ ได้ยินว่าเป็นหมอเทวดาเปี่ยนเชวี่ย์…”

“เหลวไหล นางอยู่ในวัดเต๋า คนที่พบก็ย่อมเป็นนักพรตหลี่ที่ขี่วัวแน่นอน…”

ท่ามกลางเสียงพูดคุยหัวเราะเอะอะนั้น ก็จะมีคำพูดเช่นนี้เผยแพร่ออกมาเป็นครั้งคราว ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไรหรือเริ่มมาจากใคร ยามพูดคุยกันเรื่องอาการป่วยของนายใหญ่เฉินบทสนทนาก็จะเปลี่ยนไปเป็นนายหญิงเจียงโจวที่รักษาโรคนี้หายทุกครั้ง

ถึงขนาดกับเมื่อพูดถึงแล้วก็ถกเถียงกันไม่หยุดหย่อน อีกยังมีคนซักไซ้ถามกับคนรับใช้หน้าห้องด้วย

“เจ้าว่านายหญิงเจียงโจวพบท่านเซียนองค์ใดมาหรือ”

ทำให้เหล่าคนรับใช้ที่เทน้ำชาให้ต่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“อย่าพูดเหลวไหลไป มีเรื่องแบบนี้ที่ไหนกัน” พวกเขาทำได้เพียงเอ่ยเช่นนี้ แต่กลับหยุดคำเล่าลือเหล่านั้นไม่ให้แพร่กระจายออกไปไม่ได้

ในห้องโถงเรือนนายใหญ่เฉินนั้น เฉินเซ่าเองก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นกัน

“ท่านพ่อ คำพูดพวกนี้มาได้อย่างไรกัน” เขาเอ่ยถาม

นายใหญ่เฉินวางหนังสือในมือลง

“เจ้าพูดเองมิใช่หรือ” เขาสีหน้าจริงจังเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

“ท่านพ่อ!” เฉินเซ่ายิ้มเจื่อนแล้วเอ่ย “ข้าบอกว่าปราชญ์คนหนึ่ง ไม่ได้บอกว่าท่านเซียนอะไรสักหน่อย”

“ปราชญ์ที่สามารถรักษาโรคสติไม่สมประกอบได้ อีกยังมีความสามารถในการชุบชีวิตให้คนตายอีก ก็เหมือนกับเซียนมิใช่หรือ” นายใหญ่เฉินยิ้มเอ่ย

เฉินเซ่าจนใจ รู้ว่าท่านพ่อจงใจหลอกลวง

“ท่านพ่อ ท่านเป็นคนแพร่ข่าวลือนี้ออกไป…” เขาเอ่ย

“ข้าไม่ได้แพร่ออกไป” นายใหญ่เฉินรีบโบกไม้โบกมือแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าก็แค่คุยเล่นกับบ่าว ใครจะไปรู้ว่าจะถูกแพร่ออกไปเช่นนั้น ข้ารักษาตัวอยู่ในเรือน ข้าจะเป็นคนพูดได้อย่างไรกัน”

เฉินเซ่าหลุดหัวเราะออกมา

หากไม่ใช่เพราะท่านพ่อจงใจ คงไม่กล้าพูดออกไปเช่นนั้น

“ขงจื๊อกล่าวไว้ว่า ปราชญ์ไม่ถกเรื่องพิศวง ความกล้าหาญ การจราจลและเรื่องผีสางเทวดา ข้าไม่รู้ ไม่บอก ไม่ถาม” นายใหญ่เฉินโบกมือไปมาด้วยความเคร่งขรึม “ข้ารู้แค่ว่านายหญิงเฉิงเป็นผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตข้า”

ศิษย์ลัทธิขงจื๊อไม่ถก แต่ใต้หล้านี้มีคนมากมายที่ไม่ใช่ศิษย์ลัทธิขงจื๊อ โดยเฉพาะเรื่องประหลาดผีสางเทวดาเช่นนี้ แค่คิดก็รู้ได้แล้ว เทศกาลปีใหม่ปีนี้ เรื่องนายหญิงเฉิงจะต้องเต็มท้องถนนเป็นแน่

“ท่านพ่อ เช่นนี้ จะดีกับนายหญิงเฉิงหรือ” เขาลังเลสักครู่แล้วจึงเอ่ยถาม

“นายหญิงเฉิงพบเซียน ก็ยังดีกว่าคนอื่นพบเซียน” นายใหญ่เฉินยิ้มพลางเอ่ยราวกับไม่ใส่ใจ “ในใต้หล้านี้มีคนรอคอยโชคลาภวาสนาถมเถไป เพียงแต่โชคลาภเช่นนี้จะได้มาง่ายๆ ได้อย่างไร”

เหมือนดั่งนายใหญ่โจวว่า ถึงแม้เหล่าฮูหยินที่ไปมาหาสู่กันจะพูดจาถากถางกัน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ไปเหยียบบ้านตระกูลโจวอีกเพราะเหตุผลนั้น

รถม้าหน้าประตูบ้านตระกูลโจวมีมากขึ้นเรื่อยๆ เบียดเสียดยัดเยียดกัน จากประตูบ้านที่กว้างขวางก็กลายเป็นว่าทั้งคับแคบทั้งวุ่นวาย

แต่ก็ไม่มีใครโมโหกันเพราะเรื่องนี้ เหล่าบ่าวรับใช้หน้าประตูวิ่งไปมาควบคุมการจอดรถม้าด้วยความดีใจและภูมิใจ เมื่อคนแถวบ้านมามุงดูมาเข้าใกล้ ก็ทำเป็นเช็ดเหงื่ออย่างจนใจเป็นครั้งคราว อีกยังพูดบ่นเป็นการโอ้อวดประมาณว่าปีใหม่นี้ช่างเหนื่อยเสียจริง

โถงรับรองแขกของฮูหยินโจวแห่งตระกูลโจวมีเต็มไปด้วยแขก เสียงพูดคุยหัวเราะดังคึกโครมแม้มีประตูกั้นอยู่

บทสนทนาส่วนมากก็จะวนอยู่กับเรื่องของเฉิงเจียวเหนียง

“ตอนเด็กๆ สติไม่สมประกอบจริงหรือ”

“ใช่ๆ เดิมทีตอนเด็กๆ ข้าสนิทสนมกับเกอเหนียง หลังจากออกเรือนได้ไม่กี่ปีแล้วกลับมาเมืองหลวง นางก็ยังเรียกให้ข้ามาเที่ยวหา” ฮูหยินคนหนึ่งถอนหายใจเบาๆ

บ้านตระกูลโจวชอบใช้ชื่ออาวุธมาตั้งเป็นชื่อลูกหลาน แม้แต่เหล่าหญิงสาวก็ไม่เว้น ท่านแม่ของเฉิงเจียวเหนียงนามว่าเกอ อยู่ลำดับที่ห้าของตระกูล บ้างก็เรียกแม่นางห้า บ้างก็เรียกเกอเหนียง

“หลังจากนั้นก็คลอดเด็กคนนี้ออกมา นางก็ไม่มาพบข้าอีกเลย จดหมายอะไรก็ไม่มีอีกแล้ว” ฮูหยินผู้นั้นพูดต่อด้วยความหดหู่ใจ

………………………………………………………..