“หนานจ้าวอ๋องคนที่สถาปนาแคว้นนี้ขึ้นคิดอันใดอยู่กัน ถึงได้สร้างวังหลวงติดกับภูเขาเช่นนี้” หานหมิงซีถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ ในประวัติศาสตร์ของชนชาวจงหยวน วังที่จะสร้างขึ้นติดกับภูเขาได้มีเพียงวังชั่วคราวหรือวังอื่นๆ ที่มิใช่วังหลวงเท่านั้น แต่วังหลวงที่แท้จริงนั้นไม่เคยมีวังใดที่มิได้ตั้งอยู่บริเวณใจกลางของเมืองหลวง ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของราชบัลลังค์และความยิ่งใหญ่เหนือทั้งมวลในใต้หล้า
เยี่ยหลีตอบอย่างไม่จริงจังนักว่า “ขนบธรรมเนียมต่างกันกระมัง”
หานหมิงซีมองท่าทีของนางออก จึงจ้องหน้านางด้วยความไม่สบอารมณ์อยู่พักใหญ่ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงเมินเฉยต่อท่าทีของตน และยังจมอยู่กับความคิดของตนเอง หานหมิงซีจึงหน้าบึ้งลงทันที แล้วจึงแกล้งกระแอมไอขึ้นสองทีเพื่อดึงดูดความสนใจของคนในห้อง
จากนั้นหานหมิงซีจึงเพียงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าสงสัยว่าคุณชายชิงเฉินจะอยู่ในตำหนักธิดาเทพหรือ เท่าที่ทุกคนรับรู้กันคือธิดาเทพแห่งหนานเจียงนั้นสะอาดและบริสุทธิ์ดุจน้ำแข็ง และตำหนักธิดาเทพไม่อนุญาตให้ชายหนุ่มเข้าออก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องกักตัวชายหนุ่มไว้ในนั้นเลย หากให้ใครรู้เข้าว่าเจ้าคิดเช่นนี้ เชื่อข้าสิว่า…เจ้าจะต้องถูกความโกรธเกลียดของประชาชนชาวหนานจ้าวฝังจนจมดินเป็นแน่”
เยี่ยหลีตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “ก็ยิ่งเพราะทุกคนต่างรับรู้กันเช่นนั้น จึงยิ่งมีความเป็นไปได้มิใช่หรือ”
หานหมิงซีกลอกตาบนใส่นาง “เช่นนั้นขอถามคุณชายจวินเหวยว่า เราจะเข้าไปในตำหนักธิดาเทพที่มีการคุ้มกันแน่นหนาเสียยิ่งกว่าวังหลวงและหาคุณชายชิงเฉินที่มิรู้ว่าถูกซ่อนไว้ที่ใดพบได้อย่างไร หากเจ้าหาตัวคุณชายชิงเฉินไม่พบ แล้วถูกคนจับได้ พวกเราคงถูกคนหนานจ้าวตีตายเข้าจริงๆ”
“ข้ามิได้คิดที่เข้าไปทางตำหนักธิดาเทพ” เยี่ยหลีพูด
หานหมิงซีมีสีหน้าตกใจระคนนับถือ “ที่แท้คุณชายจวินเหวยก็คิดที่จะบุกเข้าวังหลวงของหนานจ้าวหรอกหรือ น้องจวินเหวยเอ๋ย ถึงแม้วังหลวงของหนานจ้าวจะมีขนาดไม่ถึงหนึ่งในสามของต้าฉู่ แต่เจ้าก็อย่าดูถูกพวกเขาได้หรือไม่ อย่าลืมสิ…วังหลวงของพวกเราต้าฉู่ไม่มีทางมีงูพิษ แต่หนานจ้าวนั้นไม่เหมือนกัน”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “พูดอย่างกับว่าคุณชายเฟิ่งเย่ว์มิเคยเข้าไปในวังหลวงอย่างนั้น ไม่รู้ว่าเมื่อหลายวันก่อน ใครกันที่คุยโวโอ้อวดว่าตนเข้านอกออกในวังหลังของวังหลวงทุกแคว้นจนปรุโปร่งมาหมดแล้ว”
หานหมิงซีถึงกับพูดไม่ออก ไม่รู้เหตุใดเขาจึงได้เริ่มรู้สึกเสียใจที่หลายวันก่อน ช่วงเวลาว่างๆ ระหว่างเดินทาง ได้คุยโวเรื่องความเจ้าเสน่ห์ของตนให้กับจวินเหวยฟัง
“ต่อให้เจ้าเข้าไปและหาคุณชายชิงเฉินพบแล้ว เจ้าจะเอาตัวเขาออกมาได้อย่างไร” หานหมิงซีเอ่ยถาม “เท่าที่ข้ารู้ คุณชายชิงเฉินไม่ได้มีวิทยายุทธ์เอาเสียเลยนะ”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ จะต้องคิดวางแผนให้ดีๆ” จะบุกเข้าไปเฉยๆ เลยคงมิได้ ถึงแม้องครักษ์ลับจะเก่งกาจถึงขั้นสามารถขโมยตัวคนออกจากวังหลวงของหนานจ้าวได้ แต่ผลที่ตามมาคงวุ่นวายน่าดู หากให้ผู้อื่นรู้ว่าคนที่ลงมือเป็นคนของตำหนักติ้งอ๋อง นั่นคงยิ่งวุ่นวายหนักขึ้นไปอีก
เมื่อเห็นนางขมวดคิ้วทำท่าคิดหนักแล้ว หานหมิงซีก็หัวเราะด้วยความรื่นเริงใจ “เป็นอย่างไรบ้างเล่า ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่”
เยี่ยหลีมองหานหมิงซีพร้อมส่ายหน้า นางกับหานหมิงซีมีความเกี่ยวข้องกันเพียงเรื่องงานเท่านั้น คราวก่อนที่หานหมิงซีติดตามนางมานั้นก็ร่วมเสี่ยงภัยกันมาแล้วไม่น้อย ครานี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจดึงเขาให้เข้ามาเสี่ยงด้วยได้อีก
หานหมิงซีอมยิ้มมองนาง “อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธเช่นนี้สิ ถึงอย่างไรเทียนอี้เก๋อก็เปิดรับสำหรับการทำการค้า ขอเพียงจวินเหวยจ่ายไหว พวกเราก็มิได้ทำได้เพียงหาข่าวเท่านั้นนะ”
เยี่ยหลีใจกระตุกขึ้นทันที มองหน้าหานหมิงซีแล้วถามว่า “พี่หานอยากได้สิ่งใดหรือ”
หานหมิงซีหัวเราะอย่างได้ใจ “ซวินหย่าเก๋อ ข้าอยากได้เพิ่มอีกสองส่วน”
เยี่ยหลีพูดว่า “ข้าคิดว่าเทียนอี้เก๋อชอบเงินตำลึงเงินและตำลึงทองมากกว่าเสียอีก ท่านน่าจะรู้ว่าไม่ว่าเท่าไร ตระกูลสวีหรือตัวข้าก็ยอมจ่ายทั้งนั้น”
หานหมิงซีมองหน้านางด้วยความน้อยใจ “ข้ากับจวินเหวยเป็นเพื่อนกัน เป็นเพื่อนกันจะทิ้งให้อีกฝ่ายอยู่ในอันตรายได้อย่างไร”
เพื่อนหรือ เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น “เทียนอี้เก๋อไม่ชำนาญในเรื่องนี้ ไม่รบกวนพี่หานจะดีกว่า”
“จวินเหวยเห็นเราเป็นคนอื่นเกินไปเสียแล้ว” หานหมิงซียิ้ม “ถึงแม้เทียนอี้เก๋อจะไม่ถือว่าชำนาญในเรื่องนี้ แต่พวกเราคุ้นเคยกับเมืองหลวงของหนานจ้าวเป็นอย่างดี เมื่อเทียบกับความสัมพันธ์ของพวกเราแล้ว จวินเหวยไม่คิดว่าเทียนอี้เก๋อจะน่าเชื่อถือกว่าหรือ”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว นิ่งคิดไปพักใหญ่จึงได้กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นคงต้องรบกวนพี่หานแล้ว เมื่อจบเรื่องแล้ว ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเทียนอี้เก๋อทั้งหมดข้าจะรับผิดชอบเอง แน่นอน รวมถึงส่วนแบ่งอีกสองส่วนจากซวินหย่าเก๋อด้วย”
“ข้าถึงได้บอกว่า จวินเหวยเห็นเราเป็นคนอื่นเกินไปอย่างไร” หานหมิงซีได้แต่ถอนหายใจ
เยี่ยหลีก้มหน้าลงยิ้มน้อยๆ มิได้พูดสิ่งใด ในใจคิดว่านางจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากองค์หญิงอันซีอีกคนหรือไม่
ภายใต้ประกายสว่างจากไข่มุกราตรี ประตูไม้ที่หนักอึ้งถูกผลักเปิดออก หญิงสาวในชุดสีทองหรูหรากลับไม่มีท่าทีสบายๆ ดังเช่นวันก่อน ฝีเท้าที่เร่งรีบเต็มไปด้วยความโกรธถึงขีดสุด “สวีชิงเฉิน!”
สวีชิงเฉินที่กำลังหลับตาพักผ่อนอยู่ ค่อยๆ หันกลับไปอย่างเรื่อยๆ และนิ่งสงบ แล้วจึงขมวดคิ้วมองหญิงสาวที่เข้ามาด้วยความรีบร้อน “มีเรื่องอันใดหรือ”
หญิงสาวท่าทางโกรธจัด นางสะบัดแขนเสื้อกวาดถ้วยชาเครื่องเคลือบที่วางอยู่บนโต๊ะตกลงพื้นไปทั้งหมด เสียงถ้วยชามแตกดังแหลมเสียดหู “พูดมา! พวกมันรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าอยู่ที่นี่!”
สวีชิงเฉินส่ายหน้า พูดเรียบๆ ว่า “ข้าอยู่ที่นี่ออกไปที่ใดก็ไม่ได้ จะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ทำไมหรือ มีคนมาหาเรื่องเจ้าหรือ”
“เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไร! เจ้าต้องเป็นคนส่งข่าวออกไปเป็นแน่ พูดมาเถิด เจ้าใช้วิธีใดกันแน่” หญิงสาวพยายามข่มความโกรธของตนลงอย่างเต็มที่
สวีชิงเฉินถอนหายใจพร้อมส่ายหน้า “เจ้าคิดว่าข้าเป็นประหนึ่งเทพหรือย่างไร ข้าก็เป็นเพียงบัณฑิตที่อ่อนแอทำสิ่งใดไม่ได้คนหนึ่งเท่านั้น มิใช่ยอดฝีมือที่แอบซ่อนฝีมือเอาไว้ที่ไหน หากท่านมีเวลาคิดเรื่องพวกนี้ สู้เอาเวลาไปคิดว่าช่วงนี้ท่านไปล่วงเกินใครไว้บ้างจะดีกว่า”
หญิงสาวส่งเสียงเหอะเบาๆ “ข้าจะไปล่วงเกินใครได้อย่างไร นอกจากนังอันซีนั่นแล้ว คนเดียวที่ข้าเคยล่วงเกิน…หึหึ ก็ดูเหมือนจะมีแต่คู่หมั้นที่แสนน่ารักของเจ้าคนนั้น”
“ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าอย่าได้ทำอันใดนาง” สวีชิงเฉินพูดเสียงขรึม
หญิงสาวหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าวางใจได้ คู่หมั้นแสนรักของเจ้ามิได้เป็นอันใดแม้แต่น้อย เพียงแต่…ยามนี้ไม่มีก็ไม่ได้หมายความว่าอีกหน่อยจะไม่มีด้วย คราวก่อนเพียงอยากขู่ให้นางตกใจเล่นเท่านั้น จะว่าไป…ดูเหมือนองครักษ์ที่คอยคุ้มครองดอกไม้ข้างกายนางนั้นจะมีวิชาไม่เบาเลยทีเดียว”
สวีชิงเฉินไม่สนใจ “ท่านพูดถึงองครักษ์ที่ติดตามนางมาหรือ คุณหนูตระกูลใหญ่ๆ ของจงหยวนเมื่อออกเดินทางจากบ้านมาก็มักมีองครักษ์ติดตัวมาด้วยกันทุกคน มิใช่เรื่องใหญ่อันใด”
“ดูเจ้าจะไว้ใจนางมากนะ เช่นนั้นพวกเรามาดูกันดีกว่าว่าองครักษ์ของนางจะคุ้มครองนางได้จริงหรือไม่ ไม่แน่ว่าคุ้มครองกันไปคุ้มครองกันมาจะเกิดมีใจให้กันเข้าก็ได้นะ หญิงสาวพวกนี้มิได้ชื่นชอบวีรบุรุษช่วยสาวงามกันหรอกหรือ”
สวีชิงเฉินกวาดตามองนาง “หากเจ้าว่างมากเช่นนี้ สู้บอกมาดีกว่าว่ามีเรื่องอันใดที่ทำให้เจ้าโกรธถึงเพียงนี้”
เพียงพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของหญิงสาวที่ปกปิดอยู่ภายใต้หน้ากากก็บิดเบี้ยวขึ้นทันที นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธแค้นว่า “มีคนเอาศพนักฆ่าพวกนั้นมาทิ้งไว้นอกตำหนักธิดาเทพ!”
สวีชิงเฉินแปลกใจเล็กน้อย แล้วจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ออกอย่างรวดเร็ว “ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ไม่เป็นอันใดนี่ ส่งเรื่องให้ราชวงศ์หนานจ้าวหรือคนของราชสำนักจัดการก็ได้มิใช่หรือ”
“จะได้ได้อย่างไร!” หญิงสาวร้องตะโกนขึ้น “อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ หากมีคนรู้ว่ามีคนนำศพมาทิ้งไว้ที่ตำหนักธิดาเทพ อันซีจะต้องใช้โอกาสนี้บุกค้นตำหนักธิดาเทพเป็นแน่ เหอะ! อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ นางคิดอยากจะยื่นมือเข้ามาในตำหนักธิดาเทพนานแล้ว น่าเสียดายที่นางยังขาดข้ออ้างนั้น!”
สวีชิงเฉินยื่นมือไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาเปิดออก แล้วพูดว่า “เจ้ายังมิได้พูดถึงเลยว่า หากมีคนรู้ว่ามีศพอยู่ที่ตำหนักธิดาเทพ ในใจประชาชนชาวหนานจ้าวคงได้นึกสงสัยในความศักดิ์สิทธิ์ของธิดาเทพแห่งหนานเจียง ที่สำคัญที่สุดคือ หากให้เวลาเจ้าอีกสองปี เจ้ายังสามารถผลักเรื่องนี้ให้เป็นความรับผิดชอบของต้าฉู่หรือซีหลิงได้อีกด้วย แต่ยามนี้…แม้แต่การเตรียมตัวเปิดศึกกับต้าฉู่เจ้ายังไม่พร้อมเลยด้วยซ้ำ”
แววตาหญิงสาวดูครึ้มไป จ้องหน้าเขาพร้อมพูดเสียงขรึมว่า “เจ้ารู้เรื่องมากเกินไปเสียแล้ว ไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้าหรือ”
สวีชิงเฉินส่ายหน้าน้อยๆ “เพราะท่านยังอยากรู้เรื่องจากข้ามากกว่านี้มิใช่หรือ”
“ถูกต้อง!” หญิงสาวเอ่ยยอมรับทันที “หากมิใช่เพราะเจ้าลอบให้ความช่วยเหลืออันซี นางไม่มีทางเอาชนะข้าได้ ในเมื่อเจ้าสามารถช่วยนางได้ ก็ย่อมช่วยข้าได้มิใช่หรือ”
สวีชิงเฉินส่ายหน้า “ข้าไม่มีทางช่วยเจ้า”
“ข้าจะทำให้เจ้ายอมให้ได้!” หญิงสาวหัวเราะเสียงเย็น
สวีชิงเฉินวางหนังสือลงอีกครั้ง มองนางด้วยแววตาเห็นใจ “เจ้าไม่เหมาะที่จะทำเช่นนี้แต่แรกแล้ว ธิดาเทพทุกคนในประวัติศาสตร์ต่างก็ไม่เหมาะเช่นกัน ถึงแม้เจ้าจะฉลาดกว่าพวกนาง แต่เรื่องการปกครองแคว้นเจ้ายังสู้องค์หญิงอันซีไมได้”
ดวงตาของหญิงสาวมีแววโกรธแค้น พูดเสียงเย็นว่า “ใครบอกว่าข้าไม่เหมาะสมกัน เจ้าเองก็ยอมรับว่าข้าฉลาดกว่าอันซีมิใช่หรือ”
“เจ้าเพียงแค่เก่งด้านการวางเล่ห์กลมากกว่านางเท่านั้น แต่การปกครองแคว้นมิใช่อาศัยเพียงการวางเล่ห์กลก็สามารถปกครองได้ อีกอย่าง…เรื่องการวางเล่ห์กลของเจ้าก็ยังไม่ถือว่าได้เรื่องสักเท่าไรด้วย”
“เช่นนั้นแล้วอย่างไร อย่างน้อยตอนนี้เจ้าก็อยู่ในมือข้ามิใช่หรือ” หญิงสาวพูดด้วยความอวดดี
สวีชิงเฉินยิ้มน้อยๆ มิได้พูดอันใด
เมื่อเห็นท่าทีนิ่งเงียบของสวีชิงเฉินแล้ว จู่ๆ หญิงสาวก็รู้สึกโกรธแค้นขึ้นอย่างมาก พูดด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าดูถูกข้า!”
สวีชิงเฉินขมวดคิ้ว “ข้ามิได้ดูถูกเจ้า ข้าเพียงไม่เห็นด้วยกับวิธีที่เจ้าทำในตอนนี้เท่านั้น”
“ข้ารู้! เจ้าดูถูกข้า!” หญิงสาวกรีดร้องขึ้น “เจ้าจะไปรู้อันใด เจ้ารู้หรือว่านางโตมาโดยใช้ชีวิตอย่างไร ข้าโตมาโดยใช้ชีวิตอย่างไร แล้วเหตุใด แล้วเหตุใดนางเพียงเกิดมาก็ได้เป็นรัชทายาทหญิง ได้เป็นองค์หญิง เพราะเหตุใด อันใดๆ ก็เป็นของนางหมด”
“เจ้าเป็นธิดาเทพแห่งหนานเจียง ก็ได้รับความเคารพจากคนนับหมื่นเช่นเดียวกัน” สวีชิงเฉินพูด
“หึหึ…ความเคารพจากคนนับหมื่นหรือ ข้ามิได้พบหน้าแม่ข้าตั้งแต่อายุสามขวบ ห้าขวบข้าก็ต้องอยู่ตัวคนเดียว ห้ามมิให้พูดคุยกับสาวใช้ ห้ามมิให้ออกไปวิ่งเล่น ห้ามมิให้ร้องไห้ ห้ามมิให้พบคนนอก แม้แต่จะมีใจรักผู้ใดก็มิได้ พอข้าอายุยี่สิบแปดปียังต้องไปอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์บ้าบอนั่นอีก ผู้ใดอยากไปอยู่ในสถานที่บ้าๆ นั่นกัน หนานจ้าวเป็นของข้า ทุกอย่างเป็นของข้า!” หญิงสาวพูดพร้อมกรีดร้องประหนึ่งคลุ้มคลั่ง
สวีชิงเฉินส่ายหน้า “ชีวิตของธิดาเทพแห่งหนานเจียงช่างหน้าสงสารก็จริง แต่ข้าคิดว่านั่นมิได้หมายรวมถึงตัวท่าน ไม่เคยมีใครจำกัดความประพฤติของท่านมาก่อนมิใช่หรือ มิเช่นนั้นท่านจะมีโอกาสได้รู้จักกับหลีอ๋องได้อย่างไร จะเกิดเป็นศัตรูกับองค์หญิงอันซีได้อย่างไร แม้แต่…เรื่องที่สองปีก่อนหน้านี้ ธิดาเทพคนใหม่ได้ถือกับเนิดขึ้น แต่ก็ถูกเจ้าฆ่าทิ้งเสีย ธิดาเทพแห่งหนานเจียงสามารถเป็นได้ถึงอายุยี่สิบแปดปี แต่อันที่จริงแล้วโดยมากธิดาเทพมักลงจากตำแหน่งตั้งแต่ก่อนอายุยี่สิบห้าปีมิใช่หรือ”
“แม้แต่เรื่องนี้อันซีก็บอกเจ้าหรือ!” หญิงสาวจ้องหน้าเขา “ดูท่านางจะไว้ใจเจ้ามากจริงๆ”
“ข้ากับองค์หญิงอันซี เราเป็นสหายกัน”
“เหอะ!” อาการคลุ้มคลั่งเมื่อครู่ดูเหมือนเป็นการแกล้งทำ หรือจะเรียกว่าเป็นการเล่นละครก็ยังได้ หญิงสาวกลับมารักษาท่าทีสง่างามอย่างรวดเร็ว “ช่างเป็นสหายที่แสนดีเสียจริง ข้าจะเอาหัวสหายของเจ้า และคู่หมั้นของเจ้ามาส่งไว้ให้ตรงหน้าเจ้าก็แล้วกัน” พูดจบ หญิงสาวก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปทันที