ภาคที่ 2 บทที่ 142 คำเชิญ

มู่หนานจือ

จ้าวเซี่ยวรู้ว่า หากตนเองถูกเลือกให้เป็นสามีของท่านหญิงเจียหนาน คนมากมายก็จะพากันอิจฉาตาร้อน หากว่าจินเซียวคุยโวโอ้อวดเพื่อที่จะแสดงความใจกว้างของตนเอง และเติ้งเฉิงลู่ก็แสดงความเสียใจของตนเองออกมาอย่างเศร้าหมองเพียงลำพัง เขาก็แสดงความสุขุมและเรียบร้อยของตนเองออกมาอย่างถ่อมตนและอดทนเช่นกัน

สำหรับคำเชิญของจินเซียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นคำเชิญของอดีตศัตรูหัวใจนั้น เขาจะต้องไปอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังชอบจินเซียวมากทีเดียว รู้สึกว่าอีกฝ่ายตรงไปตรงมาและเป็นคนใจกว้าง และสิ่งที่ทำในเมืองหลวงช่วงนี้ก็ล้วนทำได้ดีจนน่าชื่นชม จึงเป็นเพื่อนที่น่าคบหาคนหนึ่ง

“อาการบาดเจ็บของข้าไม่เป็นอะไรมากแล้ว” จ้าวเซี่ยวเอ่ย พลางขยับแขนและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่จินมากที่ชวน ถึงวันนั้นพวกเราไปพร้อมกัน”

จินเซียวได้ยินก็ยิ้มให้จ้าวเซี่ยวอย่างหยอกเล่น และเอ่ยว่า “ข้ายังขอให้เจียงลวี่ชวนท่านหญิงเจียหนาน…”

ถึงอย่างไรก็เป็นชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี ต่อให้เรียบร้อยแค่ไหนก็ต้องมีด้านที่เขินจนหน้าแดงเหมือนกัน

จ้าวเซี่ยวหน้าแดงเล็กน้อย

ถึงแม้เรื่องของเขากับเจียงเซี่ยนจะยังไม่ได้ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย แต่คนในเมืองหลวงต่างก็รู้แล้วว่าใบบันทึกวันเดือนปีและเวลาเกิดของทั้งสองคนได้วางอยู่ในราชสำนักแล้ว และรอเพียงเชิญแม่สื่ออย่างเป็นทางการในอีกสามวันเท่านั้น

จินเซียวไม่อาจล้อจ้าวเซี่ยวเล่นต่อไปได้ ถึงอย่างไรระหว่างทั้งสองคนนอกจากเป็นผู้สมัครสามีของท่านหญิงเจียหนานเหมือนกันแล้วก็ไม่มีความสนิทสนมอื่นอีก

เขายิ้มพลางเอ่ยอีกเล็กน้อยประมาณว่า ‘ถึงตอนนั้นเจ้าต้องมานะ’ แล้วก็ลุกขึ้นบอกลา

จ้าวเซี่ยวส่งเขาถึงหน้าประตูด้วยตนเอง พอหันตัวจึงเห็นว่าต้นไม้ใหญ่ที่ไม่กี่วันก่อนยังกิ่งสีน้ำตาลและใบร่วงโกร๋นในความทรงจำของเขาแตกใบอ่อนสีเขียวออกมาสองสามใบแล้ว

ในที่สุดอากาศหนาวในฤดูใบไม้ผลิของเมืองหลวงก็สิ้นสุดลงแล้ว

ขุนนางที่มารายงานการปฏิบัติงานที่เมืองหลวงต่างก็ทยอยกลับไปยังสถานที่ที่รับราชการอย่างต่อเนื่องแล้วเช่นกัน

เมืองหลวงค่อยๆ กลับคืนสู่ความวุ่นวายและความเงียบสงบเช่นเดิม

หลังจากงานในราชสำนักสิ้นสุดลงชั่วคราว เรื่องฮ่องเต้แต่งตั้งฮองเฮาก็ถูกเอ่ยถึงในวาระการประชุมแต่ละวัน

ดังนั้นจ้าวอี้จึงว้าวุ่นใจมาก

เขาอยากตั้งเจียงเซี่ยนเป็นฮองเฮา แต่เฉาไทเฮาเตือนเขาว่า หากเขาตั้งเจียงเซี่ยนเป็นฮองเฮา นางจะสั่งให้คนสกุลฟางกับจ้าวสี่ฆ่าตัวตาย

ทว่าจะให้เขาแต่งงานกับคนอื่น เขาก็ไม่อยาก

แล้วจะปล่อยให้เจียงเซี่ยนแต่งงานกับจ้าวเซี่ยวไปแบบนี้งั้นหรือ?

จ้าวอี้ยิ่งคิดก็ยิ่งวุ่นวายใจ จึงไปพบเจียงเซี่ยนที่วังฉือหนิงเสียเลย

หลายวันนี้เจียงเซี่ยนก็จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเช่นกัน

นางกับจ้าวเซี่ยวต่างมาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง และนางยังไม่ได้เข้าพิธีปักปิ่น เตรียมสินเดิมหลายปีก็ไม่ถือว่านานนัก ไว้นางดูแลไทฮองไทเฮาตอนที่สวรรคตแล้ว นางตามจ้าวเซี่ยวไปฝูเจี้ยนอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้

นางเป็นคนมาสองชาติ ยังไม่เคยออกจากเมืองหลวงเลย ฝูเจี้ยนไกลขนาดนั้น ไปอยู่ที่ใหม่และไม่คุ้นเคยกับทุกสิ่งทุกอย่าง หากจ้าวเซี่ยวรังแกนาง นางหาผู้ช่วยไม่ได้สักคนด้วยซ้ำ หรือว่าก่อนแต่งงานต้องคิดหาทางคุมกองกำลังติดอาวุธสองกองภายใต้ชื่อของจิ้งไห่โหวไว้ในมืองั้นหรือ?

ทว่าทำไมถึงไม่ทำล่ะ?

ในเมื่อนางแต่งงานกับจ้าวเซี่ยวก็จะต้องมีทายาทอย่างแน่นอน

หากหลี่เชียนทรยศก่อน ในมือของลูกนางมีกองทัพที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากันคนละฝั่งแม่น้ำกับหลี่เชียนหรือสุดท้ายไปพึ่งพาอาศัยหลี่เชียนต่างก็มีทุนของตนเอง ถึงเวลานั้นทุกหนทุกแห่งปรากฏวีรบุรุษขึ้นมาช่วงชิงอำนาจในการปกครองแคว้น ใครจะช่วงชิงบัลลังก์มาได้ก็ยังไม่แน่เลย?

เช่นนั้นในบรรดาคนที่เป็นสินเดิมของนางก็ต้องมีคนรับใช้ชายที่เดินทัพและจัดกำลังทหารเป็น

คนรับใช้ชายที่เดินทัพและจัดกำลังทหารเป็นนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ด้วยซ้ำ

มีทางเดียวก็คือยืมกำลังคนมาจากท่านลุง แสร้งทำตัวเป็นสินเดิมของนางและไปฝูเจี้ยนกับนาง

กองกำลังติดอาวุธสองกองของจวนจิ้งไห่โหวนั้น ลุงของนางจะต้องสนใจแน่

เช่นนั้นก็เตรียมการไว้ก่อน

ต่อให้ตระกูลเจียงไม่มีคนที่เหมาะสม ก็สามารถหาสักคนจากในเพื่อนเก่าของตระกูลเจียงได้

หากราบรื่น อาจจะสามารถรับช่วงต่อกองทัพเรือฝูเจี้ยนได้ด้วย

เจียงเซี่ยนอยากออกจากวังไปพบลุงของตนเอง และลองปรึกษาเรื่องนี้กับเขา

ตอนที่จ้าวอี้มา นางกำลังสั่งให้นางในเก็บกระเป๋าเดินทาง

เพราะอากาศหนาวในฤดูใบไม้ผลิ เดิมทีต้นเดือนสี่ก็ควรจะเปลี่ยนไปสวมเสื้อชั้นเดียวแล้ว ตอนนี้ทุกคนต่างยังสวมเสื้อสองชั้นที่บุซับใน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็สามารถเก็บเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาวได้แล้ว

จ้าวอี้หงุดหงิดมาก และเอ่ยว่า “คนที่ดูแลรับใช้ไปตายที่ไหนหมดแล้ว? ทำไมยังต้องให้เจ้าทำเรื่องพวกนี้ด้วยตนเองอีก?”

เจียงเซี่ยนมองเขาตาขวางทีหนึ่ง และเอ่ยว่า “ฝ่าบาทจะทรงทราบอะไร? นี่คือความสุข! ฝ่าบาทว่าเสื้อคลุมยาวที่ปักลายดอกสาลี่กับนกสาลิกาตัวนี้ของหม่อมฉัน งานปักสวยหรือไม่? เมื่อก่อนหม่อมฉันก็มีตัวหนึ่งเช่นกัน ปรากฏว่าเล็กแล้ว หม่อมฉันจึงให้กองพระภูษาตัดเสื้อคลุมยาวที่เหมือนกันตามแบบเดิมขึ้นมาใหม่อีกตัว เพียงแต่ขนาดแตกต่างกัน หม่อมฉันมีเจ็ดตัวแล้ว เวลาที่หยิบออกมาวางไว้ด้วยกันสนุกมาก หากหม่อมฉันไม่เห็น หม่อมฉันก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ตอนนี้หม่อมฉันให้พวกนางหาชุดนี้ออกมาให้หมดและเก็บไว้อย่างดี ไว้ตอนที่ลูกสาวของหม่อมฉันเกิด หม่อมฉันจะให้ลูกสาวของหม่อมฉัน เช่นนี้ถึงจะมีความหมาย!”

จ้าวอี้ได้ยินก็โกรธมาก และเอ่ยว่า “เจ้าได้เอาใจใส่ข้าหรือไม่กันแน่? หลายวันนี้ข้ากินไม่ได้นอนไม่หลับ เจ้าก็คิดแต่จะแต่งงาน? เจ้าอยากแต่งงานขนาดนี้เชียวหรือ? ระวังเถอะข้าจะเนรเทศจ้าวเซี่ยวไปอยู่กานซู่!”

“ตามพระทัยฝ่าบาท” เจียงเซี่ยนรู้ว่าเวลานี้ยิ่งนางแสดงออกว่าสนใจจ้าวเซี่ยว จ้าวอี้ก็จะยิ่งก่อกวนจ้าวเซี่ยว นางเอ่ยอย่างไม่แยแสสักนิดว่า “แต่งกับจ้าวเซี่ยวไม่ได้ แต่งกับจินเซียวก็ได้ หม่อมฉันชอบหนุ่มรูปงาม แบบนี้ลูกที่เกิดมาต้องหน้าตาดีอย่างแน่นอน”

จ้าวอี้ตกใจ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตนเองโง่ไปหน่อยที่โกรธเจียงเซี่ยน

นางเหมือนกับเขาจริงๆ

ไม่มีหญิงงามแบบนี้ก็หาอีกคน

หญิงงามในใต้หล้ามีมากมาย อย่างไรก็ต้องหาคนที่เข้าตาได้สักคน

เพียงแค่จ้าวอี้คิดว่าในสายตาเจียงเซี่ยนจ้าวเซี่ยวก็เป็นเพียงของที่มีไว้ชมเหมือนอย่างแจกัน ความโกรธที่เจียงเซี่ยนจะแต่งงานก็หายไปอย่างไม่สามารถอธิบายได้

เขาถึงกับรู้สึกว่าตนเองกับเจียงเซี่ยนสนิทกันมากขึ้นแล้ว

“เช่นนั้นทำไมเจ้ายังต้องเลือกจ้าวเซี่ยวอีก?” จ้าวอี้เอ่ย “ข้าคิดว่าจินเซียวเหมาะสมกว่า”

เช่นนี้ต่อให้จินเซียวถูกสวมเขาก็ไม่ต้องกล้าพูดอย่างแน่นอน

ไม่เหมือนจ้าวเซี่ยว แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นคนที่ไม่น่าคบหา หากเจียงเซี่ยนทำผิดคุณธรรมของสตรี เขารู้แล้วจะต้องทำให้ไม่มีทางสลัดหลุดได้อย่างแน่นอน

เจียงเซี่ยนคุยกับจ้าวอี้อย่างขอไปที “หม่อมฉันคิดว่าเขาพาออกไปมีหน้ามีตา”

จ้าวอี้ลองคิดดูแล้วก็จริง จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่อย่างนั้นข้าเลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็นจวิ้นอ๋องดีหรือไม่? แบบนี้พาออกไปก็มีหน้ามีตามากขึ้นแล้ว และก็มีแต่พวกอ๋องเจี่ยนที่สามารถวางท่าต่อหน้าเจ้าได้”

เจียงเซี่ยนแอบชมตนเองที่จิตใจเข้มแข็งพอ ไม่อย่างนั้นได้ยินจ้าวอี้เอ่ยเช่นนี้หากไม่เป็นลมหมดสติก็ต้องตกใจแทบตาย

“ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันแล้วกัน!” นางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็ต้องให้หม่อมฉันใช้ชีวิตกับเขาสักสองสามปีกระมัง? หากฝ่าบาทเพิ่งจะแต่งตั้งให้เขาเป็นจวิ้นอ๋อง แล้วเขาหย่ากับหม่อมฉัน จะไม่ทำให้เขาสบายโดยไม่ต้องลงแรงอะไรเลยงั้นหรือ”

“เช่นนั้นข้าจะยับยั้งสาส์นที่เขาขอให้แต่งตั้งเป็นซื่อจื่อเอาไว้ ทำให้เขาร้อนใจไปเปล่าๆ” จ้าวอี้คุยมั่วซั่วกับเจียงเซี่ยนอย่างเลื่อนลอยอยู่นานมาก และกลับไปอย่างอารมณ์ดี

แต่เจียงเซี่ยนกลับรู้สึกเหนื่อยมาก และอยากจะให้จ้าวอี้ตั้งฮองเฮาเดี๋ยวนี้ ถึงเวลานั้นนางผลักฮองเฮาออกมา ให้พวกเขาสองคนไปอวดฉลาดและหลอกกันเอง

นางก็จะได้พักเช่นกัน

ดังนั้นตอนที่เจียงลวี่เข้าวังมาชวนนางไปเล่นในหมู่บ้านใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองหลวงวันมะรืน นางจึงสนใจมากและถามว่า “ยังมีใครไปอีก?”

เจียงลวี่ยิ้มและเอ่ยว่า “จ้าวเซี่ยว จินเซียว เติ้งเฉิงลู่ พวกเฉาเซวียนก็ไป ข้ากลัวว่าผู้หญิงอย่างเจ้าจะอึดอัดที่อยู่ในกลุ่มพวกเรา จึงชวนคุณหนูไป๋แห่งจวนเป่ยติ้งโหวไปเป็นเพื่อนเจ้า”

“นี่ท่านอยากชวนข้าออกไปขยับตัวมากขึ้นหรือว่ามีแผนการอื่นกันแน่?” เจียงเซี่ยนยิ้มพลางหยอกพี่ชายของตนเองเล่น

เจียงลวี่หัวเราะเล็กน้อย และเอ่ยว่า “นี่ข้าก็ทำเพื่อน้องสาวของข้ามิใช่หรือ?”

เขาหยอกเจียงเซี่ยนกลับ

เจียงเซี่ยนท่าทางลำบากใจ

จ้าวเซี่ยวไม่อยู่พักฟื้นที่บ้านดีๆ ออกมาร่วมสนุกด้วยทำไม?

พอคิดถึงตรงนี้ นางก็คิดถึงหลี่เชียนอีกแล้ว

หลี่ฉางชิงออกเดินทางไปซานซีแล้ว อีกไม่นานเขาก็คงจะยุ่งเหมือนกันกระมัง!

เหตุการณ์ห่างกันหลายปี ต้องปราบพวกลูกน้องเก่าใหม่ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน

———————–