ตอนที่ 158 ปั้นไอดอลหมอจีน
หลิวไป๋ซิ่วเอ่ยกล่าวขึ้นคำหนึ่งด้วยทีท่าแสนน่าหลงใหล
“เฮ้ออ… น่าใจหาย! น่าใจหายจริงๆ!”
อาวุโสเหวินกล่าวต่อเจือน้ำเสียงโศกเศร้าใจว่า
“วิชานี้กลับยากเกินไป น่าเสียดายจริงๆที่เราไม่สามารถใช้มันได้”
“ถ้าเคล็ดวิชาอันแสนน่าทึ่งทั้งหลายสูญสิ้นไป นี่อาจจะเป็นจุดจบที่แท้จริงของศาสตร์แพทย์แผนจีน แต่โชคยังดีที่ยุคนี้ยังมีฉีเล่ยอยู่”
เป่ยฉวนเทียนยกมือขึ้นมาตบไหล่ฉีเล่ยและกล่าวว่า
“ฉีเล่ยหนทางข้างหน้าของเธอยังอีกยาวไกลนัก”
ฉีเล่ยพยักหน้ากล่าวตอบไปว่า
“ผมเข้าใจครับว่าพวกคุณหมายความว่ายังไงกัน และผมจะตั้งใจทำในจุดนี้ให้ดีที่สุด”
“ดีมาก ดีมาก”
เป่ยฉวนเทียนพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า เขาไม่รู้เลยว่า วันนี้ตนเองพูดคำว่า‘ดีมาก’ไปกี่ครั้งแล้ว
“ตราบใดที่เธอยังคงยืนหยัดต่อไป หากในอนาคตเกิดปัญหาอะไรก็บอกได้ตลอด พวกเราจะคอยสนับสนุนอัจฉริยะแห่งยุคอย่างเธอเอง”
“ขอบคุณอาจารย์เป่ย ขอบคุณอาวุโสเหวิน ขอบคุณอาวุโสหลัว ขอบคุณอาวุโสปิงมากครับ”
“ขอบคุณอะไร พวกเราก็คนกันเองทั้งนั้น”
อาวุโสเหวินโบกมือปัดทั้งยังกล่าวอีกว่า
“อ่อใช่แล้ว อีกไม่กี่วัน พวกเราจะมีการประชุมสัมมนาวิชาการของคณะแพทย์แผนจีนแห่งชาติ ในเมื่อตอนนี้เธอเคารพตาแก่เป่ยเป็นศิษย์แล้ว ถ้างั้นก็ไปเข้าร่วมงานด้วยกันเถอะ เธอเข้าร่วมกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับสูงของพวกเราได้เลย”
ฉีเล่ยเอ่ยถามกลับทันทีด้วยความสงสัยว่า
“งานประชุมสัมมนาที่ว่าหมายถึง…งานTCMที่เชิญตัวแทนของแต่ละมหาวิทยาลัยไปอธิปายใช่ไหมครับ?”
อาวุโสเหวินพยักหน้าตอบว่า
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว มีพวกตัวแทนจากแต่ละมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนไปกันด้วย เธอเคยได้ยินเรื่องนี้มาแล้วงั้นเหรอ?”
เวลานี้เอง ฉีเล่ยเริ่มรู้สึกแล้วว่า ตัวเองโชคดีอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ภายในสาขาแพทย์แผนจีนของมหาวิทยาลัยปักกิ่งได้จัดประชุมด่วน เนื่องจากต้องคัดเลือกอาจารย์ที่เหมาะสมเพื่อจะส่งไปเป็นตัวแทนในงานประชุมTCMระดับประเทศ ทว่าน่าเสียดายนักที่ไม่มีใครโหวตฉีเล่ยเลย
แต่ตอนนี้สถานการณ์กลับเปลี่ยนไปแล้ว ไม่เพียงแต่จะได้สิทธิ์เข้าร่วมงานประชุมในฐานะลูกศิษย์ของผู้เชี่ยวชาญเป่ยเท่านั้น แต่เขายังได้นั่งอยู่ในกลุ่มของผู้เชี่ยวชาญระดับสูงอีกด้วย!
คงเป็นเรื่องตลกน่าดู ถ้าพวกคนในมหาวิทยาลัยรู้ว่า เขาเข้าร่วมในฐานะผู้เชี่ยวชาญระดับสูง ทันทีที่เจอกันในงานคงเป็นการตบหน้ากันอย่างจัง
แม้ว่าจะเป็นคนที่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานประชุมเหมือนกัน แค่สถานะศักดิ์ระหว่างกลุ่มตัวแทนอาจารย์กับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับสูงกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และในมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งแห่งนี้ก็ยังไม่เคยมีอาจารย์ท่านใด ได้รับเชิญเข้าร่วมในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับสูงเลยสักคน
เดาไม่ออกเลยว่า ปฏิกิริยาของตาแก่ซงกับหัวหน้าคณะอาจารย์ซีจะเป็นยังไง ถ้าเห็นตัวเขานั่งอยู่ในห้องประชุมในฐานะ‘ผู้เชี่ยวชาญ’
เมื่อเผชิญหน้ากับคำเชื้อเชิญของอาวุโสเหวิน ฉีเล่ยก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกล่าวไปว่า
“ยินดีครับ เพราะผมถูกปฏิเสธในนามตัวแทนอาจารย์ของมหาวิทยาลัย”
“ดีแล้ว ความสามารถอย่างเธอไม่ควรเป็นได้แค่ตัวแทนมหาวิทยาลัย เดี๋ยวฉันไปคุยกับตาแก่อีกสองสามคนที่เหลือให้ ในงานประชุมวันนั้น เดี๋ยวฉันจะจัดเวลาให้เธออธิปายได้เต็มที่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญฉี เตรียมตัวให้พร้อมล่ะ”
อาวุโสเหวินกล่าวตอบ
“…”
ฉีเล่ยถึงกับพูดไม่ออกำ
เขายังจำประโยคหนึ่งได้ดีในหนังของโจวซิงฉือ
‘เพราะชีวิตมันมีขึ้นมีลงอยู่ตลอด มันถึงได้น้าตื่นเต้น’
ฉีเล่ยปฏิเสธคำชวนจากเป่ยจ้าวหยวนที่ช่วยไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน เนื่องจากติดสัญญาว่าจะดินเนอร์กับหลี่ถงซีในตอนเย็นนี้
ทันทีที่กลุ่มของฉีเล่ยและคนอื่นๆเดินลงมาชั้นล่าง พวกเขาก็พบกับกลุ่มนักข่าวฝูงใหญ่ที่วิ่งกรูกันเข้ามาพร้อมกับกล้องและไมโครโฟนครบมือ
“ปรมาจารย์เป่ย! ว่ากันว่าวันนี้มีคนมาท้าทายคุณจริงรึเปล่าค่ะ?”
“ปรมาจารย์เป่ย คุณคิดว่าระหว่างวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์กับวิชาห้าธาตุหยินหยางของคุณ วิชาใดรักษาได้ผลดีกว่าครับ?”
“ปรมาจารย์เป่ย ช่วยอธิบายความน่าอัศจรรย์ของวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ให้ทุกคนฟังทีค่ะ!”
“ปรมาจารย์เป่ยครับ! ใครกันคือผู้สืบทอดวิชาสามเข็มปาฏืหาริย์ที่หายสาปสูปไปกว่าหลายร้อยปี? อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายครับ? อายุประมาณเท่าไหร่ครับ??”
เป่ยจ้าวหยวนที่เห็นว่าฉีเล่ยหลบอยู่มุมมืดของแสงไฟและไม่ยอมแสดงตัวออกไปสักที เขาจึงอาสาก้าวตรงออกไปหน้าไมค์และชี้ปืที่ฉีเล่ยพร้อมประกาศก้องว่า
“เขาคนนี้คือทายาทผู้สืบทอดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ ฉีเล่ย!”
“….”
ดั่งคำว่า หินก้อนเดียวสร้างคลื่นน้ำกระเพื่อมไร้สิ้นสุด
เพียงเสี้ยวอึดใต่อมา ทั้งแสงแฟลชแสงไฟจากกล้องนับสิบดวงต่างสาดส่องเข้าให้หน้าฉีเล่ยโดยตรง พร้อมกับเสียงกดชัตเตอร์ดังไม่หยุดหย่อน
ฉีเล่ยไม่คิดไม่ฝันเลยว่า เป่ยจ้าวหยวนจะมาไม้นี้ ยังไม่ทันได้ตอบสนองใดๆได้ทัน ดวงตาคู่นั้นที่มองเข้าปะทะตัวกล้องกลับพร่ามัวทันทีจากแสงแฟลชต่างๆนานา จนแทบจะไม่สามารถลืมตาได้แล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับผู้ชนที่แห่แหนเข้ามามากมายขนาดนี้ จึงไม่รู้ทราบเลยว่าตนควรจะจัดการอย่างไรกับสถานการณ์ต่อไปนี้ดี โดยสัญชาตญาณ เขาก้าวถอยหลังออกไปหลายก้าวอย่างรวดเร็ว
ฉีเล่ยไม่เคยคิดเลยว่า วันหนึ่งตนจะกลายมาเป็นจุดสนใจของผู้คน รอบข้างถูกรอบล้อมไปด้วยนักข่าวกลุ่มใหญ่ที่จ้องตะครุบตัวตลอดเวลาเสมือนกับตัวเขาเป็นสัตว์ป่าหายาก
นี่คือราคาที่ต้องจ่ายของบุคคลที่มีชื่อเสียง
เหล่าคนดังมากมายล้วนถูกสื่อไล่ติดตามชีวิตอย่างเลี่ยงไม่ได้ สถานที่เดียวที่ปลอดภัยคือบ้าน
ฉีเล่ยไม่เพียงจะมีฝีมือทางการแพทย์แผนจีนที่ดีเลิศ แต่หน้าตาของเขาก็ยังหล่อเหลาอย่างมากอีกด้วย นี่ยิ่งทำให้กลายมาเป็นจุดสนใจของบรรดานักข่าวเข้าไปใหญ่
“คุณฉีครับ! คุณเป็นทายาทผู้สืบทอดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์จริงๆเหรอครับ?!”
“คุณฉีค่ะ ใครเป็นอาจารย์ของคุณกันแน่? ไม่ใช่ว่าวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ได้หายสาบสูญไปกว่าหลายร้อยปีแล้วไม่ใช่เหรอค่ะ? แล้วคุณไปศึกษาสิ่งเหล่านี้มาจากไหน?”
“คุณฉีค่ะ ดิฉันเป็นนักข่าวจากสำนักข่าวไซน่านิวส์ พอมีเวลามาสัมภาษณ์กับทางเราหน่อยได้ไหมค่ะ?”
“…..”
ปัญหานับร้อยพันเข้าถาโถมราวกับกระแสน้ำเชี่ยวในทันใด และรุนแรงซะจนปแทบจะกลบศีรษะของฉีเล่ยมิดอยู่แล้ว
สิ่งเดียวที่เขาเห็นต่อหน้า ณ ปัจจุบันคือ ไมค์จากทุกทิศทางที่จ่อปากของเขาอยู่พร้อมกับคำถามมากมายที่ปะปนกันจนฟังไม่ได้ภาษา
สติสัมปชัญญะของฉีเล่ยเริ่มเลือนลาง
ถ้าเขาจะมีหน้าตาหล่อเหลาเหมาะที่จะเป็นดารา แต่ตอนนี้เขายังไม่พร้อมที่จะเป็นมัน
จู่ๆความลับที่ถูกเป่ยจ้าวหยวนเปิดเผยออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว แน่นอนว่าสิ่งนี้ย่อมสร้างความประหลาดใจให้แก่สาธารณะชนอย่างยิ่งเสมือนระเบิดลงกลางเมือง
“ฉีเล่ย ยกโทษให้พวกเราด้วยนะ ฉันเองแหละที่เชิญนักข่าวพวกนี้มา ถ้าจะมีต้องมีใครสักคนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำศาสตร์แพทย์แผนจีนแห่งยุคใหม่ คงไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าเธอแล้ว”
ด้านหลังฉีเล่ย จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
แค่ได้ยินแบบนั้นฉีเล่ยก็ทราบได้ในทันทีว่า นั่นคือเสียงของอาจารย์เป่ย แม้บรรยากาศตอนนี้จะมีสุ้มเสียงมากมายดังเข้ามาปะปนกันมั่วซั่ว แต่น้ำเสียงชราและดูโอบอ้อมอารีนี้คงมีเพียงเป่ยฉวนเทียนเท่านั้น
ฉีเล่ยหันหน้าเหลือบมองไปที่เป่ยฉวนเทียนด้วยสีหน้าที่ขมขื่นไม่น้อยเลย
“อาจารย์เป่ย…ทั้งหมดเป็นแผนของคุณนี่เอง”
เป่ยฉวนเทียนไม่แม้แต่ปฏิเสธ ในทางตรงกันข้าม เขาเดินตรงเข้ามาตบไหล่ฉีเล่ยไปทีหนึ่งอย่างหนักแน่นและกล่าวว่า
“ฉีเล่ย พวกเราต่างแก่กันแล้วนะ แม้ตลอดที่ผ่านมาจะพยายามตั้งใจทำอะไรหลายๆอย่างเพื่อประโยชน์ของการแพทย์แผนจีน แต่ดูเหมือนว่ามันก็ยังไม่พอ ในเวลานี้พวกเรายังมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ก็เลยตั้งใจว่าจะใช้จุดแข็งตรงนี้ปั้นนายให้เฉิดฉายที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเธอควรคู่กับสิ่งเหล่านี้ที่สุดแล้ว ไม่มีใครสามารถมาทดแทนได้เลย หวังว่าจะยกโทษให้ฉันนะ”
ใช่แล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นฉีเล่ย เป่ยฉวนเทียนก็ได้วางแผนนี้เอาไว้แล้ว
ต้องสนับสนุนฉีเล่ย ต้องสนับสนุนฉีเล่ยให้ทั่วโลกต้องประจักษ์!
หากพยายามผลักดันอแพทย์แผนจีนหนุ่มสาวสักคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริงออกไปให้คนทั่วประเทศหรือระดับสากลได้เห็น แพทย์แผนจีนจะได้รับความสนใจจากทั่วโลกภายในระยะเวลาอันสั้น
ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยพยายามใช้วิธีผลิตยาจีนเส่งขายทั่วโลก เพื่อส่งเสริมการแพทย์แผนจีนให้กลับมาโด่งดังขึ้นอีกครั้ง แต่สุดท้ายมันก็ล้มเหลว
ในยุคปัจจุบันที่ผู้คนทั่วทั้งโลกนิยมเข้าโซเชียลมากกว่าเข้าห้องน้ำ พวกเขาจึงเปลี่ยนแปลงเป็นการสร้างไอดอลสักคนขึ้นมา บางทีผลลัพธ์ที่ได้อาจเกินจินตนาการ!
กุญแจสำคัญของการจะปั้นแพทย์แผนจีนสักคนให้เป็นไอดอลได้ก็คือ หนึ่งทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม อายุน้อย และหน้าตาดี ซึ่งทั้งหมดนี้ฉีเล่ยมีครบทุกข้อ และการจะปั้นไอดอลหมอจีนขึ้นมาให้โดงดังโลดแล่นทั้งในโลกจริงและในโลกโซเชียลก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป+
ในยุคปัจจุบัน ทั้งเด็ก ทั้งวัยรุ่นหนุ่มสาว ต่างชอบเอาดาราคนดังหรือบุคคลผู้มีเชื่อเสียงเป็นไอดอลและไล่ตามความฝันจะได้เป็นแบบคนพวกนั้นเข้าสักวัน
ไม่เพียงแค่ไอดอลเหล่านี้จะต้องตอบสนองต่อความต้องการเฉยเช่นหน้าตาเท่านั้น แต่จำเป็นต้องมีทักษะด้านอื่นๆอีกด้วย หากเป็นโดยทั่วไปคงร้องเล่นเต็มแสดงได้ แต่ฉีเล่ยสามารถรักษาคนไข้ให้หายขาดจากโรคร้ายแรงได้! ลองคิดดูสิว่ามันจะสุดยอดเพียงใด?
เป่ยฉวนเทียนต้องการปั้นไอดอลหมอจีนหนุ่มขึ้นมาสีกคน ตราบใดที่ฉีเล่ยสามารถทำหน้าที่ของเขาออกมาได้ดี และสามารถตอบรับตามตวามต้องการของเหล่าแฟนคลับได้ จะมีเด็กรุ่นใหม่อีกนับไม่ถ้วนมีเขาเป็นต้นแบบ และหันมาสนใจการแพทย์แผนจีนกันมากขึ้น
เพื่อการแพทย์แผนจีน! ย่อมต้องมีผู้กล้าเสียสละ! จงเจริญ!
ด้านหลังฉีเล่ย ปรากฏชายชราที่กำลังแสยะยิ้มอย่างมีชัย