บทที่ 135 กลับ (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 135 กลับ (1)
“ไปเถอะ รวบรวมข้อมูลของประมุขพรรคลู่ผู้นี้ให้ท่านผู้นำ พลังทำลายล้างที่น่ากลัวแบบนี้ ไม่มีทางเป็นคนธรรมดา ในร่างกายจะต้องมีเลือดตระกูลขุนนางอยู่แน่” จงอวิ๋นซิ่วที่ไม่ได้พูดอะไรมาโดยตลอดเอ่ยอย่างแช่มช้า

“เหตุใดเป็นไปไม่ได้!?” จางอู่หยาโต้ตอบ “มรรคายุทธ์เดิมก็เป็นการฝึกฝนที่ยกระดับความสามารถของตัวเอง จนถึงขีดจำกัดร่างกาย ถึงขั้นเหนือกว่าขีดจำกัดร่างกายอยู่แล้ว คนอ่อนแอที่กลายเป็นคนแข็งแกร่งสุดเปรียบปานเพราะมรรคายุทธ์ได้ก็เคยมีมา คนแข็งแกร่งทำไมจึงเก่งกาจกว่าเดิมผ่านมรรคายุทธ์ไม่ได้เล่า”

“แข็งแกร่งขนาดไหนก็ไม่อาจบรรลุถึงขั้นนี้” ก่วนเนี่ยนส่ายหน้า “ประมุขพรรคลู่มีพลังล้ำลึกไม่อาจหยั่งคาด สำหรับพวกเราเป็นทูตเขตแดนที่ร้ายกาจ เขาใช้เพียงความสามารถเล็กน้อย คนผู้นี้เกรงว่าจะเป็นบุคคลระดับเดียวกันกับท่านผู้นำแล้ว ไม่ใช่คนที่พวกเราจะคาดเดานินทาได้ ไปเถอะ กลับได้แล้ว”

“พวกเจ้านี่นะ! โง่เง่า!” จางอู่หยาโกรธจนเนื้อเต้น ไม่ว่าจะทบทวนอย่างไร ความสามารถที่ลู่เซิ่งแสดงออกมาก่อนหน้านี้ ก็เป็นสภาพหลังจากที่ยอดฝีมือระดับสูงสุดซึ่งฝึกฝนกำลังภายในและภายนอกพร้อมกันปล่อยออกมาโดยสมบูรณ์ ถ้าหากเป็นปรมาจารย์เอกะฟ้าที่รู้จักมรรคายุทธ์ดีมาเห็น ก็จะมองออกเช่นกันว่าลู่เซิ่งใช้วิชาแข็งกร้าวปราณภายในเพียงอย่างดียว ไม่มีพลังของอาวุธเทพศัสตรามาร หรือว่าพลังของภูตผีปีศาจแต่อย่างใด

สิ่งที่เขาใช้ คือพลังมรรคายุทธ์ที่แท้จริง!

“ข้าจะนำข่าวนี้กลับไป พวกตาเฒ่าในพันธมิตรจะต้องตกใจจนหุบปากไม่ได้แน่ ฮ่าๆๆๆ!” เขาหน้าแดง หัวเราะลั่น “นี่เป็นความหวังของมรรคายุทธ์! ข้ารู้อยู่แล้ว รู้อยู่แล้วว่าจะต้องมีคนแบบนี้! คนที่รวบรวมมรรคายุทธ์เป็นหนึ่งเดียวได้!”

“ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้ได้รับบุญคุณช่วยชีวิตครั้งหนึ่งของประมุขพรรคลู่ เรื่องในครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้รั่วไหล!” ก่วนเนี่ยนจับจ้องจงอวิ๋นซิ่วและคนอื่นๆ ในขบวน

“พี่ใหญ่วางใจ ครั้งนี้ความลับไม่หลุดแน่!”

“พวกเรากับจวนอู๋โยวเดิมมีแค้นถึงตาย ไม่อาจปล่อยให้รั่วไหลเด็ดขาด”

คนอื่นๆ พากันแสดงท่าที

“นอกจากนี้ ยังมีเรื่องคนทรยศผู้นั้น… เรื่องนี้ต้องรายงานท่านผู้นำ ในพรรคมีคนอย่าจางเผิงอยู่อีกหรือไม่ยังไม่แน่ ต้องตรวจสอบครั้งใหญ่!” ก่วนเนี่ยเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

จางเผิงรีบวิ่ง ต้นไม้และพุ่มหญ้าสีเขียวเข้มผ่านด้านข้างเขาด้วยความเร็วสูง แสงอาทิตย์รุ่งอรุณสาดลอดผ่านช่องว่างใบไม้ลงมา ส่องสว่างทั่วผืนป่า

เขาหอบหายใจ ใบหน้าแดงก่ำเพราะความพลุ่งพล่านใจ

“เจ้าเหมือนจะยินดียิ่ง ใช่หรือไม่”

อยู่ๆ เสียงที่สงบนิ่งก็ดังมาจากในป่าข้างทางด้านหน้าเขา

จางเผิงสีหน้าเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เกือบชนใส่ต้นไม้ รีบพลิกตัวเหยียบพื้นหญ้าหลายก้าว ค่อยทรงตัวได้

“ผู้ใด!?” เขาตวาดเสียงเฉียบขาด ดวงตาสอดส่องรอบๆ เคร่งเครียดอยู่บ้าง

เห็นกิ่งใบของพุ่มไม้เตี้ยบริเวณหนึ่งด้านหน้าถูกคนดึงออก เงาคนสองสายเดินออกมา

ด้านหน้าเป็นชายชราผมเผ้าหนวดเคราขาวโพลน ใบหน้าซูบตอบ ดั่งนักศึกษา บนหน้าผากมีเหงื่อเกาะพราว หายใจแรงอยู่บ้าง

เขากวาดตามอง ก่อนเบี่ยงตัว เผยให้เห็นคนด้านหลัง

จางเผิงพอเห็นคนที่สองโผล่มา สีหน้าพลันแตกตื่นหวาดกลัว

“ท่าน… ท่านไล่ตามข้าทันหรือนี่!?”

คนที่สองซึ่งเดินออกมา คือลู่เซิ่งที่เพิ่งแยกทางกับพวกกวนเนี่ยนและหลี่ซุ่นซี

เขายืนไพล่มือไว้ด้านหลัง พิจารณาจางเผิงผู้นี้ด้วยความสนอกสนใจ

“จะว่าไปก็บังเอิญ ผู้อาวุโสท่านนี้ในพรรคข้าถนัดวิชาสะกดรอยที่สุดพอดี แม้เจ้าจะเร็ว แต่เหลือร่องรอยไว้มากเกินไปแล้ว คิดไล่ตามไม่ยากเย็นนัก”

จางเผิงรู้สึกว่ามีเหงื่อผุดซึมทั่วร่าง ก่อนหน้านี้เขาแอบเห็นพลังของลู่เซิ่งแล้ว เพียงแค่หยุดนิ่งเตรียมชมละคร กลับนึกไม่ถึงว่าจะเห็นภาพที่น่าสะพรึงแบบนั้น

คนผู้นี้เป็นอสุรกายยักษ์ไร้สติห่มหนังมนุษย์ ฆ่าทูตเขตแดนเหมือนกับเหยียบขยี้มดสองสามตัว เหี้ยมหาญน่ากลัว

เขาใจเต้นโครมคราม ตอนนี้ไม่อาจไม่เค้นรอยยิ้ม

“ประมุขพรรคลู่ ท่านไล่ตามมาคิดทำอะไร ถ้าท่านอยากจะรู้ข้อมูลของจวนอู๋โยว ข้าจางเผิงแม้เป็นแค่พลทหาร แต่ก็ทราบเบื้องหลังส่วนหนึ่ง…”

ลู่เซิ่งยิ้มๆ บอกใบ้ให้ผู้อาวุโสเฉินไปก่อน ก่อนย่างเท้าเข้าหาจางเผิง

เขาช้ายิ่ง แต่ละก้าวมั่นคงไม่รีบร้อน แต่จางเผิงกลับไม่กล้ากระดิกตัว ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นความเร็วของลู่เซิ่ง นั่นเป็นระดับชั้นที่เขาไม่อาจต่อต้าน ดังนั้นทางรอดเพียงหนึ่งเดียวก็คือยืนรออย่างเชื่อฟังอยู่ที่เดิม

ผู้อาวุโสเฉินมุดเข้าป่า หายไปอย่างรวดเร็ว ในป่าเหลือแค่ลู่เซิ่งกับจางเผิงสองคน

“เจ้าลองว่ามา เจ้ารู้ข้อมูลอะไรบ้าง ถ้าน่าพอใจ ข้าพิจารณาละเว้นเจ้าได้” ลู่เซิ่งเดินไปหยุดห่างจากด้านหน้าจางเผิงหลายหมี่ ใช้สายตาเหมือนมองสัตว์ตัวน้อยพิจารณาอีกฝ่ายอย่างสนใจ

จางเผิงขนลุกทั้งตัว รู้สึกว่าตนเหมือนหนอนที่พร้อมถูกบีบตายทุกเวลา ไม่กล้าขยับเขยื้อน เหงื่อค่อยๆ ผุดซึม ไหลตามแก้มถึงคาง แล้วหยดลงไป รู้สึกคันๆ แต่กลับไม่กล้าเกา

“ข้า… ข้าๆ… ข้ารู้ว่า… จวนอู๋โยวมีสายลับหลายคนที่ซ่อนอยู่ในพันธมิตรบู๊ ข้าเป็นแค่หนึ่งในนั้น!” เสียงจางเผิงสั่นอยู่บ้าง สองตาจับจ้องลู่เซิ่ง หวาดกลัวจนเหมือนกับมีเถาวัลย์ไต่ขึ้นตามเท้าเขา มัดเขาไปทั่วทั้งร่าง ถึงขั้นพูดจาอึกอัก

“อ้อ? เล่าให้ข้าฟังซิ” ลู่เซิ่งตาเป็นประกาย นี่กลับเป็นของที่เขาจะเอาไว้ใช้แลกทรัพยากรคัมภีร์ลับกับคนของพันธมิตรบู๊ได้

จางเผิงกล่าวชื่อหลายชื่ออย่างตะกุกตะกัก ลู่เซิ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนทั้งสิ้น

ลู่เซิ่งตั้งใจจำ เดินวนรอบจางเผิงหนึ่งรอบ “มีแค่นี้หรือ”

“ข้า… ข้ายังรู้ว่า จวนอู๋โยวตอบรับข้าว่า หลังจากเรื่องราวจบลง จะให้เศษอาวุธเทพแก่ข้าชิ้นหนึ่ง! ข้า…”

“เศษอาวุธเทพหรือ” ลู่เซิ่งฉงน “นี่มันเป็นอะไร” เขาไม่ปกปิดว่าเขาไม่รู้จักของสิ่งนี้ ถามตรงๆ

“นั่นเป็นชิ้นส่วนของอาวุธเทพซึ่งเหลืออยู่หลังจากถูกทำลาย ผู้นำพันธมิตรบู๊ฉินอู๋เมี่ยนเป็นเพราะในร่างมีเศษอาวุธเทพชิ้นหนึ่งที่ใหญ่มาก ดังนั้นจึงรักษาพลังไม่ให้เสื่อมโทรมได้ตลอดเวลา ที่ท่านผู้เฒ่าฝึกฝนปราณภายในก็เพื่อหาเส้นทางการหลอมรวมที่ดีกว่าเดิม หาความเป็นไปได้ที่จะมาแทนที่พิธีกฎเกณฑ์!” จางเผิงรีบอธิบาย พอนึกถึงผู้นำฉินอู๋เมี่ยน ดวงตาเขาปรากฏความละอาย ต่อให้เป็นคนทรยศ ก็ยังคงเคารพในตัวอีกฝ่าย

“ข้าน้อยไม่หวังจะได้ชิ้นใหญ่ ขอแค่เศษเล็กๆ รักษาสายเลือดโลหิตของตัวเองไม่ให้เสื่อมโทรมก็พอ…” จางเผิงก้มหน้าเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ ถึงจะไม่ทราบว่าทำไมลู่เซิ่งถามเรื่องทั่วไปแบบนี้ แต่เขาก็พูดสิ่งที่รู้ทุกอย่าง

“นอกจากนี้เล่า” ลู่เซิ่งรู้สึกสนใจ ถามต่อ

จางเผิงสีหน้าสับสน กัดฟันส่ายหน้า

“ที่ข้ารู้มีแค่เท่านี้…”

เปรี้ยง!

ฝ่ามือข้างหนึ่งกระแทกใส่หน้าเขาด้วยกำลังอันมหาศาล

จางเผิงลอยหวือออกไป แผ่นหลังปะทะเข้ากับต้นไม้ใหญ่ กระดูกสันหลักส่งเสียงแตกหัก กลิ้งไปบนพื้นลุกไม่ขึ้น

อัก

เขาอ้าปากกระอักเลือด เยื่อดำบนร่างเพียงพริบตาเดียวก็ถูกฝ่ามือข้างนั้นฉีกออก หญ้าบนพื้นถูกเลือดที่มีพิษพันธนาการชโลม แห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว

ลู่เซิ่งชักมือกลับช้าๆ รอยยิ้มหายไปจากใบหน้า

“สวะ! ข้าอุตส่าห์ไล่ตามเจ้ามานาน ให้ข้อมูลข้าแค่นี้หรือ”

“ข้าน้อย… ข้าน้อย…” จางเผิงพยายามพูด แต่เป็นเพราะถูกตบหนักไป จึงกัดลิ้นขาดไปแล้ว เลือดเต็มปาก ฟังดูอู้อี้

“คิดอีกสิ คิดให้ดีๆ ข้าชอบฟังเรื่องใหม่ๆ ไม่ซ้ำเดิม” ลู่เซิ่งมองภาพนี้ พลันหัวเราะขึ้น “อย่าทำให้ข้าผิดหวัง” เขาย่างสามขุมเข้าหาจางเผิง

“ข้า… ข้า…” จางเผิงแสดงสีหน้าหวาดกลัว ขณะมองรองเท้าหนังกวางที่ค่อยๆ เข้าใกล้ของลู่เซิ่ง ทั่วร่างเขาสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม

“ลู่เซิ่ง เจ้าบังอาจนัก!”

ทันใดนั้นเสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังเขา

ลู่เซิ่งชะงัก จากนั้นค่อยๆ หันไปมองผู้มาด้วยรอยยิ้มประหลาด

“ก็นึกว่าใคร ที่แท้เป็นใต้เท้าผู้ประกอบพิธีที่น่านับถือของพวกเรานี่เอง”

เขามองไปที่ส่วนลึกกลางป่าอย่างสงบมั่นคง ที่นั่นไม่รู้มีเงาคนสายหนึ่งโผล่มาตอนไหน

เป็นชายชราผมขาวหูซ้ายแหว่ง จดจ้องเขาด้วยสีหน้าบูดเบี้ยว

“ถ้าไม่ใช่ข้าไม่วางใจ ตามมาเอง คิดไม่ถึงว่าการล้อมสังหารในครั้งนี้จะล้มเหลว เจ้าเป็นคนขัดขวาง!” เสียงผู้ประกอบพิธีดุจระฆัง สภาวะน่าเกรงขาม ถือกระบองสำริด สวมเกราะครึ่งตัวสีดำสนิท ปิดเพียงส่วนอก ลวดลายมังกรบนเกราะสมจริงราวมีชีวิต สะท้อนประกายเงินในแสงอาทิตย์

“ใต้เท้าผู้ประกอบพิธีทำไมพูดแบบนี้ ข้าน้อยก็แค่อยู่ว่างไร้เรื่องราว จึงมาพักผ่อนหย่อนใจเท่านั้น” ลู่เซิ่งยิ้มแย้ม

“พักผ่อนหรือ?” ผู้ประกอบพิธีมองจางเผิงที่หายใจรวยริน ดวงตาเคร่งขรึม “ข้าเดิมนึกว่าเป็นตระกูลซั่งหยางลอบขัดขวาง คิดไม่ถึงจะเป็นเจ้า”

เขาควงกระบองสำริดในมือช้าๆ รอบหนึ่ง ชี้ปลายไปที่ลู่เซิ่ง

“กระบองลายมังกรทองม่วงของข้าไม่ได้เห็นแสงมานานพอดี ใช้เจ้าเป็นธงเซ่นไหว้ก็แล้วกัน” กล้ามเนื้อทั่วร่างเขาค่อยๆ ขยับและขยายใหญ่ ขนสีขาวเส้นเล็กๆ ชั้นหนึ่งโผล่ขึ้นทั่วร่าง ร่างคล้ายกับใหญ่ขึ้นหนึ่งเท่า กระแสปราณขนาดหนาหลายสายวนเวียนรอบๆ พัดพุ่มหญ้าใบไม้ที่อยู่ใกล้ๆ จนสั่นไหว

“ใต้เท้าผู้ประกอบพิธีเข้าใจข้าน้อยผิดแล้ว ขัดขวางอะไรกัน ข้าน้อยงง” ลู่เซิ่งถามเบาๆ

“ยังเสแสร้งอีกหรือ” ผู้ประกอบพิธีสองมือกำกระบอง ผมขาวเริ่มยาวขึ้นด้วยความเร็วสูง พริบตาเดียวก็ยืดถึงระดับเอว ดวงตาเขาเป็นสีแดงฉานอ่อนๆ ร่างกายโค้งงอ กระบองสำริดที่ควงจนเป็นเงาหยุดลง ปลายข้างหนึ่งหยุดอยู่ข้างแก้ม อีกข้างชี้ไปมี่พื้นช้าๆ

“แต่ ไม่สำคัญแล้ว ไม่ว่าจะใช่เจ้าหรือไม่…”

ปลายกระบองสาดแสงสีแดงขึ้นจุดหนึ่ง

“มังกรขนด เก้าทบ!” ผู้ประกอบพิธีตวาด ประกายสีแดงที่ปลายกระบองแยงตา ปักใส่พื้นอย่างแรง

เปรี้ยง!

พื้นดินนูนขึ้นเป็นมังกรดินขนาดใหญ่ พุ่งเข้าใส่ลู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว

เงาต้นไม้สั่นไหว เศษหญ้าลอยว่อน ลู่เซิ่งไม่ทันโต้ตอบ ถูกมังกรดินสูงหนึ่งหมี่กว่าๆ กระแทกใส่แล้ว

ตูม!

ดินโคลนมากมายระเบิดตาม ห่อหุ้มลู่เซิ่งเอาไว้

ผู้ประกอบพิธีพุ่งร่าง ติดตามมาราวภูตพราย หวดฟาดกระบองใส่มังกรดิน

ตูม!

กรวดดินที่กระจายอึดใจเดียวถูกฉีกออก มือใหญ่สีเทาอมเขียวคู่หนึ่งป้องกันกระบองไว้ ฝุ่นขาวจางๆ ชั้นหนึ่งระเบิดขึ้นตรงจุดที่มือกับกระบองสัมผัสกัน กระแทกกรวดดินรอบๆ ออกไป

“พอดีเลย ข้าก็เหม็นขี้หน้าเจ้ามานานแล้วเหมือนกัน… มาเถอะ เข่นฆ่ากันสักรอบ!” ร่างกายในสภาพหยางโชติช่วงที่ดุร้ายใหญ่โตของลู่เซิ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้น เขาที่สูงเกือบสามหมี่ ยืนประจัญหน้ากับพวกผู้ประกอบพิธี ลักษณะปกติของมนุษย์ปลาสนาการไป

……………………………………….