บทที่ 133

เฉิงจินนั้นไม่ค่อยถูกใจพวกโรนินสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเจ้านายเขาไม่อะไรก็ช่างมัน และนอกจากชิวเจิ้นแล้วก็ไม่มีใครอื่นล่วงรู้เลยว่าถังหยินเคยเป็นนักฆ่ามาก่อน

การดื่มกับลู่ฟางทำให้ถังหยินรู้สึกผ่อนคลายมาก มันไม่เหมือนกับลูกน้องคนอื่น ๆ หรือแม้แต่การดื่มกับชิวเจิ้นเองก็ไม่ให้ความรู้สึกแบบนี้

ทุกคนนั่งดื่มกันจนใบหน้าเริ่มแดง ก่อนที่ถังหยินจะเริ่มถาม “สหายลู่ เจ้าพักที่ไหนหรือ ?”

อีกฝ่ายหัวเราะก่อนตอบกลับ “ข้าเพิ่งมาถึงที่นี่เอง ยังไม่มีที่ซุกหัวนอนเลย”

“ถ้างั้นสนใจจะมาพักที่จวนข้าไหมเล่า ?”

การได้รับคำเชิญแบบนี้ ทำให้ลู่ฟางกับสหายดีใจเป็นอย่างมาก ในฐานะของโรนินแล้ว พวกเขาต้องเดินทางไปทั่ว ไปนู่นมานี้ไม่หยุด ดังนั้นถ้าเกิดว่าได้พักในจวนของผู้ว่าเขตล่ะก็ มันย่อมเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย

เฉิงจินไม่ใช่คนเดียวที่เกลียดคนพวกนี้ ทุกคนเองก็หมั่นไส้พวกเขาพอตัว และถ้าเป็นไปได้พวกเขาก็ไม่อยากยุ่งกับคนเหล่านี้ถ้าไม่จำเป็น หากแต่ก็ไม่อาจขัดถังหยินผู้เป็นเจ้านายออกมาได้ตรง ๆ

“นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราเจอกัน จะให้ข้าไปพักที่จวนท่านมันก็กระไรอยู่ !”

ชายหนุ่มหัวเราะออกมา “พวกโรนินอย่างท่านนั้นไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรมิใช่หรือ ? แล้วจะกังวลอะไรกันเล่า มาที่จวนข้าเถอะ !”

แท้ที่จริงแล้วนั้น ถังหยินได้วางแผนเอาไว้ว่าจะยื้อกลุ่มคนพวกนี้ แล้วเอาเข้ามาเป็นพวกเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน

เมื่อได้ยินแบบนั้น ลู่ฟางจึงเงยหน้าแล้วหัวเราะ ก่อนยกจอกเหล้าขึ้นมา “ข้าล่ะซาบซึ้งใจท่านจริง ๆ ถ้างั้นข้าขอดื่มฉลองให้กับนายท่าน !”

ท้ายที่สุดแล้วกลุ่มของลู่ฟางทั้ง 7 คนก็ไปพักกันอยู่ในจวนของถังหยิน ด้วยการสนับสนุนของชายหนุ่ม พวกเขาจึงไม่ต้องเสียค่าที่พักและอาหารแม้แต่น้อย อีกทั้งหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัวมากขึ้นแล้ว พวกเขาก็ยังสามารถไปเที่ยวที่อื่นได้ด้วย งั้นแล้วทำไมพวกเขาจะไม่รับข้อเสนอนี้ไว้กัน ?

พวกโรนินนั้นไม่มีกฎตายตัว บางคนก็ชอบที่จะเดินทางไปทั่วโลก หากแต่บางคนก็เลือกที่จะภักดีกับใครบางคนจนกว่าพวกเขาจะพอใจ สำหรับกลุ่มของลู่ฟางที่เดินทางมานานและได้รับการต้อนรับอย่างดีจากถังหยิน มันก็ทำให้พวกเขาเริ่มคิดจะลงหลักปักฐานที่นี่

ไม่กี่วันต่อมา เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะไปไหน ถังหยินจึงได้เชื้อเชิญพวกเขาให้มาเป็นกลุ่มเดียวกัน

พวกเขามาอยู่ที่นี่และใช้เงินจับจ่ายใช้สอยมากมายจนเพิ่มงบประมาณโดยใช่เหตุ แต่ถังหยินไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะเขาใจบุญสุนทานอยู่แล้ว

ข่าวเรื่องนี้แพร่สะบัดไปอย่างรวดเร็ว ทำให้พวกโรนินมากมายเข้ามารวมตัวกันที่เมืองแห่งนี้และตั้งกลุ่มตั้งก๊วนกันเป็นที่เรียบร้อย จนถังหยินไม่อาจเมินเรื่องนี้ได้อีกต่อไป

เช้าวันต่อมา ฟานหมินเข้ามาหาถังหยิน

หลังจากพบกับ นางก็ตะโกนด้วยความไม่พอใจ “ถังหยิน ท่านต้องดูแลคนของท่านได้แล้วนะ พวกเขาบุกเข้าไปในพื้นที่ของข้าโดยที่ไม่มีเรื่องจำเป็น นี่มันหมายความว่าไงกัน !” พวกเขาเริ่มสนิทกันมากขึ้นเข้าไปทุกที จึงสามารถพูดคุยในลักษณะเช่นนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นและถามกลับ “พวกเขาไประรานเจ้าหรือ ? ใครกัน ?”

“เขาไม่ได้มาระรานข้า แต่คนของข้าต่างหากที่โดนระราน !”

ถังหยินยิ้มออกมาด้วยความผ่อนคลาย “ก็คนของพวกเจ้างดงามมากนี่นา หยวน ๆ ให้พวกเขาหน่อยเถอะ”

คนรับใช้ของฟานหมินเองก็นับว่าหน้าตาดีใช้ได้ หากแต่พวกโรนินก็ไม่สมควรที่จะทำแบบนี้เช่นกัน

นางกลอกตา “งั้นถ้าเป็นข้าล่ะ ?”

ถังหยินไม่เข้าใจคำถามนี้

“ถ้าเป็นข้า ท่านจะทำเช่นไร ?”

ชายหนุ่มตอบกลับอย่างไม่มั่นใจ “ข้า….”

ฟานหมินที่เหลืออดกับความงี่เง่าของชายหนุ่มจึงได้ตะโกนออกมา “พ่อคนโง่เอ้ย !”

ถังหยินมองเรือนร่างที่ฉุนเฉียวของฟานหมิน แล้วจู่ ๆ หัวใจของเขาก็เกิดร้อนรุ่มขึ้นมา

ฟานหมินเองก็เดาจากสายตาของเขาออก ดังนั้นนางจึงได้เอนตัวไปข้างหน้า

ความรักเกิดขึ้นได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นคนเถื่อนหรือคนมีฐานะเงินทองก็เกิดขึ้นได้

ทว่ามันก็ได้มีคนมาเคาะประตูขัดจังหวะพวกเขาเสียก่อน

“เข้ามาได้”

ถังซ่งรีบเปิดประตูเข้ามาทันที “นายท่าน แม่ทัพหลีบอกว่ามีคนนำข่าวสารเร่งด่วนมารอรายงานนายท่านที่ห้องโถงหลัก !”

ตอนแรกชายหนุ่มไม่พอใจที่พ่อบ้านแก่คนนี้เข้ามาขัดจังหวะ แต่เมื่อได้ยินว่าข่าวสารที่ส่งมานั้นสำคัญ เขาจึงพยักหน้าเข้าใจ “มีเรื่องสำคัญเสียแล้วสิ ข้าต้องไปก่อนนะ”

ใบหน้าของฟานหมินเขินอาย หากแต่นางก็ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความรู้สึกแบบนั้นไม่ขยับไปไหน

ถังหยินออกจากห้องนอนแล้วเดินไปยังห้องโถง ก่อนจะเห็นเข้ากับชายหนุ่มอายุ 20 ปี ที่แต่งกายในเสื้อหนังสัตว์เหมือนกับพวกคนเถื่อน

เมื่อเห็นถังหยินเดินเข้ามา ชายคนนี้ก็วางแก้วน้ำที่กำลังดื่มอยู่แล้วคุกเข่าให้

“เจ้าคือลูกน้องของแม่ทัพหลีหรือ ?” ใบหน้าของชายคนนั้นเต็มไปด้วยฝุ่น ทำให้เดาไม่ออกว่าเป็นใครกันแน่

“นี่คือตรากองทัพของข้าเองขอรับ” ชายคนนี้ยื่นตราประจำกองทัพตัวเองให้กับถังหยิน

มันคือตราประจำกองทัพเฟิงที่ถูกทำขึ้นมาเป็นพิเศษและมีลวดลายอันโดดเด่นสลักอยู่

ด้วยความที่ทั้งสองแม่ทัพอย่างหลีเทียนและอัยเจียนั้นไม่ถูกกันมากนัก พวกเขาจึงได้ทำการจัดตั้งชื่อและทำตราประจำหน่วยของตัวเองขึ้นมาโดยเฉพาะ นั่นก็คือหน่วยเนตรเวหาของหลีเทียน และหน่วยเครือข่ายใยพิภพของอัยเจีย

หลังจากมองมันด้วยความครุ่นคิด ถังหยินก็ยืนยันตัวตนของชายคนนี้ได้ในทันที เขาพูดขึ้นอย่างโล่งงอก “สถานการณ์ของพวกมันเป็นไงบ้าง ?”

“พวกมอร์ฟีสได้เกณฑ์ทหารมากกว่า 2 แสนนายกำลังเคลื่อนพลมาหาพวกเราขอรับ !”

ทหาร 2 แสนนาย ? ถังหยินเริ่มตัวสั่นที่ได้ยินแบบนี้

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินกองทัพจำนวนหลักแสนนาย ถ้าบอกให้ถูกก็คือการที่คนพวกนั้นรวบรวมไพร่พลได้มากขนาดนี้คงเป็นเพราะการกระทำที่พวกเขาก่อเอาไว้แน่

ถังหยินที่ได้สติจึงถามต่อ “ข้อมูลนี้เชื่อถือได้มากแค่ไหน ?”

ชายนักสอดแนมตอบกลับ “นี่เป็นข้อมูลสำคัญที่สุดดังนั้นเชื่อถือได้แน่นอนขอรับ !”

“เอาล่ะ เจ้าไปพักก่อน”

“ขอรับ ข้าน้อยขอตัวลา !” ชายคนนั้นตอบกลับแล้วเดินกลับออกไป

เมื่ออีกฝ่ายหายไปแล้ว ถังหยินก็พลันเรียกประชุมครั้งใหญ่ โดยให้พวกแม่ทัพทั้งหลายเข้ามาหารือที่ห้องโถงนี้

การประชุมครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีความวุ่นวายอันใดเกิดขึ้น และเมื่อได้รับคำสั่งมา พวกเขาก็ได้ทำการถ่ายทอดมันออกไปให้กับพวกลูกน้องใต้บัญชา

ระหว่างที่กำลังพูดคุยอยู่นั้น ถังหยินก็พลันกล่าวขึ้นมาเสียเฉย ๆ ว่า “แม่ทัพหลียังบอกมาอีกด้วยว่าพวกมอร์ฟีสมันยกทัพมากันมากกว่า 2 แสนนาย”

“หา ?” ทุกคนที่ได้ยินต่างก็ตกตะลึงที่ได้ยินคำว่า ทหาร 2 แสนนาย นี่มันไม่ใช่สงครามระดับเล็ก ๆ หรือการบุกปล้นสะดมกันแล้ว หากแต่นี่มันคือสงครามระหว่างดินแดน ! เช่นนี้แล้วพวกเขาจะปกป้องตัวเองได้ยังไงกัน ?

จางโจวรู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างมาก เขาพูดออกมาอย่างหวั่นเกรง “นายท่าน พวกมันมีกันมากถึงทั้งหมด 2 แสนนายเช่นนี้ แล้วพวกเราเอาชนะมันได้หรือขอรับ ? ข้าว่าพวกเราควรส่งจดหมายไปขอความช่วยเหลือจากทางเมืองหลวงนะขอรับ”

ถังหยินพยักหน้าและหันไปหาความเห็นจากชิวเจิ้นเพิ่มเติม

ถ้าพูดถึงการวางแผน เด็กหนุ่มคนนี้เก่งกาจกว่าเขาหลายขุม หากแต่เมื่อเห็นถังหยินหันมา ชิวเจิ้นกลับส่ายหัวแล้วกล่าว “ถ้าหากว่าเป็นเมื่อก่อนข้าก็เห็นด้วยที่เราจะทำเช่นนั้น แต่ในตอนนี้ ข้านั้นกลับคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องขอกำลังเสริมจากทางเมืองหลวงหรอก”