บทที่ 121 กูตู๋อ๋างคนนี้

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

กูตู๋อ๋างเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งที่ไม่อาจดูเบาได้ อายุน้อยกว่าชางหลางหลายปี เมื่อก่อนก็เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของชางหลาง เมื่อยามที่มีเขาอยู่ เถี่ยฉุยไม่มีทางเป็นทหารเบอร์หนึ่งข้างกายชางหลางได้เลย

สั่งสมประสบการณ์หลายปี ความสามารถของกูตู๋อ๋างค่อยๆ ไล่หลังชางหลางได้ นี่เป็นสาเหตุที่เขาได้กระโดดไปเป็นรองผู้ว่ากรมตำรวจ ตอนที่เขาปรากฏตัวออกมาเย่เทียนเฉินก็ได้ทำการประเมินเรียบร้อยแล้วว่า บนร่างของชายคนนี้มีกลิ่นไอความยุติธรรมอยู่ และมีกลิ่นไอของความหยิ่งทะนงในตัวเอง ทั้งยังมีความเผด็จการที่แข็งแกร่งอยู่ด้วย

เมื่อเจอกับการทำเป็นเล่นของเย่เทียนเฉิน ไม่เห็นตนเองอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย อย่างไรกูตู๋อ๋างก็ย่อมโกรธอยู่บ้าง ครั้งนี้เขาที่มีฐานะเป็นผู้นำระดับสูง เนื่องด้วยเรื่องตระกูลฉินที่เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมาก จึงได้มาจับเย่เทียนเฉินด้วยตัวเอง และยังนำทหารฝีมือดีพร้อมด้วยอาวุธปืนสิบกว่าคนมาด้วย ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินคนนี้ไม่เคารพกันเลยสักนิด ทั้งไม่ยอมไปกับตนเอง ดังนั้นกูตู๋อ๋างที่พลันโกรธขึ้นมา จึงใช้เท้าถีบประตูคฤหาสน์ตระกูลเย่จนปลิว

เย่เทียนเฉินย่อมไม่ยอมไปกับกูตูอ๋างต่อหน้าหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่แน่ เพราะเรื่องราวในครั้งนี้ร้ายแรงกว่าครั้งที่แล้วที่มีตำรวจเลวสองคนมาจับเขามากนัก จิตนาการได้เลยว่า กูตู๋อ๋างลงมือปฏิบัติการจับคนด้วยตัวเองนั้น อัตราความเป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องเช่นนี้เกรงว่าจะต่ำมาก หากไม่ใช่ว่าตระกูลฉินมีอิทธิพลยิ่งใหญ่ในเมืองหลวง ย่อมไม่อาจทำให้กูตู๋หลางลงสนามด้วยตัวเองได้โดยเด็ดขาด

เพื่อที่จะไม่ให้แม่ต้องเป็นกังวล ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงไม่สนใจคนของกูตู๋อ๋างกลุ่มนี้ ไหนเลยจะรู้ว่ากูตู๋อ๋างจะเป็นพวกอารมณ์ร้อนคนหนึ่ง ใช้เท้าถีบประตูคฤหาสน์ตระกูลเย่จนปลิว มีแนวโน้มว่าจะลงมือเพื่อจับเย่เทียนเฉินไปด้วยสูงมาก

“ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ไปกับพวกฉันซะ!” กูตู๋อ๋างจ้องเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วเอ่ยขึ้น

“ฉันก็จะพูดอีกครั้ง รีบควักแบงค์ออกมาสักหลายร้อยหยวนซะ ชดใช้ค่าประตูบ้านฉันมา” เย่เทียนเฉินพูดอย่างมีเอกลักษณ์

ได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน กูตู๋อ๋างก็ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดแล้วว่าเย่เทียนเฉินคนนี้กำลังล้อตนเองเล่น ทั้งยังมีอารมณ์ของการดูถูกอยู่ด้วย ตนเองที่เป็นผู้นำระดับสูงมาจับเขาด้วยตนเอง คนคนนี้ไม่เพียงไม่ให้ความร่วมมือ กลับจะให้ตนเองชดใช้ค่าเสียหายที่ถีบประตูพัง นี่ไม่ใช่ว่าจงใจหาเรื่องหรอกหรือ?

“ในเมื่อนายต่อต้าน งั้นฉันก็ทำได้แค่ใช้กำลังแล้ว!”

ในขณะที่พูด กูตู๋อ๋างก็กำหมัดแน่น ปรากฏรอยยิ้มมั่นใจบนใบหน้า ช่วงนี้เย่เทียนเฉินก่อเรื่องจนเมืองหลวงโกลาหลไปหมด เรื่องราวเกี่ยวกับเย่เทียนเฉิน เขาเองก็ได้ยินมาบ้าง ล้วนแต่กล่าวกันว่าลูกหลานไม่เอาไหนของตระกูลเย่ผู้นี้ มาวันนี้ได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ฝีมือและความสามารถก็เพิ่มขึ้นมาก กระทั่งอู๋เสวี่ยนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงก็ไม่ใช่คู่มือของเย่เทียนเฉิน จะอย่างไรนี่ก็ทำให้กูตูอ๋างไม่พอใจอยู่บ้าง

ไม่ต้องพูดถึงทั่วทั้งประเทศจีน สำหรับสังคมเมืองหลวงแห่งนี้ ความสามารถของกูตูอ๋างนับว่าอยู่ลำดับต้นๆ สามารถเทียบเคียงได้กับชางหลางที่เป็นหนึ่งในสามนักรบราชันแห่งประเทศจีน จิตนาการได้เลยว่าแข็งแกร่งขนาดไหน การต่อสู้ของเย่เทียนเฉินกับชางหลางยังไม่ทันได้สู้ ตกลงว่าชางหลางแข็งแกร่งขนาดไหน จะสามารถเอาชนะเย่เทียนเฉินได้หรือไม่นั้น ก็ยังไม่อาจรู้ได้ เพียงแต่จากการประเมินของเย่เทียนเฉิน ชางหลางนั้นแข็งแกร่งมากอย่างแน่นอน แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่กระทั่งเขาก็ไม่อาจมองออก

“งั้นก็ต้องดูว่านายจะเก่งพอรึเปล่า…” เย่เทียนเฉินเองก็พูดขึ้นอย่างจริงจัง

“โอหัง!”

คำพูดของกูตู๋อ๋างเพิ่งออกจากปาก หมัดก็ต่อยไปยังเย่เทียนเฉินแล้ว เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ไม่ได้รับเข้าไปตรงๆ แต่เอี้ยวตัวหลบครั้งหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็ใช้เท้าขวาเตะกวาดออกไปตามแนวขวาง บังคับให้กูตู๋อ๋างออกไปนอกประตูคฤหาสน์ แล้วพุ่งออกไปทั้งตัว

สำหรับเรื่องที่กูตูอ๋างใช้เท้าถีบประตูจนพัง และเคาะประตูบ้านอย่างรุนแรงนั้น เย่เทียนเฉินเองก็รู้สึกโกรธอยู่ในใจ เมื่อก่อนอาจจะมีคนที่กล้าทำเช่นนี้ แต่ตอนนี้เขากลับมาแล้ว มีเขาอยู่ย่อมไม่อนุญาตให้ใครก็ตามมารังแกตระกูลเย่ ยิ่งไม่อนุญาตให้ใครก็ตามมาดูหมิ่นคนในครอบครัว ดังนั้นเขาจึงบังคับให้กูตูอ๋างออกไปนอกคฤหาสน์ก่อน เพราะกลัวว่าถ้าสู้กันข้างในต่อไปจะทำให้ข้าวของเสียหาย

เงาคนทั้งสองสายอุบัติขึ้น กูตู๋อ๋างถอยออกมานอกคฤหาสน์ตระกูลเย่จนมาถึงบนสนามหญ้า เย่เทียนเฉินก็ตามไปติดๆ ในเมื่อกูตูอ๋างต้องการใช้กำลังจับเขาไป เย่เทียนเฉินก็จะไม่เกรงใจ มาเตะประตูบ้านจนพัง นี่ไม่เพียเป็นปัญหาเรื่องการชดใช้ แต่ยังเป็นการทำลายความน่าเกรงขามของตระกูลเย่อีกด้วย ความเป็นธรรมนี้เย่เทียนเฉินจะเอากลับมาแน่นอน

ทหารฝีมือดีพร้อมด้วยอาวุธปืนสิบกว่าคนที่ยืนอยู่บนถนนข้างคฤหาสน์เห็นดังนั้นก็รู้สึกตะลึง พวกเขาไม่คิดเลยว่าไอ้หนูตระกูลเย่ เย่เทียนเฉินคนนี้ จะถึงกับกล้าลงมือกับกูตู๋อ๋าง นอกจากนี้ดูไปแล้วก็ไม่ได้เสียเปรียบเสียด้วย พริบตาเดียวก็สู้กับกูตู๋อ๋างอย่างดุเดือดไปหลายกระบวนท่า

ผัวะ!

กูตู๋อ๋างและเย่เทียนเฉินปะทะหมัดกันหนึ่งหมัด ทั้งสองต่างก็ถูกแรงกระแทกจนถอยไปหลายก้าว ยามนี้ในใจของกู๋อ๋างสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก ฝีมือของเย่เทียนเฉินถึงกับแข็งแกร่งระดับนี้เชียว ไม่ด้อยไปกว่าตนที่ลงมืออย่างดุเดือดเต็มกำลังเลยแม้แต่น้อย การประมือกันระหว่างพวกกเขาสองคนเมื่อสักครู่นี้ ล้วนเป็นการปะทะด้วยกำลัง ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวที่พลิกแพลงอะไรมากมาย นี่เป็นการสู้กันโดยอาศัยเพียงความสามารถที่แท้จริงของตน

ส่วนเย่เทียนเฉินนั้นในใจก็มีการตัดสินอย่างลึกล้ำมากขึ้น ความสามารถของกูตู๋อ๋างไม่ด้อยไปกว่าชางหลางแน่นอน คนคนนี้ยังไม่ได้ใช้พลังจำพวกพลังภายใน ในส่วนของการเร่งเร้าพละกำลังและความเร็วนั้น ความสมดุลของกายเนื้อเพียงอย่างเดียวของตนในตอนนี้ ยังด้อยกว่าเขานิดหน่อย

“ข่าวลือในเมืองหลวงที่ว่า เย่เทียนเฉินลูกหลานไม่เอาไหนของตระกูลเย่ ได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน กลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีฝีมือไม่ธรรมดาคนหนึ่ง ท่าทางข่าวลือจะไม่ได้โกหก!” กูตู๋อ๋างมองเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยขึ้น

“นายเคยเป็นทหารของชางหลาง ช่างไม่ยุติธรรมกับนายเลยจริงๆ หรือพูดได้ว่า ด้วยเวาลาไม่กี่ปีมานี้นายก็ได้กลายเป็นหัวหน้านับว่ารวดเร็วมาก แต่ด้วยสิ่งที่นายแสดงมาในตอนนี้ ยังไม่พอที่จะพาฉันไปหรอกนะ ลงมือเต็มที่มาเถอะ” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

กูตูอ๋างขมวดคิ้ว เมื่อครู่นี้เขาไม่ได้ลงมือเต็มที่จริงๆ เมื่อก่อนเขาเป็นทหารคนสำคัญของชางหลาง ตอนนี้ก็กลายเป็นผู้นำระดับสูงแล้ว ความสามารถของเขาในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปีนี้ มีการพัฒนาขึ้นมากจริงๆ ความสามารถของเขาแข็งแกร่งกว่านี้มาก หากต้องเร่งเร้าออกมาจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงที่ไหนไกล ต่อใหเป็นทั่วทั้งเมืองหลวง เกรงว่าคนที่จะสู้กับเขาได้คงมีเพียงไม่กี่คน

“ฉันไม่อยากลงมือเต็มกำลัง แต่ถ้านายกล้าต่อต้านการจับกุมจริงๆ ฉันก็จะลองคิดดู” กูตู๋อ๋างกล่าวอย่างเย็นชา

“ฉันปฏิเสธการจับกุมนี่ ลงมือเต็มกำลังมาเถอะ!” เย่เทียนเฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้มแล้วยักไหล่

ได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน สองตาของกูตู๋อ๋างก็กลายเป็นแดงก่ำราวเลือดอยู่บ้าง เริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมาแล้ว ตอนที่เขาเป็นลูกน้องของชางหลาง ตอนที่เป็นทหารคนสำคัญ เดิมทีก็เป็นคนที่คลั่งการต่อสู้คนหนึ่ง หลังจากที่ได้โยกย้ายไประดับสูง ก็มีโอกาสลงมือน้อยมาก สำหรับคนบ้าการต่อสู้อย่างเขา การที่ไม่มีการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่าน ทำให้เขาแทบบ้า ดังนั้นกูตู๋อ๋างจึงหาทางออกด้วยการวิ่งรอบสนามทุกวัน

ตอนนี้เย่เทียนเฉินดูหมิ่นตนเอง รวมกับฝีมือของเย่เทียนเฉินก็ไม่แย่ เมื่อสักครู่ที่ประมือกันอย่างดุเดือด ตนเองก็ไม่ได้ได้เปรียบเลยแม้แต่น้อย นี่ทำให้จิตวิญญาณการต่อสู้ในกายของกูตู๋อ๋างคึกคะนองขึ้นมาบ้างแล้ว วันนี้ในเมื่อเย่เทียนเฉินปฏิเสธการจับกุม เช่นนั้นเขาก็มีเหตุผลมากพอที่จะลงมือ

พลันนั้น เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะมองกูตู๋อ๋างระมัดระวัง เพราะบรรยากาศของคนคนนี้เปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ราวกับเป็นสัตว์ร้ายยุคดึกดำบรรพ์ตัวหนึ่งฟื้นคืนชีพขึ้นมา บนร่างแผ่บรรยากาศดุร้าย สั่นสะเทือนจนหญ้าบริเวณเท้าของเขาโบกสะบัดทั้งๆ ที่ไม่มีลมพัดผ่าน นี่เป็นการเร่งเร้าพลังภายในที่แข็งแกร่งอย่างหนึ่ง จึงสามารถสร้างปรากฏการเช่นนี้ได้ กระทั่งเย่เทียนเฉินก็ต้องถอนใจด้วยความตะลึง กูตู๋อ๋างคนคนนี้ช่างแข็งแกร่งดั่งคาด

เย่เทียนเฉินถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มือซ้ายแม้จะยังล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง แต่หมัดขวานั้นกำจนแน่นไปแล้ว กูตู๋อ๋างรีดเร้นพลังอันแข็งแกร่งออกมาขนาดนี้ เขาไม่กล้าลำพองใจ ไม่รู้ว่ากระบวนท่านี้ของกูตู๋อ๋างจะมีอำนาจแข็งแกร่งขนาดไหน จำเป็นต้องป้องกันสุดกำลัง

“หยุดมือ!”

ในตอนที่กูตู๋อ๋างเตรียมจะลงมือเต็มที่ เย่เทียนเฉินเองก็เตรียมสู้กับกูตู๋อ๋างเต็มกำลังนั้นเอง มีรถจี๊ปทหารคันหนึ่งจอดรถข้างถนน ชางหลางรีบลงจากรถเพื่อหยุดเย่เทียนเฉินและกูตู๋อ๋าง

“คุณมาทำไม?” กูตู๋อ๋างเห็นชางหลางมา ก็เก็บท่าทางการโจมตีกลับไปแล้วถามด้วยเสียงที่ค่อนข้างเย็นชา

“ฉันรู้ว่านายต้องการมาพาเย่เทียนเฉินไป แต่ท่านหยางมีคำสั่งลงมาแล้วว่าเรื่องของตระกูลฉินให้ฉันเป็นคนจัดการ เย่เทียนเฉินไปกับฉันซะ!” ชางหลางเองก็มองกูตู๋อ๋างแวบหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจแล้วเอ่ยขึ้น

เมื่อเห็นการสนทนาของกูตู๋อ๋างและชางหลาง เย่เทียนเฉินก็รู้สึกแปลกๆ เมื่อก่อนพวกเราสองคนเคยเป็นหัวหน้าลูกน้องมาก่อน กูตู๋อ๋างเป็นทหารคนสำคัญใต้บังคัญบัญชาของชางหลาง ความสัมพันธ์ของทั้งสองควรจะไม่เลวถึงจะถูก ทำไมถึงมีความรู้สึกเหมือนศัตรูคู่อาฆาตมาเจอกันล่ะ? นี่มันมีอะไรไม่ถูกต้องรึเปล่า!

กูตู๋อ๋างมองชางหลางแวบหนึ่ง แล้วก็มองเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง จึงค่อยเดินไปยังถนนด้านข้าง การจับกุมเย่เทียนเฉินครั้งนี้เป็นเฉินเซิงสั่งลงมาด้วยตัวเอง แต่ว่าด้วยตำแหน่งของเฉินเซิงไม่อาจสู้หยางอี้ที่เป็นระดับหัวหน้าได้ หรืออาจกล่าวได้ว่า ไม่ว่าตำแหน่งของเฉินเซิงหรือหยางอี้ก็ไม่คุ้มจะต่อต้าน เป็นข้าราชการในประเทศจีน ไม่อาจทำการล่วงเกินกันเช่นนี้ได้ ไม่มีความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย

“ชางหลาง ได้ยินว่าเย่เทียนเฉินท้าทายคุณ ถ้าผมเป็นคุณ จะต่อยเขาเขาให้น่วมเลย” กูตู๋อ๋างยิ้มเย็น พูดขึ้นข้างหูชางหลาง

“ฝีมือของเย่เทียนเฉินไม่ได้แย่อย่างที่นายคิด ฉันเตือนนายไว้ดีกว่าว่าอย่าไปหาเรื่องเขาง่ายๆ” ชางหลางมองกูตู๋อ๋างแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น

“เฮอะ งั้นเหรอครับ? คุณกลัวรึไง? ผมไม่กลัวหรอก ถ้าหากว่าคุณกลัว ก็เอาฉายาหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีนมาให้ผมเถอะ!” กูตู๋อ๋างแค่นเสียงเย็นแล้วพูดขึ้น

เมื่อเห็นว่ากูตู๋อ๋างเดินจากไปแล้ว ชางหลางก็ถอนใจครั้งหนึ่ง มองไปยังเย่เทียนเฉินที่สูบบุหรี่อยู่ไม่ไกลแล้วจึงเดินเข้าไป โชคดีที่เขารีบมา มิฉะนั้นกูตู๋อ๋างและเย่เทียนเฉินสู้กันขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าทั้งเมืองหลวงจะต้องมีข่าวใหญ่อีกครั้งแน่นอน

“ไปกับฉันเถอะ ท่านหยางต้องการพบนาย!” ชางหลางมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ต้องการพบผมอีกแล้ว ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะพบไปเหรอ? ผมอยากนอนอยู่บ้าน!” เย่เทียนเฉินเอ่ยแล้วหาวออกมา

“ไอ้หนูเรื่องคราวนี้ทำไว้ใหญ่โตมากเลยนะ ขนาดฉินอี้ก็ตายไปแล้ว นายต้องรู้ว่ามันร้ายแรงขนาดไหน ตอนนี้กระทั่งพวกระดับสูงในประเทศก็ช็อคกันหมดแล้ว เกรงว่าคราวนี้จะจบดีๆ ได้ยาก พวกเราอยากจะช่วยนาย!” ชางหลางพูดกับเย่เทียนเฉินเสียงเบา

…………………………………………..