ภาคที่ 2 บทที่ 145 พูดคุย

มู่หนานจือ

ทุกคนเดินไปข้างหน้าตลอดทาง พอออกจากป่าก็เห็นนาข้าวผืนหนึ่ง แต่เพราะอากาศจึงยังไม่ได้เริ่มการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ เห็นเพียงนาที่ไถดินไว้แล้ว ไม่เห็นพืชที่ปลูกทางการเกษตร และไกลออกไปนั้นก็เป็นป่าอีกผืน ซึ่งยังมองเห็นด้วยว่าถัดจากป่าไปเป็นคลองสายหนึ่ง

เจียงเซี่ยนนึกถึงการตกปลาที่จินเซียวเอ่ย

นางยิ้มและเอ่ยอย่างสนใจว่า “พวกเราไปดูกันเถอะ!”

หลิวตงเยว่รีบเดินเข้าไปยื่นมือให้เจียงเซี่ยนเกาะแขนของเขาเดินไปตามขอบคันดินอย่างระมัดระวังมาก

คลองกว้างเพียงหนึ่งจั้งกว่า ทว่ากลับใสแจ๋วจนสามารถมองเห็นหินไข่ห่านที่ปูอยู่ก้นคลองได้ สีน้ำตาล เหลือง เขียว ขาว แดง หลากสีสัน สวยงามมาก ริมฝั่งแม่น้ำก่อด้วยหินสีเทาก้อนใหญ่ สูงต่ำไม่เท่ากันดุจเกลียวคลื่น แถมยังมีศาลาที่ค่อนข้างใหญ่หลังหนึ่งอยู่ตรงต้นน้ำไม่ไกลนัก พื้นศาลาปูด้วยหินสีเทา ชักนำกระแสน้ำให้ไหลผ่าน โดยวางเป็นรูปแบบการละเล่นดื่มเหล้าจากจอกที่ไหลมาตามกระแสน้ำที่คดเคี้ยว[1]

นี่ก็ปลอมไปหน่อย

เจียงเซี่ยนอดที่จะถอนหายใจไม่ได้

หลิวตงเยว่รีบเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรก็มาจากตระกูลพ่อค้า จึงมีความรู้ไม่มากนัก ท่านหญิงไม่จำเป็นต้องเสียดายแทนเจ้าของที่นี่ หากท่านหญิงรู้สึกสนใจ ถึงเวลานั้นข้าจะสั่งให้พวกช่างชักนำน้ำพุร้อนและทำให้หินที่ถูกน้ำซัดลงมาในร่องน้ำระหว่างหุบเขาวางเป็นรูปแบบการละเล่นดื่มเหล้าจากจอกที่ไหลมาตามกระแสน้ำที่คดเคี้ยวเหมือนกัน”

ทุกคนดื่มเหล้าและแต่งกลอนข้างน้ำพุร้อนที่ควันโขมงหรือ?

เจียงเซี่ยนคิดแล้วก็รู้สึกว่าตลก จึงอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

หลิวตงเยว่เห็นเจียงเซี่ยนอารมณ์ดีขึ้น ก็แอบโล่งอก และเอ่ยว่า “ท่านหญิง อากาศเริ่มครึ้มแล้ว ท่านว่าพวกเรากลับไปก่อนดีหรือไม่ขอรับ อีกเดี๋ยวน่าจะต้องรับประทานอาหารเย็นแล้ว”

เจียงเซี่ยนคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ศาลานั้นตั้งอยู่สูง พวกเราไปดูกันเถอะ! น่าจะมองเห็นภาพทั้งหมู่บ้านได้ ถึงจะมองเห็นไม่ชัดทั้งหมด แต่ก็น่าจะมองเห็นได้ชัดว่าแถวนี้มีอะไรบ้าง พรุ่งนี้ข้าไม่อยากออกไปข้างนอกแล้ว ตอนเช้าตื่นมาเดินเล่นในสวนดอกไม้ด้านหลังกับจ่างจูแล้วกัน”

วันนี้พวกจินเซียวดื่มชากับเล่นไพ่ที่โถงบุปผา พรุ่งนี้เช้าจะต้องออกมาตกปลาอย่างแน่นอน นางก็ไม่ไปร่วมสนุกด้วยแล้ว

หลิวตงเยว่ยิ้มพลางพยักหน้า แล้วทุกคนก็ไปที่ศาลา

ศาลาเป็นอย่างที่เจียงเซี่ยนคาดไว้จริงๆ สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของหมู่บ้านได้บางส่วน

นอกจากบ้านที่ปิดบังและขับดุนกันและกันในพงไม้สีเขียวข้างหน้าแล้ว คลองเล็กก็ล้อมรอบหมู่บ้าน ฝั่งตะวันออกเป็นแปลงดอกไม้ เสียดายที่เห็นแต่ดอกไม้และต้นหญ้าเตี้ยๆ ไม่เห็นดอกไม้สด ส่วนฝั่งตะวันตกเป็นสนามฝึกวิทยายุทธ และยังมองเห็นคราดที่ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ด้วย

“น่าสนใจ!” เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่รู้ว่าในคอกสัตว์ข้างสนามฝึกวิทยายุทธนั้นเลี้ยงม้าไว้หรือไม่?”

ตั้งแต่ราชวงศ์นี้เริ่มทำสงครามกับชนเผ่าทางเหนือเป็นต้นมา การซื้อขายม้าก็ถูกควบคุมโดยราชสำนัก ต่อให้เป็นพ่อค้าใหญ่มีเงินก็ซื้อไม่ได้

ในหกศาสตร์ที่สุภาพบุรุษต้องเรียนรู้[2]นั้น การขี่ม้าและการยิงธนูเป็นเพียงสิ่งที่ผู้เรียนมากมายได้ยินมาตั้งนานแล้ว

หลิวตงเยว่ยิ้มและเอ่ยว่า “เจ้าของหมู่บ้านนี้ก็มีหัวคิดอยู่บ้าง”

เจียงเซี่ยนหัวเราะเสียงดัง และเอ่ยว่า “หลิวตงยเว่ ทำไมเจ้าเหมือนคนไม่มีความคิดเป็นของตนเองเลย ข้าพูดอะไรเจ้าก็ตอบตาม?”

หลิวตงเยว่ยิ้มอย่างเก้อเขิน และเอ่ยว่า “ก็เพราะข้าน้อยมีความรู้น้อยมิใช่หรือขอรับ? ท่านหญิงห้ามหงุดหงิดเด็ดขาด ตอนนี้ข้ากำลังหัดเขียนหนังสือกับแม่นมเมิ่งอยู่นะขอรับ!”

สาเหตุที่ไทฮองไทเฮาเลือกเมิ่งฟางหลิงเป็นนางในระดับสูงของวังฉือหนิง ก็เป็นเพราะเมิ่งฟางหลิงเป็นลูกหลานของเมิ่งจื่อ ค่อนข้างมีความรู้ สามารถร่างราชโองการ คัดลอกคัมภีร์ และจัดการจดหมายที่ติดต่อกันแทนไทฮองไทเฮาได้ แถมยังช่วยสอนการบ้านให้เจียงเซี่ยนได้ด้วย

เจียงเซี่ยนได้ยินก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง

นางไม่ได้รำคาญหลิวตงเยว่

ตรงกันข้าม นางยังชอบหลิวตงเยว่มากด้วย ไม่อย่างนั้นนางก็คงจะไม่ให้เขาช่วยทำงานให้นางครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน

ชาติก่อน เขารับใช้อยู่ข้างกายหลิวเสี่ยวหม่านตลอด เรื่องที่หลิวเสี่ยวหม่านเป็นโรคขา เขาก็เป็นคนคิดหาทางแจ้งให้นางทราบ ก็ถือว่าเขาใส่ใจและมีน้ำใจเช่นกัน

หลิวเสี่ยวหม่านรับลูกบุญธรรมอย่างเขาไว้ก็ไม่เสียหาย

เจียงเซี่ยนลุกขึ้นยืน และเกาะแขนที่หลิวตงเยว่ยื่นมา พลางเอ่ยว่า “พวกเราไปกันเถอะ!”

ทุกคนขานรับเสียงเบาว่า “ขอรับ/เจ้าค่ะ”

เจียงเซี่ยนเพิ่งจะเดินไปได้สองก้าว ก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างโดนตัวนาง

นางก้มหน้ามอง ใกล้เท้ามีไข่มุกอยู่เม็ดหนึ่ง

ไข่มุกนั้นขนาดเท่าเม็ดบัว นอนอยู่บนพื้นหินสีเทาที่สะอาดอย่างโดดเดี่ยว ดูไม่เหมือนมีใครทำตกไว้ที่นี่

และในขณะที่นางลังเล ก็มีไข่มุกอีกเม็ดตกลงใกล้เท้านาง

นางปรายตามองพวกฉิงเค่อที่อยู่ข้างหลังอย่างรวดเร็ว

ดูเหมือนจะไม่มีใครเห็น

นางมองหลิวตงเยว่อีกครั้ง

ทว่าม่านตาที่ควรจะเหลือบลงในเวลานี้ของหลิวตงเยว่กลับมองท้องฟ้าอยู่

นี่อยากจะปกปิดเรื่องราวแต่กลับเปิดเผยออกมาไม่ใช่หรือ?

เจียงเซี่ยนอยากจะหัวเราะมากทีเดียว

นางเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว เหยียบไข่มุกสองเม็ดไว้ใต้เท้า แล้วเอ่ยกับไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อว่า “พวกเจ้าไปรอที่ริมคลองก่อน ข้ายังมีเรื่องจะคุยกับหลิวตงเยว่อีกนิดหน่อย”

ฉิงเค่อพาเหล่านางในย่อตัวลงและขานรับพร้อมกัน แล้วออกไปจากศาลา

เจียงเซี่ยนมองหารอบด้าน

มีไข่มุกถูกโยนมาอีกเม็ด

เจียงเซี่ยนมองตามรอยไป ก็เห็นหลี่เชียนนั่งยองๆ อยู่ท่ามกลางกิ่งและใบที่เจริญงอกงามดีและเชื่อมต่อกันของต้นไม้โบราณอายุร้อยปีต้นหนึ่งริมคลอง

เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?

เขาควรจะอยู่ซานซีไม่ใช่หรือ?

เจียงเซี่ยนตกใจมากจนหน้าถอดสี และรีบมองไปรอบๆ

ถึงหลี่เชียนจะเก่งมาก ทว่าที่นี่มีจ้าวเซี่ยวที่ฝีมือเทียบเขาได้ เจียงลวี่ที่ฝีมือไล่เลี่ยกับเขา หวังจ้านที่เฉลียวฉลาดและมีความสามารถ เฉาเซวียนที่คิดอะไรรอบคอบมาก และบวกกับจินเซียวที่ดูเหมือนเปิดเผยตรงไปตรงมาแต่ฝีมือไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน…สำหรับหลี่เชียนถือว่าอันตรายมาก

แต่หลี่เชียนกลับทำอะไรบุ่มบ่าม แถมยังฉีกยิ้มให้นาง และโยนไข่มุกมาอีกเม็ด แล้วยังชี้ไปที่ใต้ต้นไม้

ความนัยที่แฝงในนั้นคือ ให้นางไปหา

เจียงเซี่ยนโกรธจนไม่รู้จะพูดอะไรดี อยากสะบัดแขนเสื้อและจากไป ก็กลัวว่าคนๆ นี้จะเจอปัญหาอะไรและจำเป็นต้องให้นางช่วยจริงๆ นางคิดแล้วก็สั่งหลิวตงเยว่เสียงเบา “เจ้าพาพวกฉิงเค่อไปรอแถวป่านั้น ข้าไปเดี๋ยวก็มา”

หลิวตงเยว่ไม่กล้าเหลือบมอง เขาขานรับว่า “ขอรับ” อย่างนอบน้อม และเดินออกจากศาลาอย่างรวดเร็ว

เจียงเซี่ยนไปริมคลองทางสะพานเล็กข้างศาลา

หลี่เชียนกระโดดลงมาจากต้นไม้

เจียงเซี่ยนตกใจมาก และเอ่ยติดกันว่า “ระวังหน่อย ระวังหน่อย!”

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ต้นนี้ไม่เท่าไรหรอก ต้นที่สูงกว่านี้ข้าเคยกระโดดมาไม่รู้ตั้งเท่าไร!”

เจียงเซี่ยนไม่เถียงเขา และเข้าเรื่องทันที “เจ้ามาหาข้ามีธุระอะไร? เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่ใหญ่กับจ้าว…ท่านพี่อาจ้านต่างอยู่ที่นี่ด้วย?”

หลี่เชียนยิ้มพลางมองนาง โดยไม่พูดอะไร สายตาลึกซึ้ง ท่าทางองอาจห้าวหาญ แตกต่างจากแต่ก่อนที่ทำอะไรตามใจชอบมาก ทว่าต่างกันตรงไหนนั้น เจียงเซี่ยนก็บอกไม่ถูกอีก

ใบหน้าของนางร้อนขึ้นมาอย่างไม่สามารถอธิบายได้ นางจึงหันหน้าไปทางอื่นอย่างฝืนเล็กน้อย

สายลมพัดผ่านหน้านางไปอย่างเงียบเชียบ กิ่งของต้นที่อยู่ข้างๆ พลิ้วไหวอย่างแผ่วเบา

หลี่เชียนเอ่ยเสียงเบาว่า “เป่าหนิง ข้าเจอปัญหาเรื่องหนึ่ง เจ้ายินดีช่วยข้าหรือไม่?”

เป็นคนมาสองชาติ ในความทรงจำของเจียงเซี่ยน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อเล่นของนางแบบนี้

เจียงเซี่ยนอยากตวาดด่าเขามาก ทว่าพอนึกถึงหน้าทะเล้นของเขา ก็รู้สึกว่าทำเช่นนี้ไปไม่มีประโยชน์สักนิด นางจึงค่อนข้างท้อแท้และขี้เกียจที่จะสนใจเขา พอเห็นเขายังคงสุขุมเยือกเย็นเช่นเดิม ก็คิดว่าหากเขาไม่ได้ก่อเรื่องใหญ่มากจนไม่มีทางแก้ไขเองได้ ก็คงใช้ปัญหาเล็กน้อยเป็นข้ออ้างมาเล่นลูกไม้ต่อหน้านางหน้าด้านๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง นางก็ต้องใจเย็นไว้ทั้งนั้น

นางอดที่จะทำหน้าจริงจังไม่ได้ และเอ่ยว่า “เจ้าก่อเรื่องอะไรอีกแล้ว?”

“เป่าหนิง!” แต่หลี่เชียนกลับเรียกชื่อเล่นของนางอีกครั้ง “เจ้าบอกข้าก่อนว่ายินดีช่วยหรือไม่!”

อาจจะเป็นเพราะไปกับบิดามาหลายที่มากตั้งแต่เด็ก ภาษากลางของหลี่เชียนจึงไม่ค่อยชัดนัก ตอนที่เขาเรียกนางนั้นหางเสียงทุ้มต่ำเล็กน้อย และลากคำบางคำ เหมือนเสียงเครื่องสายที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในอากาศ ทำให้เจียงเซี่ยนรู้สึกหน้าร้อนมากขึ้น

ทำไมอากาศถึงร้อนขนาดนี้?

“มีอะไรก็ว่ามา เรียกมั่วซั่วทำไม?” เจียงเซี่ยนอดที่จะโกรธไม่ได้ นางฝืนอดทนไว้ถึงไม่ใช้มือพัด และเอ่ยว่า “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่?”

————————————

[1] การละเล่นดื่มเหล้าจากจอกที่ไหลมาตามกระแสน้ำที่คดเคี้ยว คือ ในสมัยโบราณทุกปีเมื่อถึงเดือนสามตามปฏิทินจันทรคติของจีน ผู้คนจะมานั่งรวมตัวกันสองฝั่งลำธาร และปล่อยจอกเหล้าที่ต้นน้ำของลำธารที่คดเคี้ยวให้ไหลไปตามกระแสน้ำ หากจอกเหล้านั้นหยุดลงใกล้ใคร ผู้นั้นจะต้องเป็นคนดื่มและต่อกลอน

[2] หกศาสตร์ที่สุภาพบุรุษต้องเรียนรู้ ได้แก่ มารยาท ดนตรี ยิงธนู ขับรถม้า เขียนหนังสือ และคำนวณ