อาจเพราะเมื่อวานเป็นเรื่องของเมียน้อย วันนี้คนที่โทรเข้ามาเกือบทั้งหมดจึงระบายเกี่ยวกับเรื่องนี้
สามีมีเมียน้อยทำไงดี
อาถรรพ์เจ็ดปีทำไงดี
ถึงขนาดที่มีบางคนอยากหย่าเพราะสามีนอนกรนควรทำไงดี
เสี่ยวเชี่ยนเคยชินกับคำถามพวกนี้แล้ว รายการตอนกลางคืนผู้ฟังมักต้องการระบายปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ คนเราเวลาอารมณ์ดีมักไม่ค่อยอยากขอความช่วยเหลือจากใคร ตอนมีเรื่องรำคาญใจเท่านั้นถึงจะอยากโทรศัพท์ไประบาย
และเรื่องรำคาญใจส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวกับครอบครัว เสี่ยวเชี่ยนฟังจนชินชาไปหมดแล้ว แต่อวี๋หมิงหลางที่นั่งฟังอยู่ตลอดกลับกำลังครุ่นคิด
เขาเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าโรคหวาดกลัวการแต่งงานของเสี่ยวเชี่ยนมาจากไหน
เธอเกิดในครอบครัวที่มีความพิเศษ ด้วยความที่พ่อแม่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นส่งผลให้จิตใต้สำนึกของเธอต่อต้านการแต่งงาน
ถึงแม้หลังจากที่เจี่ยซิ่วฟางมีครอบครัวใหม่ชีวิตจะดีแล้วก็ตาม แต่เสี่ยวเชี่ยนก็ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ภาพความทรงจำของครอบครัวเธอหยุดอยู่ที่วัยเด็กที่มีแต่การทะเลาะเบาะแว้ง
พอโตขึ้นสาขาที่เรียนยังเกี่ยวกับด้านจิตวิทยา คนที่ต้องเจอล้วนมีปัญหาสารพันแตกต่างกันไป วันๆเจอแต่คนที่ครอบครัวมีปัญหา
ดังนั้นการที่เธอเกิดความวิตกกังวลกับหวาดกลัวการแต่งงานนั้นก็เป็นเรื่องปกติ อวี๋หมิงหลางยอมรับว่าตอนแรกที่เธอมีท่าทีเลี่ยงการแต่งงานเขารู้สึกไม่พอใจเท่าไร
หลังจากที่เขาไปหาข้อมูลในร้านหนังสือแล้วความไม่พอใจได้แปรเปลี่ยนเป็นปวดใจ โดยเฉพาะเมื่อกี้ตอนที่เขาลงไปซื้อน้ำได้ยินเจ้าหน้าที่ที่เข้าเวรสองคนคุยกันก็ยิ่งปวดใจมากขึ้น
เสี่ยวเชี่ยนจัดรายการเสร็จแล้วเดินออกมา เห็นเขายืนพิงประตูทำหน้าเหมือนกำลังคิดหนักจึงเอามือไปโบกข้างหน้าเขา
“มองอะไรอยู่น่ะ?”
“ลาออกเถอะ”
“ว่าอะไรนะ?” เสี่ยวเชี่ยนคิดว่าตัวเองฟังผิด
ผู้กำกับที่อยู่แถวนั้นแสร้งทำเป็นจัดเอกสาร แต่หูนี่ผึ่งเชียว
“ลาออก ถ้าคุณเกรงใจไม่กล้าไปบอกศาสตราจารย์หลิวงั้นผมคุยเอง”
เขาไม่อยากให้เธอทำต่อไปแล้ว
เขาฟังแค่นิดเดียวยังปวดใจ ทำงานเกี่ยวกับพวกนี้ทำให้จิตใต้สำนึกของเธอต่อต้านการแต่งงานยิ่งกว่าเดิม
“ทำไมถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ?”
เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้ว่ามีอะไรไปกระตุ้นเขา ตอนมาก็ยังดีๆอยู่ จัดรายการเสร็จกลับไม่อยากให้เธอทำแล้ว?
“กลับไปคุยกัน” อวี๋หมิงหลางไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อหน้าคนนอก
เสี่ยวเชี่ยนถามเรื่องนี้อีกครั้งระหว่างทางกลับ
“ทำไมอยู่ๆอยากให้ฉันลาออกล่ะ?
“เมื่อกี้ตอนผมลงไปซื้อน้ำได้ยินเจ้าหน้าที่สองคนคุยกัน พวกเขาพูดว่า…” พอนึกถึงเรื่องที่สองคนนั้นคุยกันอวี๋หมิงหลางก็หน้าเครียด
“พูดว่าอะไร?”
“ก่อนหน้านี้มีพิธีกรที่ทำรายการแนวๆจิตวิทยาคนหนึ่งของสถานีโทรทัศน์ฆ่าตัวตาย”
“เรื่องนี้ฉันก็ได้ยินมา เป็นพิธีกรคนก่อนๆหน้าฉัน เป็นคนดีมากเลยนะ น่าเสียดายอายุยังน้อยอยู่เลย”
อัตราการฆ่าตัวตายของพิธีกรรายการพูดคุยแนวจิตวิทยาค่อนข้างสูง
อันที่จริงไม่ใช่แค่พิธีกรแนวพูดคุยเท่านั้น อัตราการฆ่าตัวตายของจิตแพทย์ก็สูงเช่นกัน
“เลิกทำเถอะ ทำอะไรไม่ทำ จะต้องออกมาทำงานตอนดึก ไม่ใช่แค่รบกวนเวลานอนวันๆยังต้องมานั่งฟังปัญหาไร้สาระของคนอื่น” เดิมทีอวี๋หมิงหลางไม่อยากยุ่งเรื่องงานของเธอ แต่พอได้ยินว่ามีคนฆ่าตัวตายเขาก็อึดอัดใจ
เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าถ้านั่นเป็นเสี่ยวเชี่ยนเขาควรจะทำไง
“ฉันทำงานด้านไหนนายยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ? แพทย์คลินิกต้องเป็นผู้รับฟังปัญหาด้านต่างๆของจิตใจอยู่แล้ว ในรายการถือว่ามีแต่เรื่องไร้สาระไม่ได้ถึงกับเป็นโรคจิตเวช ดังนั้นอาจารย์ถึงได้ให้ฉันมาฝึกงานที่นี่ ต่อไปงานด้านให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยาที่ฉันจะทำหนักกว่านี้เยอะ ฉันทำแค่นี้นายยังไม่พอใจ อีกหน่อยฉันไปทำงานจริงๆแล้วนายจะทำไง?”
พอได้ยินเธอบอกว่าอีกหน่อยหนักกว่านี้ในสมองของอวี๋หมิงหลางก็ปรากฏวิธีฆ่าตัวตาย26แบบ เขาหน้าซีดรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก
เขารีบพูดแบบไม่ต้องคิด
“เลิกทำเถอะ ผมเลี้ยงคุณเอง”
เสี่ยวเชี่ยนมองเขาอย่างจริงจัง “เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกัน”
อวี๋หมิงหลางพอได้ยินน้ำเสียงเธอก็รู้ได้ว่าตัวเองพลาดแล้ว
“ผมก็แค่เป็นห่วงคุณ ถ้าทุกวันคุณต้องมาเจอแต่เรื่องในแง่ลบถึงขนาดที่ว่าส่งผลต่อการใช้ชีวิต แล้วทำไมยังทำอยู่?”
“งั้นนายก็กลับบ้านเถอะ ฉันเลี้ยงนายเอง งานของฉันต่อให้อันตรายกว่านี้ยังจะสู้นายได้เหรอ? ถ้าเป็นทหารหน่วยรบพิเศษมันร้ายแรงถึงขั้นนายอาจต้องเสียชีวิตแล้วทำไมนายยังเป็นอยู่?”
“มันไม่เหมือนกัน” อวี๋หมิงหลางเริ่มโมโหหน่อยๆ
“ตรงไหนไม่เหมือนกัน ทหารหน่วยรบพิเศษก็เป็นอาชีพที่ความเสี่ยงสูง อันตรายกว่าจิตแพทย์อย่างพวกเรามาก ถ้าจะให้เปรียบเทียบกันจริงๆ หลายอาชีพก็จัดอยู่ในประเภทความเสี่ยงสูงทั้งนั้น ถ้าเลิกทำเพราะมันอันตราย งั้นตำแหน่งงานที่ว่างอยู่จะทำไงล่ะ? นายคิดว่าอันตรายแล้วจับฉันใส่ขวดแก้วขังไว้ งั้นใครมาเป็นจิตแพทย์ล่ะ?”
“คุณอย่ามาเปลี่ยนประเด็น ที่ผมพูดกับคุณมันไม่ได้ความหมายนี้เลย ผมอยากให้คุณมีความสุขทุกวัน ไม่ใช่เครียดแบบนี้” เมื่อต้องเผชิญกับเหตุผลร้อยแปดของเธออวี๋หมิงหลางรู้สึกล้มเหลวนิดหน่อย แต่ยังคงยืดหยัดความคิดของตัวเอง
“ตรงไหนที่ฉันดูไม่มีความสุข? ฉันไม่ได้รู้สึกเครียดอะไร เรื่องที่เขาโทรปรึกษากันเป็นเรื่องง่ายๆสำหรับฉัน แล้วฉันก็ไม่มีทางเอาเรื่องที่ทำงานเก็บไปเป็นอารมณ์ที่บ้าน ดังนั้นนายไม่ต้องกังวลว่าฉันจะเหมือนกับรุ่นพี่ก่อนหน้านี้ที่เครียดจนเป็นโรคซึมเศร้า”
คุณไม่ซึมเศร้าแต่คุณกลัวการแต่งงาน คำพูดนี้อวี๋หมิงหลางพูดออกไปไม่ได้ ได้แต่โวยวายอยู่ในใจ
กลับถึงบ้านเขาไปซุปเปอร์มาร์เก็ต เสี่ยวเชี่ยนคิดว่าเขาไปซื้อถุงยางอนามัย แต่ก็คิดได้ว่าเมื่อเช้าเพิ่งซื้อไปทำไมยังจะซื้ออีก?
อ่อ เขาต้องรู้แน่เลยว่าพรุ่งนี้กับมะรืนนี้เธอได้หยุดเลยอยากทำหลายๆครั้ง?
ความคิดนี้ทำให้เธอเขินและก็แอบรอคอยเล็กๆ อวี๋เสี่ยวเฉียงไม่ใช่คนที่มีอยู่ท่าเดียว ลีลาแพรวพราวทุกครั้งมีเซอร์ไพร้ส์ไม่ซ้ำแบบ สำหรับเสี่ยวเชี่ยนที่ตอนนี้เครียดมาก บางทีนี่อาจจะเป็นวิธีคลายเครียดที่ดี
ปรากฏว่าเธอคอยเก้อ พอถึงบ้านอวี๋หมิงหลางไม่ได้ไปเล่นสนุกกับเธอในห้องน้ำเหมือนเมื่อวาน เสี่ยวเชี่ยนอาบน้ำเสร็จเตรียมตัวนอน รออยู่สักพักไม่มีวี่แววเขาจะเข้ามา ไปดูที่ห้องรับแขกเห็นเขายืนอยู่ที่ระเบียง เขาล้วงกล่องเล็กๆออกมา ซึ่งกล่องนั้นไม่ใช่ถุงยางอนามัยแต่เป็นบุหรี่
แทบไม่เคยเห็นเขาสูบบุหรี่เลย นี่มันเรื่องอะไรกันเขาถึงได้เครียดขนาดนี้?
เสี่ยวเชี่ยนยืนพิงประตูห้องนอนมองเขา อวี๋หมิงหลางจับราวระเบียงพลางสูบบุหรี่เงียบๆ แต่ในสมองกลับคิดเรื่องเธอ
เสี่ยวเชี่ยนคิดแล้วก็ไม่ได้เข้าไปรบกวนเขา เธอรู้ว่าผู้ชายทุกคนจะมีช่วงหนึ่งที่ชอบอยู่คนเดียว
สิ่งที่แตกต่างกันมากที่สุดระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงก็คือผู้หญิงเวลามีเรื่องในใจสิ่งแรกที่ทำคือไประบายกับเพื่อน ส่วนผู้ชายกลับชอบที่จะกลับเข้าโลกของตัวเอง ซึ่งมันเป็นเหมือนสวนแห่งความลับของพวกเขา ผู้ชายไม่ชอบพูดความในใจไม่ต้องการคำปลอบใจ เวลาที่พวกเขาเจอปัญหาสิ่งที่ต้องการก็คือบุหรี่กับพื้นที่ส่วนตัว
เสี่ยวเชี่ยนล้มเลิกความคิดจะเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนเขา เธอกลับไปนอนที่เตียง ตอนนี้เธอเองก็ต้องการพื้นที่ส่วนตัว
บางทีคำพูดที่ฉิวฉิวเคยพูดไว้อาจจะถูก ในจิตวิญญาณของประธานเชี่ยนมีความเป็นผู้ชายอยู่ บางครั้งความคิดของเธอคล้ายผู้ชายมาก
แต่คืนนี้ถึงเขาจะนอนอยู่ข้างเธอ ฝันร้ายที่หายไปหนึ่งคืนได้กลับมาอีกแล้ว เสี่ยวเชี่ยนตกใจตื่นจากความฝันลุกขึ้นมานั่ง เธอเห็นว่าอวี๋หมิงหลางยังไม่หลับ เขาจ้องเธอนิ่งๆซึ่งไม่รู้ว่าจ้องมานานเท่าไรแล้ว