พลังวิญญาณที่อวี้ฮ่าวหรานโคจรเข้าไปในร่างของเจ้าลูกกวาดมันเริ่มส่งผลให้สติปัญญาของมันเพิ่มขึ้นมากเรื่อย ๆ รวมไปถึงภายในร่างกายของมันเองก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

หลังจากผ่านไปราว 5 นาที แววตาของเจ้าลูกกวาดก็ดูสดใสขึ้น และตัวของมันก็ใหญ่ขึ้นอีกเล็กน้อย

การเปลี่ยนแปลงนี้หลี่หรงสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน

“พี่เขย…ทำไมจู่ ๆ เจ้าลูกกวาดมันถึงดูตัวใหญ่ขึ้นแบบนี้แล้วดวงตาของมัน..มันเหมือนกับว่ามันดูรู้ความมากขึ้นกว่าเดิม!”

หลี่หรงอุทานขึ้นพลางอุ้มเจ้าลูกกวาดมาดูใกล้ ๆ เธอมองสำรวจมันอย่างละเอียดซึ่งเธอก็เห็นว่าตัวของมันน่าจะใหญ่ขึ้นเล็กน้อย

“เอาล่ะทีนี้พวกเรามาลองสั่งมันอีกรอบกันดีกว่า รอบนี้มันน่าจะพอรู้เรื่องบ้างแล้ว”

อวี้ฮ่าวหรานพูดขึ้นพร้อมกับจับเจ้าลูกกวาดที่กำลังอยู่ในมือหลี่หรงเอามาวางลงตรงหน้า และเริ่มออกคำสั่งกับมันทันที

“ลูกกวาด นอนหงาย!”

“ว้าว!”

ถวนถวนตะโกนร้องด้วยสีหน้าตื่นเต้นเพราะคราวนี้หลังจากที่พ่อของเธอออกคำสั่ง เจ้าลูกกวาดทำตามในทันทีไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้เลย!

“พ่อจ๋า พ่อเก่งที่สุดเลย! ลูกกวาดฟังคำสั่งเราแล้ว!”

ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เขาเองก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ เขามั่นใจว่าเจ้าลูกกวาดตอนนี้ฉลาดขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัวแน่นอน ดังนั้นเขาจึงสั่งมันต่อ

“ลูกกวาดลุกขึ้นแล้วยืน 2 ขา!”

แน่นอนว่าเป็นอย่างที่อวี้ฮ่าวหรานคาดเอาไว้ เจ้าลูกกวาดทำตามคำสั่งได้อย่างเป็นธรรมชาติราวกับว่ามันเข้าใจภาษามนุษย์ 100%

“ลูกกวาดหมุนตัวเป็นวงกลม!”

“ลูกกวาดขอมือ!”

อวี้ฮ่าวหรานออกคำสั่งไปเรื่อย ๆ ซึ่งเจ้าลูกกวาดก็สามารถทำตามคำสั่งทั้งหมดได้ถูกต้องอย่างไม่มีปัญหาเลย!

“แม่หรงดูสิ เจ้าลูกกวาดมันฉลาดมาก ๆ เลย! มันฉลาดสุด ๆ ไปเลย!”

ถวนถวนตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“พี่เขย พี่ทำได้ยังไง?”

หลี่หรงมองอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าตกตะลึง นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไป แค่แตะหัวลูกหมาครู่เดียวก็สามารถทำให้ลูกหมาฉลาดขึ้นทันตาเห็นแบบนี้พี่เขยของเธอมีเวทมนตร์รึไงกัน?

“เอ่อ…อันที่จริงมันฉลาดอยู่แล้ว พี่ก็แค่…แตะหัวมันทำให้มันเชื่อฟังพี่มากขึ้นก็แค่นั้น…”

อวี้ฮ่าวหรานไม่รู้จะอธิบายยังไง หลี่หรงไม่มีวันเข้าใจแน่หากเขาพูดความจริงออกไปดังนั้นเขาจึงแต่งเรื่องขึ้นมา…

“พ่อจ๋า ให้หนู ให้หนูลองสั่งเจ้าลูกกวาดดูบ้าง!”

เมื่อเห็นว่าเจ้าลูกกวาดทำตามที่อวี้ฮ่าวหรานสั่งทุกอย่าง ถวนถวนก็เริ่มแสดงสีหน้ามีความหวังขึ้นมาอีกครั้งแตกต่างจากเมื่อครู่ที่สีหน้าของเด็กน้อยหดหู่อย่างชัดเจน

“ลูกกวาดนั่งลง!”

ครั้งนี้ในทันทีที่ถวนถวนออกคำสั่ง ลูกกวาดนั่งลงตามที่เด็กน้อยบอกทันที

“ฮ่าฮ่า ลูกกวาดฟังคำสั่งหนูแล้ว พ่อสุดยอดที่สุดไปเล้ย!”

จากนั้น ถวนถวนออกคำสั่งอีกหลายอย่างซึ่งเจ้าลูกกวาดก็ตามทำตามที่เด็กน้อยบอกอย่างว่าง่าย ซึ่งมันยิ่งทำให้ถวนถวนร่าเริงสุดขีด

ตอนนี้เด็กน้อยมั่นใจมากว่าเธอจะไม่อายเพื่อน ๆ ของเธอแน่นอนเมื่อเธอพาลูกกวาดออกไปแสดงที่โรงเรียน

หลังจากปล่อยให้ถวนถวนเล่นกับลูกกวาดไปได้พักใหญ่ หลี่หรงก็ดูเวลาซึ่งตอนนี้มันเป็นเวลาเข้านอนของถวนถวนแล้ว

“ถวนถวน พวกเราไปนอนกันดีกว่า” หลี่หรงลูบหัวถวนถวนและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“อื้ม!” ถวนถวนพยักหน้าด้วยสีหน้ามีความสุข

เมื่อเห็นว่าหมาของตัวเองเชื่อฟังมากขนาดนี้ ถวนถวนก็อารมณ์ดีจนไม่อิดออดต่อคำพูดของหลี่หรงแม้แต่น้อย

เช้าวันต่อมา อวี้ฮ่าวหรานแต่งตัวเรียบร้อยแล้วและพร้อมที่จะไปส่งถวนถวนไปโรงเรียน

แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ออกไป จู่ ๆ ที่ประตูทางเข้าก็มีเสียงเคาะดังขึ้น

ใครกันมาเคาะห้องตั้งแต่เช้า?

อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะเขาไม่ได้รู้จักกับคนแถวนี้สักเท่าไหร่ ดังนั้นมันไม่น่าจะมีเพื่อนบ้านคนไหนที่มาเคาะห้องเขาแบบนี้

ด้วยความสงสัยเขาจึงใช้เนตรเทวะมองออกไปที่อีกด้านของประตู ซึ่งเขาก็ได้เห็นว่าตอนนี้ที่หน้าห้องมีชายฉกรรจ์ร่างกำยำในชุดสูทสีดำ 7-8 คนยืนรออยู่ด้านนอก

อย่างไรก็ตาม สองคนในนั้นเป็นคนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาซึ่งก็คือโจวเฟยหู่ หัวหน้าแก็งค์พยัคฆ์เวหาที่เขาเพิ่งช่วยชีวิตไปไม่นานมานี้ และหวังเหยียนลูกน้องของโจวเฟยหู่

“ถวนถวน ลูกไปอยู่กับแม่หรงก่อนนะ”

ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะเป็นคนที่อวี้ฮ่าวหรานรู้จัก แต่จิตใจคนเรามันคาดเดากันยาก ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของถวนถวน เขาจึงให้ลูกสาวของตัวเองอยู่ห่างจากประตูเอาไว้ก่อนดีกว่า

อวี้ฮ่าวหรานค่อย ๆ เปิดประตู

โจวเฟยหู่เผยรอยยิ้มกว้างทันทีเมื่อเห็นว่าประตูเปิดออกและคนที่เปิดประตูก็เป็นอวี้ฮ่าวหราน

“ฮ่าฮ่า ที่นี่เป็นที่อยู่ของน้องอวี้จริง ๆ ด้วย! ฉันไม่นึกเลยว่าคนอย่างน้องอวี้จะสมถะขนาดนี้!”

ไม่เหมือนครั้งแรกที่เขาได้เจอกับอวี้ฮ่าวหราน คราวนี้เสียงของเขาไม่อ่อนแรงเหมือนคราวที่แล้ว เสียงหัวเราะและเสียงพูดของเขาดังลั่นไปทั้งชั้นเลยทีเดียว

“มีอะไรกันรึเปล่าทำไมถึงมาหาผมตั้งแต่เช้าแบบนี้?”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยถามขึ้นด้วยท่าทางระแวดระวังอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งทางด้านของโจวเฟยหู่ก็สังเกตเห็นเช่นกันดังนั้นเขาจึงรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว

“น้องอวี้ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดไป ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาสร้างปัญหา นายช่วยชีวิตฉันเอาไว้รอบที่แล้ว ดังนั้นการที่ฉันมาวันนี้ฉันมาเพื่อขอบคุณนายก็แค่นั้นเอง”

โจวเฟยหู่เหลือบมองเข้าไปด้านในห้องชั่วครู่หนึ่งในระหว่างที่พูด จากนั้นเขาก็ก้าวถอยหลังกลับไปอีก 2-3 ก้าวด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน

“ดูเหมือนว่าฉันคงมาในเวลาไม่เหมาะเท่าไหร่สินะ ฉันต้องขอโทษด้วยจริง ๆ น้องอวี้”

สิ่งที่โจวเฟยหู่เห็นแล้วทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนก็คือถวนถวนที่กำลังมองมาที่เขาและลูกน้องด้วยสายตาหวาดกลัว และลูกหมาที่กำลังยืนขวางหน้าประตูพร้อมกับเห่าพวกเขาไม่หยุด

“แม่หรง หนูกลัว…”

ถวนถวนเอ่ยขึ้นพร้อมกับกอดหลี่หรงแน่น

แน่นอนว่ามันไม่แปลกที่เด็กน้อยจะตื่นกลัว เพราะพวกของโจวเฟยหู่แต่ละคนล้วนมีหน้าตาที่ขึงขังดูไม่เป็นมิตรเลยแม้แต่น้อยถึงแม้ว่านี่จะเป็นสีหน้าปกติของพวกเขาก็ตาม

“อะแฮ่ม ดูเหมือนว่าพวกลูกน้องของฉันจะดูน่ากลัวไปหน่อยจนทำให้หนูน้อยกลัวซะแล้ว… เฮ้ ทำไมหน้าตาของพวกแกถึงได้ดูน่ากลัวแบบนี้ พวกแกช่วยทำหน้าทำตาให้มันน่าคบหาสักหน่อยจะได้ไหม!”

โจวเฟยหู่พูดกับอวี้ฮ่าวหรานก่อนด้วยท่าทางสุภาพ จากนั้นเขาหันกลับไปพูดเสียงต่ำใส่ลูกน้องตัวเอง

บรรดาลูกน้องของโจวเฟยหู่ที่โดยตำหนิต่างแสดงสีหน้าโง่งม พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไงดี

หัวหน้า! พวกเราเป็นแก็งค์ใต้ดินของเมืองฮ่วยอันนะ พวกเราควรทำตัวให้น่ากลัวสิถึงจะถูก!

และอีกอย่างหัวหน้าจ้างพวกเรามาทำให้ผู้คนเกรงกลัวไม่ใช่รึไง? ไหงตอนนี้มาบอกให้พวกเราทำหน้าตาให้น่าคบหาซะงั้น?

“รับทราบ!”

อย่างไรก็ตาม บรรดาลูกน้องของโจวเฟยหู่ก็ยังคงเชื่อฟังหัวหน้าแก็งค์ของตัวเองไม่ว่าคำสั่งของเขามันจะฟังดูน่างงงวยสักแค่ไหน

พวกเขาต่างพยายามยิ้มยิงฟันกันสุดฤทธิ์ ซึ่งสีหน้าของพวกเขามันไม่เป็นธรรมชาติเป็นอย่างมากจนกลายเป็นน่ากลัวกว่าเดิมซะอีก

โจวเฟยหู่เมื่อเห็นเช่นนี้เขาได้แต่ถอนหายใจยาว จากนั้นเขาโบกมือไล่ให้ลูกน้องของเขาทุกคนกลับลงไปรอที่หน้าตึก ซึ่งมันคงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้

หลังจากลูกน้องของเขาลงไปหมดแล้ว โจวเฟยหู่จึงหันกลับมายิ้มและพูดกับอวี้ฮ่าวหราน “น้องอวี้ อย่าถือสาฉันเลยนะ คือช่วงนี้มันมีคนตามล่าฉันอยู่ดังนั้นฉันจำเป็นต้องพาลูกน้องไปไหนต่อไหนด้วยตลอดเวลา”