ตอนที่160 วัยรุ่นหัวร้อน
เป่ยจ้าวหยวนยกนาฬิกาบนข้อมือขึ้นมาดูเล็กน้อย แล้วจึงประกาศเสียงดังว่า
“เอาล่ะทุกคน หมดเวลาสัมภาษณ์แล้วครับ จบแต่พียงเท่านี้ดีกว่า ไว้โอกาสหน้าฤกษ์งามยามดี คลีนิคตระกูลเป่ยของเรายินดีที่จะจัดงานสัมภาษณ์แบบนี้ขึ้นอีกในอนาคต
“เดี๋ยวก่อนค่ะ! เดี๋ยวก่อน! ดิฉันขอคำถามสุดท้าย!”
ปรากฏเป็นนักข่าวสาวที่เอ่ยปากชวนฉีเล่ยให้ไปสัมภาษณ์ในครั้งแรกสุด เธอรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับร้องตะโกนลั่นด้วยสีหน้าเป็นกังวล
เป่ยจ้าวหยวนหันศีรษะเหลือบมองนักข่าวสาวคนนั้นเล็กน้อย ก่อนจะหันไปหาฉีเล่ยเพื่อขอความยินยอม และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพยักหน้าอนุญาต เป่ยจ้าวหยวนจึงได้เอ่ยขึ้นยิ้มๆ
“เอาล่ะ คำถามสุดท้ายของวันนี้”
เมื่อนักข่าวสาวได้รับอนุญาตก็รีบเอ่ยปากถามขึ้นทันทีว่า
“คุณฉีคะ แพทย์แผนจีนที่ดิฉันเคยพบเห็นมา โดยส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่สวมใส่ชุดคอปกจีนหรือไม่ก็ชุดคลุมยาว ก็มักจะใส่ชุดไทเก๊กสไตล์ย้อนยุคไปเลย แต่ทำไมคุณกลับเลือกสวมสูทสีน้ำเงินแบบนี้ล่ะคะ?”
แต่เมื่อรู้ตัวว่าตนเองได้เอ่ยถามในเรื่องที่ไม่สมควรจะถามออกไปเท่านั้น นักข่าวสาวคนก็ได้เผยให้เห็นใบหน้าแดงระเรื่อที่เก้อเขินเล็กน้อย ก่อนจะพยายามพูดต่อให้จบ
“คือว่า…ถึงคุณฉีจะเป็นแพทย์หนุ่มหน้าตาดี แต่ดิฉันรู้สึกว่าคุณดูไม่ค่อยเหมือนแพทย์แผนจีนโดยทั่วไปสักเท่าไหร่…”
ฉีเล่ยครุ่นคิดเกี่ยวกับคำถามนี้อยู่สักพักจึงได้คลี่ยิ้มตอบกลับไปว่า
“อย่างแรกเลยนะครับ นี่เป็นความชอบส่วนบุคคล ไม่ว่าจะแต่งตัวดูดีหรือดูแย่ แต่มันก็เป็นสิทธิ์ของผมและผมเองก็ชอบที่จะใส่สูทตัวนี้ อย่างที่สอง เมื่อต้องเผชิญกับโลกภายนอก สิ่งที่สำคัญที่สุดกคือบุคลิกภาพ โดยเฉพาะกับยุคสมัยนี้แล้ว จะให้แต่งตัวด้วยชุดไท่เก๊กโบราณคงไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่นัก สู้แต่งตัวเรียบหรูดูมีฐานะแบบนี้จะดีกว่า อย่างน้อยผู้คนที่พบเจอผมจะได้รู้สึกยอมรับในความสามารถของผมได้ง่ายขึ้น”
เหลือบสายตามองลงไปยังเนคไทสีแดงบนหน้าอกของตนเอง ฉีเล่ยจึงได้กล่าวต่อว่า
“ผมไม่อยากให้ทุกคนมุ่งความสนใจกับปัญหาที่เปลือกนอกแบบนี้เท่าไหร่นะครับ สิ่งที่ผมอยากจะบอกทุกคนก็คือ ไม่ว่าภายนอกเราจะสวมใส่เสื้อผ้าแบบไหน แต่สิ่งที่อยู่ภายในจะยังคงเหมือนเดิม เฉกเช่นอักษรจีนทุกตัวที่ถูกสลักจำอยู่ในหัว จิตวิญญาณและสายเลือดของชาวจีนจะยังคงไหลเวียนอยู่ภายในนี้ครับ”
ทันทีที่พูดจบ ฉีเล่ยก็ยกมือขึ้นชี้ที่หน้าอกข้างซ้ายที่พยายามจะสื่อว่า ความเป็นจีนนั้นยังคงอยู่ภายในใจของเขาเสมอมา
แป๊ะๆๆๆ!!
เสียงปรบมือดังกึกก้องทั่วทั้งห้องประชุมทันที
…..
ฉีเล่ยยืนรอรถอยู่บริเวณสี่แยก ขณะที่เขากำลังจนยกมือขึ้นโบกแท็กซี่นั้น จู่ๆก็มีรถสปอร์ตAudi A4สีแดงแล่นเข้ามาจอดตรงหน้าเขา
เมื่อการะจกเลื่อนลงมา ก็เผยให้เห็นใบหน้าที่ดูบอบบางน่าทะนุถนอม
“คุณฉีคะ คุณจะไปไหนรึเปล่า? ให้ดิฉันไปส่งก็ได้นะคะ”
ฉีเล่ยรู้จักหญิงสาวคนนี้ และเธอไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากนักข่าวสาวที่เพิ่งถามเรื่องการแต่งกายของเขาไปเมื่อสักครู่ แต่ส่วนที่ว่าเธอชื่ออะไรนั้น เขาเองก็ไม่ทราบเช่นกัน
ฉีเล่ยโบกมือปฏิเสธและกล่าวตอบไปว่า
“ขอบคุณครับ แต่ไม่รบกวนดีกว่า”
ทว่านักข่าวสาวยังคงยืนกรานหนักแน่น และไม่ได้ออกรถหลังจากถูกปฏิเสธทันที เธอยังคงเอ่ยปากชวนต่อไปว่า
“ด้วยความยินดีค่ะ ไม่ได้รบกวนเลย บางทีเราอาจจะบังเอิญกลับทางเดียวกันก็ได้นะคะ คุณจะไปที่ไหนล่ะคะ?”
นักข่าวสาวคนนี้เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างใจกล้าพอควร กิริยาท่าทางที่เธอแสดงออกในตอนนี้ ดูคล้ายกับผู้ชายที่กำลังตามตื้อผู้หญิงอยู่เหมือนกัน
ในเมื่อถูกเชื้อเชิญถึงขนาดนี้ ฉีเล่ยก็ยากที่จะปฏิเสธเช่นกัน ท้ายที่สุดเขาจึงต้องจำยอมบอกจุดหมายปลายทางของตนเองออกไป
“ถนนหร่งซิ่ง ภัตตาคารอาหารฝรั่งไวโอเลต”
หลี่ถงซีเป็นฝ่ายเอ่ยปากนัดกับเขาเองว่า คืนนี้จะไปดินเนอร์กับเขาที่ร้านอาหารแห่งนี้
เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมหลี่ถงซีถึงได้เลือกร้านอาหารแห่งนี้ แม้ว่าเขามักจะชอบใส่สูทอยู่บ่อยๆ แต่เขาก็ไม่ได้ติดโรคที่ต้องกระแดะทำตัวเป็นฝรั่ง ในความคิดเห็นของเขา อาหารฝรั่งพวกนี้มีราคาที่ค่อนข้างแพง ถึงแม้จะตกแต่งในจานที่ดูสวยหรู แต่รสชาติกับปริมาณอาหารกลับไม่น่าพอใจเอาซะเลย
นักข่าวสาวรีบตอบกลับทันที สีหน้าของเธอดูประหลาดใจเล็กน้อย
“อุ๊ป! บังเอิญจังเลยนะคะ ดิฉันเองก็กำลังจะไปถนนหร่งซิ่งอยู่พอดีเหมือนกัน!”
ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือไม่ แต่ฉีเล่ยก็ไม่สามารถปฏิเสธความหวังดีของนักข่าวสาวได้อีกต่อไป หลังจากพูดจบ หญิงสาวก็ได้ปลดล็อกประตูเรียกให้ฉีเล่ยขึ้นมานั่งข้างคนขับได้เลย
ทันทีที่นักข่าวเหยียบคันเร่งแล่นออกไป เธอก็ใช้มือข้างหนึ่งหยิบกล่องใส่นามบัตรใบหนึ่งออกจากช่องเก็บของหน้ารถยื่นให้กับฉีเล่ย พร้อมกับแนะนำตัวเอง
“ดิฉันชื่อหยางซินค่ะ ทำงานอยู่ที่ไชน่านิวส์”
ฉีเล่ยพยักหน้าพร้อมกับเก็บนามบัตรใบนั้นเข้าไปไว้ในกระเป๋าเสื้อ
แต่เมื่อเห็นว่าฉีเล่ยเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรตอบกลับมา หยางซินก็พลางคิดว่า อีกฝ่ายอาจจะรู้สึกไม่พอใจกับพฤติกรรมที่ออกจะดูประเจิดประเจ้อของตนเอง จึงได้รีบเอ่ยขอโทษชายหนุ่มทันที
“คุณฉี ดิฉันต้องขอโทษด้วยนะคะที่เอ่ยปากชวนกะทันหันแบบนี้ ดิฉันแค่อยากเป็นเพื่อนกับคุณน่ะ เห็นว่าอายุพวกเราน่าจะไล่เลี่ยกัน…ยังไงดิฉันก็ต้องขอโทษอีกครั้งนะคะ”
“เปล่าครับ เปล่า”
ฉีเล่ยโบกมือปฏิเสธและกล่าวตอบไปว่า
“ผมแค่ไม่รู้จะพูดอะไรเฉยๆครับ”
ไฟบนท้องถนนส่องเข้ากระทบตัวรถ เผยให้เห็นใบหน้าเล็กๆของนักข่าวสาว จมูกเรียวเล็กเหมาะเจาะพอดีกับใบหน้าเล็กๆของเธอ เสน่ห์ของหญิงสาวคนนี้คือความน่ารัก
เธอนับเป็นผู้หญิงที่น่ารักมากคนหนึ่งเลยทีเดียว
ฉีเล่ยคลี่ยิ้มบางขณะจับจ้องไปที่นักข่าวสาวซึ่งกำลังประหม่า พร้อมกับเอ่ยถามออกไปว่า
“ผมน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ก็แน่นอนสิค่ะ จะให้ไม่น่ากลัวได้ยังไง? อายุยังน้อยขนาดนี้แต่กลับสามารถเอาชนะเป่ยฉวนเทียนผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในปักกิ่งมานับหลายสิบปีได้ พูดตามตรงเลยนะคะ…ที่ฉันเอ่ยปากชวนคุณขึ้นรถเมื่อกี้ ดิฉันได้ใช้ความกล้าของทั้งปีนี้ไปจนหมดแล้ว ดิฉันกลัวจริงๆนะคะว่าจะเผลอทำให้คุณไม่พอใจเข้า…”
ฉีเล่ยค่อนข้างให้เกียรติกับคนที่ให้เกียรติเขาก่อนเสมอ เขาจึงได้พูดติดตลกไปว่า
“ถึงจะดูน่ากลัวแค่ไหน แต่ผมก็แค่มนุษย์คนหนึ่งนะครับ ยังต้องกินต้องนอนเหมือนคนอื่นๆ ไม่ใช่เทพพระเจ้าที่จะสามารถสั่งให้ฟ้าผ่าคุณได้เวลาโมโห”
หลังจากได้ยินแบบนั้น หยางซินก็ยกมือป้องปากหัวเราะคิกคัก
“คุณฉี คุณนี่เป็นคนตลกจริงๆเลยนะคะ ยังไงก็เห็นแก่สาวน้อยตัวเล็กๆคนนี้สักครั้ง ขอนัดสัมภาษณ์พิเศษกับคุณบ้างจะได้ไหมคะ?”
ฉีเล่ยตอบกลับไปเพียงแค่ว่า
“เอ่อ… แต่ช่วงนี้ผมยุ่งมากจริงๆ ไว้ค่อยคุยก็แล้วกันถ้าผมมีเวลา”
หยางซินปิดปากเงียบอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อว่า
“เอ่อ…ถือว่าพวกเราเป็นเพื่อนกันแล้ว…ใช่ไหมค่ะ?”
“อืม…ยังไม่น่าจะนับนะครับ”
หยางซินพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทำหน้ามุ่ยเอ่ยตอบไปว่า
“คุณฉี…ใจร้ายอ่ะ”
ฉีเล่ยยักไหล่ขณะเอ่ยตอบกลับไปว่า
“ผมต้องมีระยะห่างกับผู้หญิงหน่อยสิครับ นี่เป็นสิ่งที่ผู้ชายแต่งงานแล้วพึงกระทำ ยิ่งกว่านั้นภรรยาของผมเองยังพูดเตือนผมไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบว่า อย่าไว้ใจผู้หญิงเด็ดขาด โดยเฉพาะกับสาวสวย”
หยางซินหัวเราะคิกคักใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นทันที
“คุณฉีแอบชมดิฉันว่าสวยอยู่รึเปล่าคะนี่?”
ฉีเล่ยเหลือบมองชมวิวข้างทางผ่านกระจกรถพลางกล่าวตอบไปอย่างไม่ใส่ใจว่า
“ก็ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะคิดยังไงครับ”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น หยางซินก็ถึงกับยิ้มแก้มปริและกล่าวตอบไปว่า
“งั้น…ขอบคุณที่ชมนะคะคุณฉี”
ฉีเล่ยนิ่งเงียบ
“….”
หยางซินค่อยๆชะลอรถจอดเทียบท่าอยู่หน้าภัตตาคารอาหารฝรั่งไวโอเลต ทันใดนั้นเองหยางซินก็โน้มตัวยื่นมือเรียวสวยของเธอเข้ามาจับมือของฉีเล่ยพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“คุณฉี ดิฉันดีใจมากเลยนะคะที่ได้พบคุณ หวังว่าพวกเราจะมีโอกาสได้ร่วมงานกันอีกในอนาคต แต่…ถึงแม้จะไม่มีโอกาสได้ร่วมงานกัน ดิฉันก็หวังว่าจะได้เป็นเพื่อนกับผู้ชายที่น่าสนใจแบบคุณนะคะ”
ฉีเล่ยสะบัดมือเบาๆและกล่าวตอบไปว่า
“ด้วยความยินดีครับ”
หลังจากที่รถสปอร์ตคันสวยของหยางซินแล่นออกไปจนลับสายตาแล้ว ฉีเล่ยก็หันหลังเตรียมที่จะเดินเข้าร้าน
ปริ๊นนน! ปริ๊นนนน!!!
ทันใดนั้นก็มีรถสปอร์ตคันหรูรูปทรงโฉบเฉียวแล่นเข้ามาจ่อหลังฉีเล่ย และกระหน่ำบีบแตรใส่ฉีเล่ยอย่างไม่หยุดยั้ง ราวกับว่าเพิ่งจะไปโกรธใครมา
ภายในรถมีเด็กสาวอยู่สองคนนั่งโดยสารอยู่ คนหนึ่งผมยาวสลวยระยิบระยับใบหน้าเรียวสวย สวยอีกคนใบหน้าออกเป็นทรงไข่ แก้มนวลสีชมพูน่ารัก
ดูยังไงทั้งสองคนก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กวัยรุ่น หน้าตาน่ารักดูสมวัย มิหนำซ้ำพวกเธอยังใส่เสื้อเปิดไหล่ทั้งสองข้างสุดเซ็กซี่ ที่สามารถดึงดูดเพศตรงข้ามได้ไม่ยาก
สาวน้อยใบหน้าเรียวสวยเปิดกระจกชะโงกหัวออกมาพร้อมกับร้องตะโกนใส่ฉีเล่ยเสียงดังลั่น แม้ว่าเนื้อเสียงของเธอคนนี้จะดูไพเราะเพียงใด ทว่าเนื้อความที่ดังออกมากลับหยาบคายไม่ใช่น้อย
“นี่! ยืนขวางทางคนอื่นแบบนี้ พ่อแม่ไม่เคยสั่งสอนรึไง! จะไปไหนก็ไปไอ้สุนัข!”
เขาเพิ่งลงจากรถได้ไม่นาน มิหนำซ้ำก่อนหน้านี้ก็ยังไม่เห็นรถคนอื่นมาจอดเทียบท้าย เพียงเสี้ยวพริบตาเดียว รถของเด็กสาวสองคนนี้ก็มาบีบแตร่ไล่เขาแล้ว
หิวอะไรกันขนาดนั้น?
ฉีเล่ยล้วงมือทั้งสองข้างลงไปในกระเป๋ากางเกงทันที พร้อมกับก้าวเท้าเดินลงไปบนถนนยืนขวางหน้ารถคันนั้นไว้ พลางพูดติดตลกว่า
“เฮ้อออ….แล้วสุนัขแถวนี้มีตาไหมหว่า? ไม่เห็นรึไงว่ามีคนทั้งคนกำลังยืนอยู่”
ใบหน้าเรียวสวยของสาวน้อยคนนั้นสั่นเทาไม่หยุด ดูก็รู้ว่ากำลังโกรธจัด เธอคำรามลั่นใส่ฉีเล่ยอีกครั้งว่า
“นี่แก! เห่าอะไรออกมารู้ตัวไหม?! ก็เห็นอยู่ว่าฉันกำลังรีบ! กลับขึ้นฟุตบาทไปเดี๋ยวนี้!”
ฉีเล่ยยืนกางขากางแขนออกมาราวกับกำลังน้อมรับความตายที่กำลังจะพุ่งใส่ตรงหน้า ปากก็ร้องตะโกนท้าทายกลับไป
“มาเลย! ขอเน้นๆ!”
ไม่ใช่ว่าเขาจะหัวเสียกับสาวน้อยสองคนนี้จริงๆ แต่เพียงเพราะอยากจะแกล้งเล่นเท่านั้นเอง หลังจากเดินทางมาถึงปักกิ่ง เขาก็พบเธอพบเจอผู้หญิงมาแล้วมากมาย ทั้งหลี่ถงซีหญิงสาวผู้ทรงเสน่ห์ หลินชูวงโม่หญิงสาวผู้แสนเร้าร้อน เหอจื่อสาวน้อยขี้เล่น และชูซินซูผู้ครอบครองความงามอันไร้ที่ติ แต่เขายังไม่เคยเห็นวัยรุ่นหัวร้อนแบบเธอคนนี้มาก่อน
เด็กสาวกลั้นหายใจจนใบหน้าแดงกล่ำด้วยความเดือดดาลอย่างที่สุด บริเวณหน้าอกรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่งราวกับกำลังจะระเบิดออกมา นี่เธอกำลังถูกท้าทายอยู่งั้นเหรอ?
จากนั้นเธอก็เข้าเกียร์เตรียมออกตัวพุ่งชนใส่ฉีเล่ยทันที!