หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.438 – กฏน่ะมันไร้ค่า!
พอเห็นแบบนั้น ทุกคนที่คอยแอบเฝ้ามองก็พากันถอนสายตากลับคืน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป
เซ่าหวูชุ่ยอ้าปากพะงาบๆอยู่หลายครั้ง ทว่าเขากลับไม่สามารถยกเรื่องนี้ขึ้นมาถกเถียงได้อีกเลย
ดังนั้น เมื่อเรื่องราวมันไม่เป็นดั่งใจ ส่งผลให้ความโกรธหัวใจของเซ่าหวูชุ่ยคุกรุ่นยิ่งกว่าเดิม
เขาคือผู้ฝึกยุทธชั้นยอด เป็นนักสู้หวูเต๋า(วิถียุทธ)ที่อยู่ในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า! ภายในนิกาย นอกเหนือไปจากผู้อาวุโสสูงสุดและท่านผู้นำแล้ว ก็เป็นเขานี่แหละที่แข็งแกร่งที่สุด!
ในขณะนี้ เซ่าหวูชุ่ยนับว่ากำลังเดือดปุดๆแล้วอย่างแท้จริง
เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาด้วยความเกลียดชัง “ปรมาจารย์ตำหนักเย่ เรามาเริ่มการหารือกันอย่างเป็นทางการกันเลยดีกว่า ประเด็นแรก พวกเราจะพูดคุยกันถึงเรื่องของปรมาจารย์ตำหนักฉี”
“ข้าอยากจะเห็นจริงๆว่าปรมาจารย์ตำหนักฉีจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร!”
เย่หยิงเหมยพอได้ฟัง ก็ลอบถอนหายใจอย่างลับๆ
เธอไม่ต้องการเลย ที่จะยั่วยุให้ฉีหยานโกรธในสถานการณ์เช่นนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องราวได้มาถึงจุดนี้แล้ว ก็คงจำเป็นต้องพูด
“เอาล่ะปรมาจารย์ตำหนักฉี เจ้ามิได้อยู่ในนิกายจึงยังไม่รู้ถึงเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ .. ผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าน่ะได้ก่อเหตุร้ายแรงขึ้น” เย่หยิงเหมยพยายามเรียบเรียงคำพูด
“มันคือเรื่องอันใด? พวกเราทุกคนก็ล้วนอยู่ภายใต้ชายคานิกายเดียวกัน ปัญหาเล็กๆน้อยๆก็ปล่อยผ่าน ทำเป็นละเลยไปมิได้หรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
“หากเป็นเรื่องอื่นข้าก็จะทำเป็นปิดหูปิดตาไป ทว่าเหตุการณ์นี้ เป็นการละเมิดข้อห้ามร้ายแรงของนิกาย และข้าจำเป็นต้องแจ้งแก่เจ้าอย่างเป็นทางการ” เย่หยิงเหมยฝืนยิ้มออกมา
เซ่าหวูชุ่ยแทรกหัวข้อสนทนาทันที เขาสาดสายตามายังกู่ฉิงซานและกล่าว “ไม่เพียงแค่จำเป็นต้องแจ้งอย่างเป็นทางการ แต่เหตุการณ์นี้มันร้ายแรงนัก นอกจากนี้ยังมีส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อตัวนิกายอีกด้วย!”
“ปรมาจารย์ตำหนักฉี ข้าหวังเจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างเป็นธรรมตามกฏของนิกายนะ”
ขณะกล่าว บนใบหน้าของเซ่าหวูชุ่ยก็เผยถึงรอยยิ้มแย้มแห่งความปิติออกมา
“เชิญกล่าว” กู่ฉิงซานตอบรับคำ
เย่หยิงเหมยโบกมือและป่าวประกาศ “นำตัวเข้ามาได้!”
พร้อมด้วยการโบกมือของเธอ 7-8 ผู้ฝึกยุทธก็ทะยานตัวขึ้นมาบนแท่นเวที
ไม่นานนัก สองผู้ฝึกยุทธที่ถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวนก็โดนลากขึ้นมา
เมื่อสายตาของสองผู้ฝึกยุทธเห็นฉีหยาน พวกเขาก็ราวกับเห็นพระมาโปรด ทั้งสองเร่งเอ่ยตะโกนทันที
“ปรมาจารย์ตำหนัก! ได้โปรดช่วยผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านด้วย!”
พวกเขาคือคนจากตำหนักซานเหว่ย
และทั้งสองยังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทของเขาอีกด้วย
กู่ฉิงซานเหลือบสายตาเย็นชาไปมอง ปากเอ่ยกล่าว “นั่นมันคนของข้ามิใช่หรือ ศิษย์น้องหยิงเหมยเจ้าต้องการจะทำอะไรกันแน่?”
เย่หยิงเหมยกล่าว “เมื่อวานนี้ พวกเขาได้ต่อสู้กันเพื่อแย่งตัวชิงสาวใช้ ทั้งสองลงมืออย่างหนักโดยมิได้สนใจสาวใช้ที่แย่งชิงเลย พวกมันประมาทพลั้งเผลอ ปล่อยให้สาวใช้นางนั้นลอบสบโอกาสทำลายค่ายกลจนสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่เกือบที่จะพังทลายลงมา!”
“นอกจากนี้ นั่นยังเป็นช่วงเวลาที่อีก1ส่วน4ชั่วยามก็จะเกิดลางร้ายขึ้นอีกด้วย ทว่าโชคดีจริงๆที่ปรมาจารย์ค่ายกลทั้งสามในนิกายได้ร่วมแรงร่วมใจกันซ่อมแซมมันอย่างสุดกำลัง และสามารถติดตั้งค่ายกลกลับคืนสำเร็จก่อนที่ช่วงเวลาลางร้ายจะมาถึงได้ในที่สุด”
ดวงตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลง
สาวใช้?
ค่ายกล?
สามปรมาจารย์ค่ายกลที่กล่าวมา แสดงว่าในนิกายกวงหยางยังมีเหลืออยู่อีก สามปรมาจารย์ค่ายกลสินะ
“แย่งชิงสาวใช้กันงั้นสินะ … ”
กู่ฉิงซานมองไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองและหัวเราะออกมาเบาๆ
“นายน้อย” หนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเปลี่ยนสรรพนามเรียกขาน “มันมิได้ร้ายแรงอย่างที่พวกเขากล่าวนะท่าน ในช่วงเวลานั้นเมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น พวกเราก็รีบหยุดจื่อหลิวทันที!”
จื่อหลิว?
มาได้จังหวะพอดีเลย!
แท้จริงแล้วสาวใช้ที่พวกเขาแย่งชิงกันกลับกลายเป็นเด็กสาวผู้แตกฉานในค่ายกลนี่เอง
และเธอคือกุญแจสำคัญในการซ่อมแซมค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก!
ได้ยินมาว่าเธอเป็นเด็กสาวที่มีจิตใจดีด้วยนี่นา
เมื่อคิดถึงจุดนี้ กล่าวได้ว่าตราบใดที่ช่วยเหลือเธอ เธอก็ย่อมที่จะให้ความร่วมมือในการพาตนเองหลบหนีออกไปจากโลกใบนี้อย่างแน่นอน
กู่ฉิงซานไตร่ตรองอย่างเงียบๆ
เขายังคงมองไปทางผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองอย่างระมัดระวัง สีหน้าท่าทีแลดูเบื่อหน่ายและไม่แยแส
เมื่อเห็นว่านายน้อยของตนไม่ตอบ หนึ่งในนั้นจึงเร่งกล่าวออกมาว่า “นายน้อย แม้ว่าต้นเหตุจะมาจากพวกเรา แต่เรื่องนี้พวกเราได้แก้ไขมันเรียบร้อยแล้วนะท่าน”
เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยหยัน “เหอะ! นั่นน่ะหรือคือสิ่งที่เจ้าเรียกว่าแก้ไข? โดยการสังหารนางเนี่ยนะ? ต่อให้สังหารไป ผลลัพธ์จากฝีมือนางมันก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดี!”
สังหารนาง
สังหารนาง
สังหารนาง
จื่อหลิวตายแล้ว …
แม้บนใบหน้าของกู่ฉิงซานจะไม่แสดงออกถึงสิ่งใดเลยก็ตาม ทว่าในหัวใจของเขากลับหม่นทะมึนลงอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ฉินรั่วกับว่านเอ๋อตกใจจนพูดไม่ออก ทั้งคนทั้งร่างของพวกเธอสั่นไหว น้ำตาไหลลงมาเป็นสายอย่างมิอาจควบคุมได้
ด้วยฐานะที่พวกตนเป็นสาวใช้ ดังนั้นสองสาวจึงไม่เกรงที่จะให้ผู้อื่นเห็นปฏิกริยาดังกล่าว
“พวกเจ้า — สังหารนางแล้วจริงๆหรือ?”
กู่ฉิงซานเอ่ยปากถามในที่สุด
ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองพยักหน้าอีกครั้ง และอีกครั้ง
หนึ่งในสองได้เอ่ยออกมาอย่างชั่วร้ายว่า “ผู้ก่อเหตุได้รับโทษทัณฑ์ร้ายแรงแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สมควรที่จะมอบโทษทัณฑ์ใดๆกับพวกเราอีก นายน้อยโปรดช่วยเหลือด้วย!”
อีกหนึ่งผู้ใต้บังคับบัญชากล่าว “ใช่แล้วนายน้อย พวกเรารู้ดี! ว่าหากเป็นท่านก็คงจักใช้วิธีเดียวกัน”
เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยปากเข้าแทรก “ฉีหยาน นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ เจ้าสมควรจะตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ดี สำหรับค่ายกลแล้วการกระทำใดที่อาจส่งผลร้ายต่อมัน ล้วนมิอาจผ่อนปรนได้”
“แต่นั่นมันเป็นเพียงแค่สองค่ายกลสามัญเท่านั้นเองนะ” ผู้ใต้บังคับบัญชาของฉีหยานเอ่ยออกมา
“ภายในนิกาย ไม่ว่าใครก็ห้ามทำอะไรที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อค่ายกลทั้งสิ้น! ต่อให้มันจะเป็นเพียงค่ายกลสามัญก็ตามที” เย่หยิงเหมยกล่าว
เธอเอ่ยเน้นย้ำ “ทุกๆค่ายกลล้วนเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของตลอดทั้งนิกาย ในกรณีที่เกิดปัญหา มันอาจเป็นการชักนำมารโลกามาก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้นเหล่าสาวกและปรมาจารย์ทั้งหมดมิถูกกลบฝังไปพร้อมกับนิกายเลยหรอกหรือ?”
กู่ฉิงซานหลับตาลงครู่หนึ่ง ขบคิดเกี่ยวกับมันและกล่าว “ไปเรียกหวูซานมา ข้าต้องการจะทราบความจริง”
สองปรมาจารย์ตำหนักหันมามองหน้ากัน ก่อนจะพยักหน้า
หากอีกฝ่ายต้องการที่จะรับรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยละเอียดจากปากของผู้อื่น นั่นย่อมเป็นสิ่งที่พอจะยอมรับได้
ฉีหยานเป็นคนขี้สงสัย และเขาจะไม่เชื่อในสิ่งคนอื่นพูด นอกเสียจากว่าเขายินดีที่จะรับฟังคนผู้นั้นเอง
ผู้ฝึกยุทธบังคับกฏได้ออกไปทันที
แล้วไม่นานนัก ผู้ฝึกยุทธที่ร่างกายอวบหนา อุดมไปด้วยไขมันก็วิ่งเหยาะๆขึ้นมาบนแท่นเวที
เขามาหยุดอยู่ตรงข้ามกับกู่ฉิงซาน พร้อมกับเร่งกระแทกเข่าทั้งสองลงกับพื้นและโค้งหัวลงอย่างนอบน้อมทันที
“ท่านปรมาจารย์เรียกหาข้ากระนั้นหรือ?” หวูซานเผยรอยยิ้มแย้มประจบประแจงบนใบหน้า
ขณะที่ผู้ฝึกยุทธรอบด้านต่างแสดงออกถึงความรังเกียจ
“เอาล่ะ ไหนเจ้าลองเล่ามาซิ ว่าแท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น?” กู่ฉิงซานกล่าว
เขาเอ่ยเสริมว่า “และเวลานี้ ข้าต้องการที่จะทราบถึงสถานการณ์จริง จงอย่าปิดบังมันกับข้า”
สองปรมาจารย์ตำหนักพอได้ฟัง สายตาก็จับจ้องลงไปยังหวูซาน พร้อมด้วยท่าทีการแสดงออกที่เปลี่ยนไป
สีหน้าของหวูซานเดิมทีฟุ้งไปด้วยความไร้ยางอาย ทว่าหลังจากที่ได้ยินประโยคครึ่งหลังของกู่ฉิงซาน การแสดงออกของเขาก็ค่อยๆเปลี่ยนไป
ดูเหมือนว่านายน้อยกำลังวางแผนอื่นๆอยู่ ดังนั้นในครั้งนี้ตนเองจึงไม่สมควรที่จะทำลพาด
“เรียนท่านปรมาจารย์ แท้จริงแล้วเรื่องราวมันเป็นเช่นนี้ … ”
แล้วหวูซานก็กล่าวอย่างเป็นกลาง เขาเล่าทุกสิ่งอย่างออกมาด้วยความจริง
สถานการณ์ที่ว่ามานี้เหมือนกับที่เย่หยิงเหมยกล่าวทุกประการ
พอร่วมฟังจนจบ เย่หยิงเหมยก็เอ่ยออกมาว่า “ตามบทลงโทษที่สอดคล้องกับกฏของนิกาย พวกเขาทั้งสองจะต้องถูกถอดถอนพื้นฐานวรยุทธ ลดตำแหน่งลงไปเป็นคนใช้ และมิอาจก้าวเข้าสู่ตำหนักซานเหว่ยได้อีกตลอดชีวิต”
“ปรมาจารย์ตำหนักฉี แล้วเจ้าเล่า มีความคิดเห็นว่าสมควรจะจัดการอย่างไร?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถามอย่างเพลิดเพลิน
เขามองไปทางกู่ฉิงซาน และกำลังตระเตรียมประโยคเด็ดที่จะกล่าวต่อไปเอาไว้ล่วงหน้า
หากฉีหยานแก้ตัวให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ตนกับเย่หยิงเหมยจะกล่าวโจมตีเขาทันที เอาให้ฉีหยานหน้าเสียจนไม่กล้านั่งอยู่บนเวทีแห่งนี้อีกเลย
และอีกอย่างเมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีแห่งรากษส ฉีหยานย่อมไม่อาจพลิกลิ้น และท้ายที่สุดนี้ ผลประโยชน์ย่อมต้องเทมาทางฝั่งตนเป็นแน่
เซ่าหวูชุ่ยพอคิดมาถึงจุดนี้ มือของเขาก็กำแน่นขึ้นเล็กน้อย และกำลังเฝ้ารอคอยคำตอบของฉีหยาน
คนอื่นๆก็หันไปมองฉีหยานด้วยเช่นกัน ทั้งหมดต้องการดูว่าเขาจะตอบสนองอย่างไร
เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ขยับหมวกไม้ไผ่อย่างอ่อนโยน และลดมือลงมาลูบไล้แผลลึกบนใบหน้าของเขา
“พอดีว่าข้ากำลังอยู่ในช่วงอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนักเมื่อไม่นานมานี้” เขากล่าว
ปรมาจารย์ตำหนักขมวดคิ้ว
เขาต้องการจะโวยวายแล้วใช่หรือไม่?
เรื่องราวเมื่อครู่ยังไม่จบสินะ?
“ปรมาจารย์ตำหนักฉี-” เย่หยิงเหมยกำลังจะเอ่ยปากกล่าว
แต่กู่ฉิงซานโบกมือเสียก่อน ส่งสัญญาณว่าเธอไม่จำเป็นต้องพูดอะไรทั้งนั้น
เขาผุดลุกขึ้น เดินตรงไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสอง
“นามของสาวใช้นางนั้น เรียกว่ากระไร?” เขาหันกลับมาเอ่ยถาม
“จื่อหลิว” ฉินรั่วกล่าว
“อา นั่นสินะ ‘จื่อหลิว’ ”
กู่ฉิงซานก้มลงเผชิญหน้ากับผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสอง ปากเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล “ยามเมื่อข้ามอบนางให้แก่พวกเจ้า ข้าได้บอกอะไรไปจำได้หรือไม่?”
สองผู้ใต้บังคับบัญชามองหน้ากันวูบหนึ่ง และเผยท่าทีหวาดกลัวเล็กน้อยออกมา
เพราะพวกเขาไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่นายน้อยกล่าวมันคืออะไร
“เอ่อ นายน้อย ท่านกล่าวว่านางคือสาวใช้ของท่าน และตอนนั้นพวกเราทำผลงานได้ดี ดังนั้นท่านจึงมอบนางให้มาสนุกกับพวกเรา” หนึ่งในสองกล่าวออกมา
กู่ฉิงซานหันไปทางลูกน้องอีกคนและกล่าว “ข้าพูดเช่นนั้นหรือ?”
อีกคนกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เป็นเช่นนั้น นายน้อย เป็นเช่นนั้น ..”
กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ
เขาเดินมาอยู่เบื้องหลังทั้งสอง และยื่นมือออกไปลูบไล้โซ่ตรวนที่พันธนาการพวกเขาเอาไว้
นี่เป็นมาตรการสำหรับสาวกที่จะต้องถูกลงโทษ มันมีไว้เพื่อกักขังพื้นฐานวรยุทธและป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายหลบหนี
แต่ระดับของโซ่ตรวนนี้ มันเป็นโซ่ตรวนที่ระดับต่ำกว่าที่พันธนาการเหล่ากับของสาวใช้
อย่างน้อยในช่วงที่เกิด ‘ลางร้าย’ ขึ้น มันก็ไม่รัดพันผู้ฝึกยุทธจนไม่สามารถใช้ออกด้วยเทคนิคมนตรา นอกจากนี้มันยังมิได้ทรมานพวกเขาให้รู้สึกเจ็บปวดใดๆอีกด้วย
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเฉยเมย “แม้พวกเจ้าจะละเมิดกฏของนิกาย แต่ข้าก็คิดว่ามันหาใช่เรื่องสำคัญอันใดไม่”
พอได้ฟัง สีหน้าของชายทั้งสองก็ดูคลายลง
ขณะที่เหล่าผู้ฝึกยุทธเริ่มกระซิบกระซาบกันอย่างลับๆ
จิ้งจอกขาวยังคงเฝ้ามองมายังฉากนี้อย่างเงียบๆ
เพียงได้ยิน เซ่าหวูชุ่ยก็ผุดลุกขึ้นและเริ่มเอ่ยโจมตีเขาทันที “ฉีหยาน! ต่อให้เจ้าจะรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้ผลกระทบของมันร้ายแรงนัก เจ้าต้องไม่เข้าข้างพวกเขา!”
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเข้าข้างพวกเขา?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ก็สิ่งที่เจ้าเอ่ยมานั่นแหละมันเรียกว่าเข้าข้า-”
เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยมาได้ไม่กี่คำ เขาก็พบว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้องจึงกลืนคำที่เหลือกลับลงไป
เขาจ้องมองไปยังกู่ฉิงซาน เฝ้ารอคำพูดคำพูดประโยคหลังของอีกฝ่าย
“ข้าก็แค่กล่าวว่ากฏของนิกายมันหาได้สำคัญไม่ – กฏบ้าๆนั่นมันมิได้เกี่ยวข้องอะไรกับตำหนักซานเหว่นของข้า”
กู่ฉิงซานจ้องสวนกลับไปยังเซ่าหวูชุ่ย ปากเอ่ยกล่าวอย่างแผ่วเบา
คราวนี้ สีหน้าของสองผู้ใต้บังคับบัญชาแสดงออกถึงความสุขอย่างแท้จริง
นี่แหละคือนายน้อยของพวกเขา! ผู้ที่เต็มไปด้วยอำนาจและศักดิ์ศรี!
ขณะที่ศักดิ์ศรีของอีกปรมาจารย์ตำหนักราวกับถูกเหยียบย่ำต่อหน้าทุกผู้คนภายใต้ฝ่าเท้าของฉีหยาน!
อีกด้านหนึ่ง
คิ้วของเย่หยิงเหมยค่อยๆขมวดเข้าหากันอย่างช้าๆ
ขณะที่เซ่าหวูชุ่ย ทั้งคนทั้งร่างลุกไหม้ไปด้วยความโกรธ พร้อมที่จะปะทุอยู่รอมร่อแล้ว
เขาเตรียมที่จะเข้าต่อสู้ขั้นแตกหักกับฉีหยาน
‘ฉีหยานผู้นี้ … มันจงใจแสดงพฤติกรรมหยิ่งยะโส และคนอย่างมันสมควรได้รับ-’
เซ่าหวูชุ่ยเพียงแค่นึกคิด ทว่ากลับได้ยินเพียงเสียงของกู่ฉิงซานตะคอกคำหนึ่ง
“ดาบเอ๋ย”
“ขอรับท่านอาจารย์” ฉานนู่เอ่ยรับคำ
พร้อมกับปราณดาบแสนเย็นชาที่กระพริบไหว
ตามด้วยสองศพที่ล้มลงกับพื้น
ฉีหยานยกมือขึ้นหิ้วหัวของผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยมือแต่ละข้าง สีหน้าการแสดงออกของเขายังคงเรียบเฉย ทั้งคนทั้งร่างเปี่ยมไปด้วยความสงบไม่ไหวติง
เขายกทั้งสองหัวที่ว่านั้นขึ้น หันมาเผชิญหน้ากับตนเอง
“เฮ้อ .. พวกเจ้าคิดว่าสิ่งที่ตนเองทำมันไม่ผิดจริงๆน่ะหรือ?”
โผล๊ะ!
โผล๊ะ!
สองหัวถูกทิ้งลงบนพื้นดิน
ดาบร่ายรำอยู่ในอากาศดั่งมังกรแหวกธารา ก่อนจะมาตกลงเบื้องหน้าของฉานนู่
ฉานนู่เก็บดาบกลับคืน
ฝูงชนทั้งหมดที่อยู่ในห้องตะลึงงัน
เซ่าหวูชุ่ยมองไปยังกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยกล่าวทั้งลังเลและสงสัยในเวลาเดียวกัน “เจ้า – เหตุใดจึงทำเช่นนี้?”
เย่หยิงเหมยเอ่ยปากออกมาเช่นกัน “ตามกฏของนิกาย โทษที่พวกเขาสมควรได้รับคือการลดตำแหน่งลงไปเป็นคนใช้เท่านั้น แล้วสิ่งที่ปรมาจารย์ตำหนักฉีกระทำหมายความว่ากระไร?”
“อย่ามาเอ่ยถึงเรื่องกฏของนิกายต่อหน้าข้าอีก”
กู่ฉิงซานคลี่พัดออก โบกมันเบาๆ ขณะเดียวกันก็เดินกลับไป
เขาพึ่งจะสังหารผู้คนไปแท้ๆ ทว่าตนกลับแสดงอาการเพียงแค่ยกพัดขึ้นมาโบก แถมน้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็ยังไม่สั่นไหว
ด้วยทัศนคติอันแสนเลือดเย็นนี้ ส่งผลให้เหล่าสาวกทุกคนในที่แห่งนี้มิกล้าเผยอปาก เปล่งวาจาออกมาแม้เพียงครึ่งคำ
“เพียงเพื่อให้ตนเองได้พ้นผิด กลับกล้าที่จะลงทัณฑ์สังหารสาวใช้ของข้า! การกระทำของพวกเจ้ามันทำให้ข้ารู้สึกอารมณ์เสียจริงๆ”
ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็กลับไปประจำที่ตน แล้วนั่งลง
เซ่าหวูชุ่ยอดไม่ได้ต้องเอ่ยออกมา “มิใช่ว่าตัวเจ้าเองก็สังหารสาวใช้ของตนอยู่บ่อยๆหรอกหรือ?”
“ข้าสามารถทำได้ ทว่าผู้อื่นไม่”
“เพราะเหตุใด”
“เพราะเหล่าสาวใช้คือสิ่งของของข้า ดังนั้นจึงย่อมเป็นธรรมดา ที่ข้าจะสามารถจัดการกับพวกนางได้”
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแผ่วเบา
ณ ขณะนั้นเอง ฉินรั่วก็ก้าวออกมาข้างหน้า คุกสองเข่าลงกับพื้น และยกถ้วยชาขึ้นประกบลงบนริมฝีปากของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานค่อยๆจิบชาอย่างช้าๆ
เขายื่นมือไปบีบคางของฉินรั่ว ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ฉินรั่ว แล้วเจ้าเล่าต้องการจะแย้งอะไรหรือไม่?”
“ไม่เจ้าค่ะ ทุกสิ่งที่นายน้อยกล่าวนับว่าถูกต้องแล้ว” ฉินรั่วก้มหน้าลง เอ่ยเสียงหวาน
เย่หยิงเหมยเอ่ยออกมา “แต่กฏของนิกาย … ”
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเธอจะคิดเช่นไร สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจพูดมันออกมาได้อยู่ดี
เพราะทุกคนก็เห็นกับตา ว่าผู้ที่สมควรจะถูกลงโทษได้ถูกสังหารไปแล้ว
เช่นนั้นแล้วกฏของนิกายมันจะมีประโยชน์อะไรอีก?
ฉีหยานผู้นี้ หาได้แยแสผู้ใต้บังคับบัญชาของตนไม่ เขาไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตา หากแม้นมีใครขัดขวางผลประโยชน์ของเขา ไม่ว่ามันจักเป็นเรื่องเล็กแค่ไหน เจ้าตัวก็ไม่ลังเลเลยที่จะเผยคมเขี้ยวที่อาบไปด้วยพิษร้ายออกมา และฉกกัดออกไป
ใช่แล้วล่ะ ฉีหยานเป็นคนแบบนั้น
เย็นชา โหดเหี้ยม และไร้ความปราณี
ชายผู้นี้ราวกับงูพิษ ยามเมื่อคลั่ง ไม่เพียงแค่น่าหวาดกลัว … แต่ยังอันตรายเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย
เย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยเหลือบมองกันวูบหนึ่ง
แล้วก็เห็นถึงความกลัวอันลึกล้ำ และความกังวลที่ค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นจากในแววตาของอีกฝ่าย