บทสนทนาที่เกิดขึ้นภายในโถงจาวฮุย หลินหลันได้รับรู้จากปากของแม่จู้ที่เผยออกมาในยามเช้าของวันรุ่งขึ้นขณะที่หลินหลันเข้าไปคารวะตามธรรมเนียมปฏิบัติ
“ยาป้องกันการตั้งครรภ์มันทำลายสุขภาพจริงๆ นะเจ้าคะ เอ้อร์เส้าหน่ายนายอย่ารับประทานอีกจะดีกว่าเจ้าค่ะ…”
ที่แท้แม่มดชราก็หยิบยกเรื่องยาป้องกันการตั้งครรภ์ขึ้นมาจริงๆ ไม่แปลกที่หญิงชราจะชักสีหน้าไม่พึงพอใจเมื่อเห็นนาง
หลินหลันกล่าวขอบคุณความห่วงใยของแม่จู้ หลังกังวลใจอยู่หลายวันทว่าก็ไม่เห็นหญิงชราจะทำอันใดให้นางรู้สึกลำบากใจ นอกจากนั้นยังเอ่ยว่าเรื่องราวนี้มันได้ผ่านพ้นไปแล้ว
ช่วงปลายเดือนสอง ในที่สุดพี่ชายกับศิษย์พี่รองและศิษย์พี่ห้าก็เดินทางมาถึงเมืองหลวง ซึ่งพวกเขาได้ออกเดินทางอย่างเร่งรีบหามรุ่งหามค่ำตั้งแต่วันที่ยี่สิบห้าเดือนสิบสองของปีที่ผ่านมา
หลังพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่ห้าเอ่ยว่าต้องการไปทำความคุ้นเคยกับสถานที่ประกอบกิจการใหม่ หลินเฟิงจึงร่วมทางไปเชยชมร้านขายยาด้วยเช่นกัน
ศิษย์พี่ห้าโม่จื่อโหยวมองดูร้านที่เพิ่งผ่านการตกแต่งมาหมาดๆ พลางเอ่ยชื่นชม “ศิษย์น้อง รูปแบบของร้านยานี่ดูใหญ่โตกว่าฮู๋จี้มากโข ตอนแรกคิดว่าเจ้าเพียงแค่พูดขำๆ เท่านั้น คาดไม่ถึงเลยว่าจะกลายเป็นความจริงขึ้นมาได้”
“นั่นสิ! พอท่านอาจารย์ได้รับจดหมายก็สั่งให้ศิษย์น้องห้าไปซื้อสุราเหลืองฮวาเตียวหนึ่งขวดและเนื้อวัวอีกสองโลครึ่งมาเป็นการเฉพาะ หลังจากนั้นก็นั่งดื่มกินลำพังใต้ต้นแพร์ภายในลานบ้านจนถึงรุ่งสางของอีกวัน” ศิษย์พี่รองจ้าวเหรินกล่าวอย่างเสียอารมณ์ กระทั่งสีหน้าของเขาก็ฉายให้เห็นความขุ่นเคือง
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่รอง เจ้าอยากพูดว่าเสพสำราญผู้เดียวหรือจะสู้เสพสำราญกันเป็นหมู่คณะสินะ!”
โม่จื่อโหยวฉีกยิ้มอย่างล้อเลียน “ศิษย์พี่รองได้กลิ่นสุราอันหอมหวนนั่น แมลงสุราที่อยู่ในท้องเลยดิ้นพล่านตลอดทั้งคืน”
จ้าวเหรินกล่าว “ตั้งแต่สองปีก่อนที่พวกเราตั้งวงดื่มสุราด้วยกัน ท่านอาจารย์ก็ไม่อนุญาตให้ทุกคนดื่มสุราอีกเลย” จ้าวเหรินเผยสีหน้าเศร้าสลดกว่าครั้งไหนๆ ขณะเอ่ย “เรื่องน่ายินดีอันยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ เขากลับเป็นผู้เดียวที่ได้รับข้อยกเว้นพิเศษ”
หลี่หมิงอวินอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “เช่นนั้นค่ำคืนนี้ข้าขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงพี่เขยรวมไปถึงศิษย์พี่ทั้งสองดื่มกันให้สุขสมอุราแล้วกัน”
จ้าวเหรินมีสีหน้าเบิกบานขึ้นทันใด และเอ่ยถามราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ว่าแต่ว่าศิษย์น้องไปด้วยหรือไม่”
หลินหลันมองไปยังหลี่หมิงอวินแล้วจึงมองไปที่ศิษย์พี่ทั้งสองหลังจากนั้นจึงกล่าวอย่างอ่อนหวาน “ข้ามิไปดีกว่า เดี๋ยวจะพานให้พวกเจ้าอึดอัดกันเปล่าๆ ทว่าข้าขอเตือนพวกเจ้าไว้ก่อนว่าห้ามมอมเหล้าหมิงอวิน มิเช่นนั้นหากข้าเอาคืนขึ้นมา พวกเจ้าเองน่าจะรู้ชะตากรรมดีอยู่แล้วนะ”
จ้าวเหรินและโม่จื่อโหยวถึงกับมีสีหน้าเข็ดขยาดและส่ายหน้าเป็นพัลวัน “มิบังอาจ มิบังอาจ”
หลินเฟิงกล่าว “น้องพี่วางใจได้ ก่อนออกมาท่านอาจารย์ของเจ้ากำชับข้าไว้แล้วว่าให้ช่วยจับตาดูพวกเขาไว้ด้วย! หากพวกเขาไม่ตั้งใจทำงานให้ดีๆ สนใจแต่เรื่องกินและเกียจคร้าน ให้คุมตัวส่งกลับไปได้ทันที”
จ้าวเหรินและโม่จื่อโหยวเผยสีหน้าห่อเหี่ยวแล้วหันไปกระซิบกระซาบกันสองคน “สมกับที่เป็นพี่ชายน้องสาวกันจริงๆ เห็นทีว่าชีวิตในเมืองหลวงนี่จะมิสุขสบายเสียแล้ว”
“ต่อให้ไม่สุขสบายเพียงใดก็คงดีกว่าอยู่ภายใต้สายตาท่านอาจารย์แหละน่า…”
หลินหลันเผยรอยยิ้มภายใต้ริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันเมื่อได้ยินดังกล่าว
หลี่หมิงอวินเอ่ยถามโม่จื่อโหยวด้วยเสียงบางเบา “ครั้งก่อนที่เจ้าเอ่ยถึงเรื่องที่หลันเอ๋อร์เก่งกาจมากที่สุด คือการดื่มสุราใช่หรือไม่”
โม่จื่อโหยวกล่าวอย่างประหลาดใจ “หรือว่าเจ้าได้เผชิญด้วยตนเองแล้วเช่นกัน”
หลี่หมิงอวินหยักคิ้ว มิใช่เพียงได้เผชิญด้วยตนเอง แถมยังอับอายขายหน้าสาหัสสากรรจ์เลยต่างหาก
“ไปดูที่พักด้านหลังกันเถอะ ร้านนี้ยังมีบ้านขนาดย่อมอีกแห่งหนึ่งไว้เป็นที่พักของสหายผู้ร่วมงานและทำเป็นห้องคลังสินค้า เมื่อทะลุสวนหลังบ้านออกไปคือตรอกเปลี่ยวสายหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามเยื้องออกไปมีบ้านพักว่างอยู่พอดี หมิงอวินก็เลยเช่ามันไว้ บ้านหลังนั้นแบ่งออกเป็นสามห้อง พวกเจ้าทั้งสามคนพักที่นั่นไปก่อนแล้วกัน ไว้วันหลังหาสถานที่เหมาะสมได้แล้วค่อยโยกย้ายอีกที” หลินหลันพาทุกคนเดินมุ่งเข้าสู่พื้นที่ด้านหลัง
“ข้าคิดว่านี่ก็ดีมากแล้ว ที่สำคัญคืออยู่ใกล้ร้านซึ่งสะดวกต่อพวกเราเดินทางไปมา พวกเราสามคนขอแค่มีห้องโล่งๆ เตียงไม้กระดานสักสองสามตัวก็อยู่กันได้แล้ว มิต้องการอะไรมากมายหรอก” โม่จื่อโหยวกล่าว
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าท่านหนึ่งคือพี่ชายของหลินหลัน อีกสองท่านเป็นถึงหมอวินิจฉัยโรคแห่งหลินจี้แล้วจะให้ปล่อยปละละเลยได้อย่างไรกัน”
หลินหลันตกตะลึง “หลินจี้”
หลี่หมิงอวินยิ้มอ่อน “เจ้าว่าชื่อนี้เป็นอย่างไร ข้าคิดขึ้นมาได้เมื่อคืนนี้ ฟังดูเรียบง่ายและเป็นที่เข้าใจได้อย่างง่ายดาย หากเจ้าไม่คัดค้าน ไว้กลับไปแล้วข้าจะให้คนไปทำป้ายสำหรับแขวนหน้าร้านทันที”
จ้าวเหรินครุ่นคิดชั่วขณะก่อนจะปรบมือแล้วกล่าวขึ้น “เอาสิ! ท่านอาจารย์แซ่ฮู๋ก็ชื่อร้านว่าฮู๋จี้ ศิษย์น้องแซ่หลินก็ชื่อว่าหลินจี้นี่แหละ เรียบง่ายและไม่ต้องคิดให้วุ่นวายไป”
โม่จื่อโหยวกล่าวกล่าวเชิงหยอกล้อ “เดิมทีข้าคิดว่าจะชื่อมู่จื่อถางเสียอีก!”
หลินเฟิงเริ่มต่อล้อต่อเถียงกับเขาขึ้นมา “ด้วยเหตุใดหรือ ข้าว่าชื่อมู่มู่ถางยังดีเสียกว่า”
หลินหลันได้ยินพวกเขายิ่งพูดยิ่งไร้สาระไปกันใหญ่ “หยุดได้แล้ว มิต้องถกเถียงกันให้มากความไป ข้าเลือกชื่อหลินจี้นี่ละ” ทุกคนถึงได้ยอมสงบปากสงบคำแล้วหันไปให้ความสนใจกับการเดินชมที่พักของพวกเขา หลินหลันสะกิดหลี่หมิงอวินด้วยข้อศอกพลางกล่าวกระซิบกระซาบ “เจ้าเป็นถึงจอหงวนอันดับหนึ่ง ไยมิรู้จักช่วยข้าคิดชื่อที่มีความหมายแอบแฝงเสียหน่อย”
หลี่หมิงอวินอมยิ้มและกล่าวออกไป “ที่เจ้าเปิดคือร้านขายยาแล้วจะให้ความสำคัญกับชื่อประหนึ่งบทกวีสวยหรูเหล่านั้นไปเพื่ออันใด ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญคือจดจำได้ง่าย วันหน้าวันหลังพอผู้อื่นเขาพูดถึงร้านหลินจี้จะได้นึกถึงท่านหมอหลินอย่างเจ้าอย่างไรล่ะ ”
หลินหลันกลอกตามองบนใส่เขา “ข้ากลับนึกไปถึงร้านขายขนมปังหลินจี้นู่นแหนะ!”
“จริงสิ เรื่องของพี่ชายข้า เจ้าจะพาเขาไปพบท่านพี่เจิ้งเมื่อใดหรือ” หลินหลันเอ่ยถาม
หลี่หมิงอวินลูบปลายจมูกของเขาก่อนจะกล่าวอย่างลังเลใจ “เรื่องของพี่ชายเจ้าข้าอยากปรับแผนเสียหน่อย”
ช่วงก่อนที่ได้พบเจอจื่ออวี้และถูกจื่ออวี้เทศนาใส่ชุดใหญ่ว่า…เหตุใดเจ้าถึงวางแผนให้พี่เขยเจ้าไปเป็นเจ้าหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิด หากพี่เขยเจ้ายังเป็นนายพรานล่าหมูป่าเสมือนเมื่อก่อน การจะเปลี่ยนไปเป็นเจ้าหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิดนั่นก็คงมิใช่เรื่องที่ต้องกังวลใจแต่อย่างใด เพราะอย่างน้อยๆ ก็จะมีรายได้ที่มั่นคง ทว่ายามนี้เขาเป็นพี่เขยของหลี่หมิงอวินอย่างเจ้า สถานะตัวตนจึงแตกต่างออกไปจากเดิมแล้วยังต้องกังวลเรื่องจะอดๆ ยากๆ อีกหรือ เจ้าอย่าเห็นเพียงว่าทีท่านพี่เจิ้งยังดูมีหน้ามีตาในสังคม ทว่าเขาเป็นถึงผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในด้านเจ้าหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิด ลำพังเจ้าหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิดธรรมดาทั่วๆ ไปใครเขาจะนับหน้าถือตาอีกทั้งลูกหลานคนรุ่นหลังยังไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการสอบจักรวรรดิอีกต่างหาก ต่อให้พี่เขยเจ้ามิได้เก่งกาจอันใด ทว่าเจ้ารับประกันได้อย่างไรว่าบุตรชายบุตรสาวของเขาจะไม่เก่งกาจไปด้วยเช่นกัน เกิดบุตรชายบุตรสาวของเขาเก่งกาจเป็นอย่างมาก แต่ดันถูกเจ้าวางแผนให้สะเปะสะปะจนทำให้ไม่อาจแสดงความสามารถที่มีออกมาได้…
หลี่หมิงอวินถูกจื่ออวี้ปั่นสมองจนคิดไม่ตก ทว่าพอได้ไตร่ตรองดูแล้วที่จื่ออวี้พูดก็มีเหตุผลอย่างมากเช่นกัน เรื่องนี้เป็นเขาเองที่ไม่ทันครุ่นคิดให้รอบคอบ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไปขอคำแนะนำจากหนิงซิ่ง ทางด้านหนิงซิ่งเอ่ยว่าในเมื่อมีศิลปะการต่อสู้ติดตัวอยู่แล้วการไปเป็นทหารจึงเป็นเรื่องดีที่สุด หากมีสงครามขึ้นมา การเลื่อนขั้นก็จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ต้องมองสงครามว่าเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงมิได้ ทว่าภายใต้สงครามเหล่านั้นจะนำมาซึ่งโอกาสอันดีงามของทุกคน หากต้องการเข้าสู่กองทัพซานซี ด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เขาจัดการให้ได้โดยง่ายดาย ทว่าปัญหาสำคัญคือหลินหลันจะเห็นด้วยหรือไม่ และตัวพี่เขยเองจะยินยอมหรือไม่
หลินหลันกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ “มิใช่พูดคุยกับท่านพี่เจิ้งไว้เรียบร้อยแล้วหรอกหรือ”
หลี่หมิงอวินกล่าว “พูดคุยไว้เรียบร้อยแล้ว ต้องการไปเมื่อใดก็ได้ทั้งนั้น ทว่าปัญหาคือ…”
“มีปัญหาอันใดหรือ” หลินหลันรู้สึกเต็มไปด้วยความสงสัย นางมิใช่ไม่รู้ว่าสายงานหน้าที่การจับกุมผู้กระทำผิดนั่นหาได้เป็นงานที่มีหน้ามีตาเชิดชูเกียรติอย่างที่เห็นๆ กันปานนั้นไม่ มันไม่ต่างจากเจ้าหน้าที่เทศกิจในยุคปัจจุบันที่พอเห็นคนวางแผงลอยขายของก็แห่เข้าไปเก็บกวาดทำลาย
หลี่หมิงอวินจึงชี้แจงสถานการณ์คร่าวๆ ให้นางรับฟัง “เป็นเช่นนั้นคงมิได้หรอก มิได้เด็ดขาด ข้าคิดว่าการเป็นเจ้าหน้าที่จับผู้กระทำผิดจะมีเกียรติยศมากมายเสียอีก!” หลินหลันเอ่ยขึ้นทันควันหลังได้ยินดังกล่าว
“ดังนั้นข้าเลยคิดว่าหากพี่ชายเจ้าไม่ยินยอมไปทางด้านหนิงซิ่ง ข้าก็จะช่วยวางแผนหน้าที่การงานอื่นให้เขา”
หลินหลันนิ่งเงียบไปชั่วขณะ “เอาเป็นว่าลองถามไถ่ความคิดเห็นของพี่ชายก่อนแล้วกัน! ข้าเองก็ตัดสินใจแทนเขามิได้เช่นกัน”
หลังทั้งสามคนลงหลักปักฐานกันเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันจึงขอตัวกลับจวนหลี่ ส่วนหลี่หมิงอวินรับหน้าที่พาพวกเขาไปดื่มสุราที่โรงเตี๊ยมอี้เซียงจู
เมื่อกลับถึงจวน หลินหลันตรงไปรายงานแม่มดชรา ซึ่งไม่ต่างจากการรายงานตัวเท่าใดนัก
ทันทีที่ไปถึงโถงหนิงเฮ๋อ ชุ่ยจือบอกกล่าวนางว่านายหญิงใหญ่ให้บอกนางว่าเมื่อกลับถึงจวนแล้วให้ไปยังโถงจาวฮุย
ในระยะที่ผ่านมานี้แม่มดชราขยันไปโถงจาวฮุยแต่หัววันมากเป็นพิเศษ เพราะเรื่องของป๋ายฮุ่ยทำให้แม่มดชราถูกพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายว่ากล่าวไปไม่น้อย แม่มดชราจึงทำได้เพียงเพิ่มความขยันในการเอาอกเอาใจหญิงชราอีกหลายเท่าตัว ในเมื่อทำตนเป็นศรีภรรยาที่ดีมิได้ จึงพยายามทำตนเป็นลูกสะใภ้ผู้แสนดีขึ้นมาแทน ขอเพียงมีหญิงชราคอยคุ้มกะลาหัว นางก็จะลอยหน้าลอยตาได้อย่างไร้ความกังวล
ขณะที่หลินหลันเตรียมหันหลังเพื่อเดินจากไป ชุ่ยจือกลับส่งเสียงเรียงนางเอาไว้ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ…”
หลินหลันชะงักฝีก้าวภายใต้ความรู้สึกประหลาดใจ และเห็นเพียงท่าทีของชุ่ยจือที่กำลังอ้ำอึ้ง
“ชุ่ยจือ มีเรื่องอันใดหรือ”
ชุ่ยจือลังเลใจชั่วขณะ นางมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวังและกล่าวด้วยเสียงกระซิบ “ฮูหยินเรียนเชิญหมอมาด้วยเจ้าค่ะ”
“เรียนเชิญหมอ? ผู้ใดป่วยอีกหรือ” หลินหลันรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
ชุ่ยจือกล่าวเสียงบางเบา “เอาเป็นว่า…เอ้อร์เส้าหน่ายนายเตรียมรับมืออย่างระมัดระวังด้วยนะเจ้าคะ” สิ้นประโยคชุ่ยจือก็รีบเดินจากไปทันที
หลินหลันตกตะลึงไปชั่วขณะ ชุ่ยจือให้นางเตรียมรับมืออันใดหรือ แล้วเหตุใดชุ่ยจือถึงต้องช่วยเหลือนาง ชุ่ยจือเป็นสาวใช้ข้างกายของแม่มดชรานี่…ปัญหาเหล่านี้ค่อนข้างซับซ้อนยิ่งนัก นางมิอาจทำความเข้าใจได้ด้วยเวลาเพียงชั่วครู่ หลินหลันจึงเลือกให้ความสำคัญไปที่ประเด็นการเรียนเชิญหมอมาในวันนี้ เป็นเพราะหญิงชราป่วยขึ้นมาแล้วและนางดันไม่อยู่ในจวนพอดี แม่มดชราก็เลยเรียนเชิญหมอท่านอื่นมาตรวจดูอาการ และด้วยเหตุนี้หญิงชราคงต้องไม่พึงพอใจแล้วใช่หรือไม่ หลินหลันครุ่นคิดก่อนจะส่ายหัวไปมา วันนี้ก่อนนางออกไปก็ได้บอกกล่าวหญิงชราไว้อย่างชัดถ้อยชัดคำแล้ว หญิงชราจึงไม่มีเหตุผลให้ต้องตำหนินาง และด้วยความหมายในคำเตือนของชุ่ยจือทำให้เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวไม่น่าจะธรรมดาถึงเพียงนั้น
ชุ่ยจือปิดประตูลงทันทีที่กลับเข้าไปในห้อง นางเอนหลังพิงบานประตูพลางตบหน้าอกของตนเองอย่างเบามือและสูดลมหายใจเข้าอยู่หลายเฮือกด้วยความรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย ไม่รู้เช่นกันว่านายหญิงสะใภ้รองจะเข้าใจคำเตือนของนางหรือไม่ นางซึ่งคอยมองดูสถานการณ์อย่างเงียบๆ มาโดยตลอดจึงพอจะมองออกว่าหลายปีมานี้นายหญิงใหญ่ทำเรื่องราวต่างๆ นานาไปมากมายเพียงใด โดยเฉพาะหลังจากที่นายน้อยรองกลับเข้ามาในจวน ตราบใดที่นายหญิงใหญ่ก่อเรื่องด้วยเล่ห์กลใดๆ นายน้อยรองก็มักทำให้เรื่องนั้นๆ ยับเยินไม่เหลือชิ้นดีอยู่เสมอ ในขณะเดียวกันสถานะของฮูหยินภายในใจของนายท่านกลับค่อยๆ ถดถอยลงไปทุกวัน คนภายนอกอาจไม่รู้และยังคิดว่านายท่านยังคงจัดสรรเวลาแบ่งมาทางด้านนี้ได้อย่างทัดเทียม ทว่าความเป็นจริงนั้น ยามที่นายท่านมาพักผ่อนทางด้านโถงหนิงเฮ๋อ ส่วนมากล้วนนอนในห้องหนังสือ ถึงจะเห็นว่านายท่านมิได้ปฏิบัติกับนายหญิงใหญ่อย่างเย็นชา ทว่านายน้อยรองกลับค่อยๆ มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นภายนอกหรือภายในจวนก็ตาม วันนี้นางจึงยอมเสี่ยงเพื่อช่วยเหลือนายหญิงสะใภ้รองสักครั้ง ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเหลือทางหนีทีไล่ไว้สำหรับตนเอง
หรูอี้เดินตามหลังพลางบ่นอุบอิบ “ชุ่ยจือก็จริงๆ เลย พูดจาครึ่งๆ กลางๆ ปล่อยให้คนเขางุนงงสับสน ฮูหยินเรียนเชิญหมอมาแล้วมันเกี่ยวกับเอ้อร์เส้าหน่ายนายอย่างไรหรือ มิใช่จะมาตรวจอาการป่วยให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายเสียหน่อย”
ทันใดนั้นหลินหลันฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้และสีหน้าก็เปลี่ยนไปเคร่งเครียดอย่างไม่รู้ตัว “หรูอี้ รีบกลับไปเรือนหลั้วเซี๋ยจายกันก่อน”
หรูอี้เห็นนายหญิงมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันจึงรู้สึกตื่นตกใจขึ้นมาเช่นกัน นายหญิงคาดเดาอันใดขึ้นมาได้แล้วเช่นนั้นหรือ นางรีบเร่งฝีก้าวเดินตามนายหญิงไปติดๆ
อวิ๋นอิงเข้ามากล่าวรายงานทันทีที่เห็นหลินหลันเดินเข้ามาในลานบ้าน “ฮูหยินให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายรีบไปโถงจาวฮุยทันทีที่กลับมาเจ้าค่ะ”
“เข้าใจแล้ว” หลินหลันขานรับเพียงประโยคเดียวสั้นๆ แล้วมุ่งตรงเข้าสู่ตัวบ้านทันที
“หยินหลิ่วเจ้าอยู่กับข้า ส่วนคนอื่นออกไปก่อนเถอะ”
อวี้หลงและหรูอี้มองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนจะแสดงท่าคารวะแล้วถอยออกไปอย่างเงียบๆ พร้อมกับช่วยปิดประตูให้
“หยินหลิ่ว รีบไปหยิบกล่องยาของข้ามาที” หลินหลันเอ่ยพลางปลดเข็มขัดและถอดเสื้อออก
หยินหลิ่วมองนายหญิงด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ยังคงเดินกลับเข้ามาพร้อมกับกล่องยาอย่างเร็วไว
“จุดเทียนแล้วหยิบเข็มเงินออกมา” หลินหลันสั่งการ
หยินหลิ่วปฏิบัติตามคำสั่งอย่างรวดเร็วแล้วช่วยส่งเข็มเงินให้แก่นายหญิง ท้ายที่สุดนางก็อดเอ่ยปากถามขึ้นมาไม่ได้ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ นี่ท่านต้องการทำอันใดหรือเจ้าคะ”
หลินหลันหยิบเข็มเงินจ่ออยู่บนเปลวไฟเพื่อฆ่าเชื้อพลางกล่าวภายใต้สีหน้าเคร่งเครียด “ยามนี้ยังมิใช่เวลาอธิบาย”
หยินหลิ่วทำได้เพียงสงบปากสงบคำเพราะยามที่นายหญิงต้องการลงเข็มจำเป็นต้องใช้สมาธิจดจ่อเป็นอย่างสูง ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ของนายหญิงในเวลานี้คือการลงเข็มเข้าไปที่ตัวของนายหญิงเอง