เล่ม 1 ตอนที่ 125 เหยียบยอดอัจฉริยะไต่ขึ้นที่สูง

ราชินีพลิกสวรรค์

เฮเฮ!

 

 

ลู่เสวียนยิ้มเจ้าเล่ห์ ตั้งท่าต่อสู้พลางจ้องมองไปที่ใครสักคนในสิบอันดับแรก

 

 

“หลียาโถ่วงั้นข้าไปก่อนนะ” ลู่เสวียนแทบรอไม่ไหวที่จะก้าวเท้าออกไป แต่ทว่า ทันทีที่เขาก้าวออกไปนั้น เขากลับดึงเท้ากลับแล้วเตือนเจียงหลีว่า “รอบจัดอันดับนี้กำหนดระยะเวลาไว้ที่หนึ่งเดือน บัดนี้ดำเนินมาเกินครึ่งแล้ว หากผู้แพ้มีคะแนนเพิ่มจะถูกหักสิบคะแนน ผู้ที่ไม่มีคะแนนจะไม่ถูกตัดหรือเพิ่มคะแนน ส่วนผู้ชนะสามารถเลือกที่จะพักหรือประลองยุทธได้ตลอดเวลา”

 

 

เจียงหลียิ้มเล็กน้อยพร้อมกับยกเท้าขึ้นแล้วเตะไปที่บั้นท้ายของลู่เสวียน แต่ครานี้เขากลับหลบหลีกได้อย่างคล่องตัว “ขอบคุณสำหรับคำเตือน ตาเจ้าขึ้นประลองแล้ว”

 

 

นางจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร แต่ลู่เสวียนกลับกลัวว่านางจะไม่เข้าใจกฎการแข่งขันในรอบจัดอันดับของผู้สมัครใหม่ ดังนั้น จึงอยากเน้นย้ำเป็นพิเศษอย่างนั้นหรือ

 

 

ความละเอียดละออเช่นนี้ ช่างเหมือนกับพี่ชายของเขายิ่งนัก เจียงหลียิ้มกล่าวในใจ

 

 

ลู่เสวียนทำหน้าทะเล้นใส่เจียงหลี จากนั้นก็เดินโซเซขึ้นไปบนสังเวียนแห่งหนึ่ง ซึ่งผู้ชนะที่เพิ่งแข่งขันจบไปนั้นอยู่ในอับดับที่เจ็ดพอดีและการฝึกฝนก็อยู่ในหลิงซื่อขั้นที่หกเช่นเดียวกับลู่เสวียน

 

 

แต่แท้จริงแล้วลู่เสวียนเคยก้าวถึงหลิงซื่อขั้นที่แปด แม้ว่าการฝึกฝนจะถดถอยไปบ้างก็ตาม แต่สำหรับความเข้าใจในทักษะการต่อสู้แล้ว ก็สูงกว่าบุคคลนั้นอย่างแน่นอน

 

 

เจียงหลีชำเลืองตามองกการออกอาวุธของพวกเขาทั้งสองเพียงสองสามกระบวนท่าเท่านั้น ก็สรุปได้แล้วว่าลู่เสวียนต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน

 

 

เด็กคนนี้ก็มิใช่นายที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบขนาดนั้น เจียงหลีถอนหายใจแล้วกล่าวในใจ

 

 

 

 

การแข่งขันรอบจัดอันดับของลู่เสวียนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่เจียงหลีกลับเดินไปรอบๆ บริเวณสังเวียนอย่างไร้จุดหมายต่อไป

 

 

อันที่จริงแล้ว การจะเข้าสู่รั้วของเจ็ดบุรุษได้หรือไม่นั้น มิได้อยู่ในความสนใจของนางมากนัก

 

 

แต่ทว่า…

 

 

เจียงหลีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หรี่ตาไตร่ตรอง “สถานะแตกต่างกัน แน่นอนว่าต้นทุนในการฝึกฝนก็คงแตกต่างกันเช่นกัน สิ่งที่ข้าขาดมากที่สุดในตอนนี้คือ ต้นทุนในการฝึกฝนและวิญญาณยุทธขั้นที่สองที่ต้องอาศัยสถาบันไป๋หยวนถึงจะฝึกฝนสำเร็จ…”

 

 

นางกะพริบตา ส่ายหัวแล้วถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าการที่จะบรรลุเป้าหมายของข้านั้น คงเหลือเพียงเหยียบยอดอัจฉริยะเหล่านี้ไต่ขึ้นระดับสูงเท่านั้นแล้ว”

 

 

“ชู่ว! ไร้ยางอายสิ้นดี” คำพูดถากถางอย่างเย็นชาเช่นนี้ดังมาจากด้านหลังของเจียงหลี

 

 

นางหันหลังกลับ มองเห็นคนๆ หนึ่งเดินเข้ามาหานางด้วยใบหน้าที่ภาคภูมิใจและรายล้อมไปด้วยผู้คนซ้ายขวา “สาวน้อยเป็นใครมาจากไหน ถึงพูดจาบังอาจเช่นนี้”

 

 

เจียงหลีกลอกตาและตระหนักดีว่า ‘ผู้ถูกเลือก’ ผู้นี้ได้ยินคำพูดที่พูดจากก้นบึ้งหัวใจของตน

 

 

“ท่านคือ…” นางยิ้มโดยมิได้โกรธเคืองใดๆ

 

 

นางเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น ทำให้จมูกของชายผู้นั้นยิ่งยกสูงขึ้นและแสงแห่งความดูถูกในแววตาก็ยิ่งส่องประกายด้วยเช่นกัน

 

 

ไม่จำเป็นต้องให้เขาเอ่ยปาก สุนัขประจบสอพลอที่อยู่ข้างกายเขารีบเชิดใบหน้าขึ้นทันทีและแนะนำให้แก่เจียงหลีด้วยความโอหัง “แม้แต่นายน้อยหงของพวกเราเจ้ายังไม่รู้จัก สาวน้อยเจ้ามาจากชนบทหรือ”

 

 

“นายน้อยหง?” สีหน้าของเจียงหลีแลดูว่างเปล่าพลางส่ายหัวอย่างจริงใจ “ข้าไม่รู้จักเขาจริงๆ”

 

 

“นังบ้านนอก นายน้อยหงของพวกเราเป็นถึงผู้ถูกเลือกที่มีหลิงซื่อขั้นที่เจ็ดเชียวนะ ชั่วครู่เจ้าพูดอะไรออกมา จะเหยียบยอดอัจฉริยะไต่ขึ้นระดับสูงอย่างนั้นหรือ” สุนัขรับใช้อีกคนกล่าวด้วยเสียงดังลั่น

 

 

ประโยคนี้ทำให้ผู้คนโดยรอบต่างหันหน้ามองไปที่เจียงหลีด้วยแววตาไร้ความปรานี

 

 

สถานที่แห่งนี้คือสถานบันไป๋หยวน มิใช่ตลาด ผู้ที่สามารถปรากฏตัว ณ ที่แห่งนี้ ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนที่มีความทนงตนอยู่ภายในจิตใจ

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือการแข่งขันรอบจัดอันดับสำหรับเด็กใหม่หรือ

 

 

อาจกล่าวได้ว่า คำพูดของเจียงหลีนี้ ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม ได้สร้างความโกรธเคืองต่อหน้าสาธารณชนแล้ว

 

 

เพียงแต่ พอเผชิญหน้ากับสายตาที่ไม่เป็นมิตรของผู้อื่น เจียงหลีมิได้มีความเขินอายใดๆ เลย นางกลับยิ้มอย่างเฉยเมย “คำพูดนี้ออกมาจากปากข้าเองจริงๆ ”

 

 

หืม!

 

 

นางยอมรับจริงๆ หรือ

 

 

บ้าอะไรเนี่ย! สาวน้อยคนนี้บ้าไปแล้วหรือ

 

 

ทุกคนต่างตกตะลึงกับความกล้าหาญของเจียงหลี กล้ายอมรับต่อคำพูดที่สร้างความไม่พอใจให้แก่คนหมู่มากเช่นนี้ ต้องอาศัยความหยิ่งผยองสักเท่าไรเชียว

 

 

แน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้หรอกว่าบัดนี้ภายในใจของเจียงหลีกำลังคิดอะไรอยู่ สถานบันไป๋หยวนเปิดโอกาสให้แก่ทุกคน หากเกณฑ์การรับศิษย์ต่ำจนเกินไป เข้ามาแล้วก็ต้องอาศัยความสามารถเฉพาะตนอยู่ดี ฉะนั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คุณสมบัติของแต่ละคนแตกต่างกันมากพอควร แม้ว่าจะถูกเลือกคัดอย่างเข้มงวดเช่นใดก็ตาม ใครจะรับประกันได้ว่าจะสามารถมองทะลุปรุโปร่งภายในคราเดียวได้เล่า

 

 

เจียงหลีพูดหยอกล้อในใจ เมื่อเผชิญหน้าต่อสาธารณชนก็ยังสง่าผ่าเผยเช่นเดิม

 

 

“จะอวดดีมากเกินไปแล้ว สงสัยต้องสั่งสอนนางสักหน่อยแล้ว”

 

 

“สาวน้อยอายุเพียงเท่านี้ บังอาจมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงที่นี่”

 

 

“ไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลย”

 

 

“ใช่แล้ว พวกเราต้องสั่งสอนให้นางรู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า”

 

 

“…”

 

 

สภาวะความโกรธเคืองของสาธารณชนเช่นนี้ ทำให้ใบหน้าแห่งความภาคภูมิใจของนายน้อยหงเด่นชัดยิ่งขึ้น

 

 

เขามองไปที่เจียงหลีโดยแววตามิได้ซ่อนความดูถูกเหยียดหยามเอาไว้เลย “สาวน้อยรู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังสร้างความเกลียดชังให้แก่สาธาณชนอยู่ หากเป็นเช่นนี้ ข้าคงต้องสั่งสอนเจ้าแล้ว”

 

 

เจียงหลียิ้ม

 

 

แท้จริงแล้ว นายน้อยหงผู้นี้ใช้นางเป็นฐานที่จะเหยียบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปรากฎตัวต่อหน้าสาธารณชน

 

 

เอิ่ม…

 

 

หลิงซื่อขั้นที่เจ็ดกำลังจะท้าทายนางซึ่งเป็นหลิงซื่อขั้นที่เก้า

 

 

หากนางรับคำ มิใช่เป็นการรังแกผู้น้อยหรอกหรือ

 

 

ขณะที่เจียงหลีกำลังลังเลอยู่นั้น นายน้อยหงได้กระโดดขึ้นไปบนสังเวียนที่ว่างเปล่า พร้อมกับชี้นิ้วไปที่เจียงหลี “ไม่รู้ว่าสาวน้อยจะกล้าขึ้นเวทีประลองนี้หรือไม่”

 

 

“ขึ้นไป! ”

 

 

“ขึ้นไป! ”

 

 

“ขึ้นไป! ”

 

 

ฝูงชนส่งเสียงเล้าโลม พวกเขาแทบอดทนรอไม่ไหวที่จะเห็นฉากที่เจียงหลีถูกสั่งสอน

 

 

สถานการณ์ทางนี้ค่อยๆ รุนแรงขึ้น ทำให้ลู่เสวียนที่เพิ่งแข่งชนะถึงกับต้องมาเฝ้าดู พอเจียงหลีถูก “รังแก” เช่นนี้ เขาจึงหยุดการแข่งขัน พร้อมกับกระโดดลงจากสังเวียนและวิ่งมาอย่างเร่งรีบ

 

 

เจียงหลียืนอยู่ใต้สังเวียนโดยไขว้มือทั้งสองไว้ที่ด้านหลัง สายตาเยาะเย้ยของทุกคนต่างมองมาที่เจียงหลี แต่ทว่า นางกลับแสดงสีหน้าที่หยิ่งผยองและสงบนิ่ง มิได้มีร่องรอยของความอับอายและคับใจออกมาให้เห็นเลย

 

 

นางถอนหายใจพลางมองไปที่นายน้อยหงอย่างเห็นอกเห็นใจ “ในเมื่อเจ้ารีบร้อนอยากแสดงความสามารถเช่นนี้ งั้นข้าคงต้องฝืนใจทำตามความปรานารถของเจ้าแล้ว”

 

 

“ฮึ! เด็กเปรต ปากร้ายยิ่งนัก วันนี้ข้าต้องสั่งสอนให้เข็ดหลาบเสียแล้ว! ” นายน้อยหงหงุดหงิดกับคำพูดของเจียงหลี ร่างกายที่ทรงพลังของเขามีแสงสีทองปรากฏอยู่ด้านหลัง

 

 

ในทางกลับกัน เจียงหลีในชุดสีดำกลับก้าวขึ้นสังเวียนไปอย่างไม่เร่งรีบ ฝีก้าวที่สงบนิ่งทำให้เสียงร้องลั่นจากบริเวณโดยรอบค่อยๆ เงียบสงบลง

 

 

พอนางยืนอยู่บนสังเวียน เสียงของลู่เสวียนก็ดังขึ้น “หลียาโถ่วให้ข้าสู้แทนเจ้าเถอะ”

 

 

เจียงหลีหันหลังกลับไปแล้วยิ้ม เห็นเพียงลู่เสวียนกำลังตั้งท่าต่อสู้อยู่

 

 

“อย่าหาว่าข้ารังแกเจ้า ข้าให้เจ้าออกอาวุธก่อนเลย” นายน้อยมองหน้าเจียงหลี มุมปากปรากฎรอยยิ้มเย็นชาและท่าทางหยิ่งผยอง

 

 

เจียงหลีมองกลับไปที่เขา กลับส่ายหัวพร้อมกับยิ้มเบาๆ “ไม่ดีกว่า”

 

 

“เจ้าพูดอะไรนะ หยามข้าหรือ” พอได้ยินนางพูดเพียงเท่านี้ ใบหน้าของนายน้อยหงก็เปลี่ยนไป แววตาเริ่มขุ่นมัวแล้ว

 

 

เจียงหลียังคงส่ายหัวต่อไป “ข้าเกรงว่าหากข้าออกอาวุธก่อน เจ้าจะไม่มีโอกาสได้ออกอาวุธแล้ว”

 

 

บ้าอะไรเนี่ย!…