บทที่ 134: เวทผนึก

ฉินเย่หลับตาลงและสูดหายใจเข้าลึก ๆ

ใจเย็น ๆ อดทนไว้…. ใจเย็น ๆ อดทนไว้….มันก็เหมือนกับการถูกตัดสายโทรศัพท์เท่านั้นไม่ใช่เหรอ? นี่เราขาดสหายแย่ ๆ แบบนี้จริง ๆ เหรอ?

ไม่…ไม่เลยสักนิด…โลกภายนอกไม่เคยขาดคนประเภทนี้เลยสักนิด….

“ข้าเพิ่งไปที่แผนกออกแบบเพื่อสอบถามเกี่ยวกับเรื่องแบบวาดมา” เขาลืมตาขึ้นและเอ่ยว่า “พวกเขาบอกว่า….”

“มือซ้ายเด็ดดอกบุปผาและมือขวาแกว่งไกวกระบี่ เกล็ดหิมะล้านปีร่วงลงมาตรงหน้า หยาดน้ำตา ฮาฮ๊าฮาฮะฮาาา~…นั่นคือข้า ฮะฮาฮ๊าฮาาา~!!!”

ฉินเย่เพิ่งถูกโจมตีอย่างแรงและรวดเร็วจากตุ๊กตายางตรงหน้า โชคดีที่เขารู้สึกมึนงงกับการโจมตีของนางอยู่ก่อนแล้ว เด็กหนุ่มจึงเอ่ยต่อด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไม่เปลี่ยน “เรากำลังอยู่ในจุดสูงสุดของการสร้างนรกขึ้นมาใหม่ และสิ่งที่เราต้องการสำหรับการเริ่มงานก็คือแผนที่ภาพรวม การที่ได้เห็นประธานกรรมการของนรกแห่งใหม่อย่างข้าทำงานไม่หยุดไม่หย่อนเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าท่าน ผู้ที่เป็นผู้บริหารสูงสุดควรจะทำอะไรบ้างหรือ?”

เสียงที่ดังขึ้นจากอีกด้านหนึ่งของหน้าจอแสงหยุดลงทันที และอาร์ทิสก็ตอบกลับมาว่า “การที่ข้าได้เห็นเจ้าทำงานอย่างขยันขันแข็งในชีวิตของตัวเองแบบนี้…ขอโทษที แต่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป และข้าก็พยายามปรับตัวให้ชินกับมันอยู่…หรือว่าการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพอย่างรวดเร็วของเจ้าเช่นนี้ อาจเป็นผลมาจากคำร้องเรียนของผู้อ่านเกี่ยวกับพฤติกรรมขี้ขลาดตาขาวของเจ้าก็เป็นได้?”

“….ข้าขอเตือนท่านเอาไว้ก่อน พวกเราอาจจะสนิทกัน แต่ข้าจะฟ้องท่านในข้อหาใส่ร้ายผู้อื่นหากท่านพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว! ท่านไม่สังเกตเห็นการแสดงพลังอันยิ่งใหญ่ของข้าตลอดหลายสิบตอนที่ผ่านมานี้บ้างเลยอย่างนั้นหรือ?!” ฉินเย่เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“หืม หึหึ….ดูเหมือนว่าใครบางคนแถวนี้จะมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวเองมากเกินไปแล้วสินะ….ความหวาดกลัวที่จะถูกครอบงำโดยหลินฮั่นมันหายไม่หมดแล้วอย่างนั้นหรือ?”

การเผชิญหน้ากันของบางอย่างก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถได้รับการแก้ไขได้ภายในเวลาไม่กี่นาที

อสรพิษทั้งสองจิกกัดกันไปมาเป็นระยะเวลากว่าครึ่งชั่วโมง ก่อนที่พวกเขาจะหมดพิษในที่สุด พวกเขาต่างอยู่ในสภาพพ่ายแพ้และหอบอย่างหนัก ก่อนที่เขาจะแบมือออกมาตรงหน้าอาร์ทิส “ข้าไม่อยากพูดเรื่องพวกนี้อีกต่อไปแล้ว ส่งแผนที่ภาพรวมของนรกมา!!!”

“อะไรทำให้เจ้าคิดว่าข้ามีมันเหรอ?” ฉินเย่ทำได้เพียงจินตนาการใบหน้าสนุกของอาร์ทิสที่อยู่อีกฟากหนึ่งได้อย่างชัดเจน ไร้ซึ่งศักดิ์ศรีของตุลาการนรกอย่างสิ้นเชิง นี่ท่านกล้าดีอย่างไรถึงทำท่าทีกับข้าแบบนั้น? เอาสิ! ข้าเองก็อยากจะเห็นเช่นกันว่าในท้ายที่สุดแล้วท่านจะมาคุกเข่าอ้อนวอนข้าอย่างไร!

เขากัดฟันแน่นและเอ่ยออกไปว่า “หากไม่มีแผนที่ภาพรวม ข้าจะสามารถสร้างสิ่งก่อสร้างเฉพาะและสาธารณูปโภคต่าง ๆ ในยมโลกได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้ท่านเคยพูดถึงศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณและศาลาไว้ทุกข์ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องเหลวไหลหรืออย่างไร?!”

อาร์ทิสเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียดกว่าเดิม “เจ้าไม่มีอย่างนั้นหรือ?”

“ข้าจะไปมีของแบบนั้นได้อย่างไร?!” ฉินเย่มองหน้าจอตรงหน้าอย่างตกใจ “ท่านเอง…ก็ไม่มีมันจริง ๆ หรือ?”

อาร์ทิสเงียบไป จากนั้น หน้าจอแสงก็กระเพื่อมเล็กน้อยก่อนจะฉายภาพของเมืองเป่าอัน จากนั้นอาร์ทิสก็เอ่ยว่า “เป็นไปไม่ได้ เจ้าจะต้องมีมันสิ! ข้าเห็นสิ่งเหล่านี้ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมเยียนท่านจ้าวนรกในตำหนัก พวกเขาทุกองค์ต่างมีมันอยู่แขวนอยู่บนกำแพงด้านหลังของพระตำหนักของพวกเขาทั้งนั้น น่าเสียดายที่ข้ายังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะสามารถเข้าถึงอะไรพวกนี้ได้”

“ข้าได้ยินมาว่าแผนที่ดังกล่าวถูกวาดขึ้นโดยหนึ่งในอดีตพระยม ผู้ที่สำรวจและวัดที่ดินทั้งหมดอย่างละเอียดด้วยตัวเอง มันเป็นส่งถูกเพื่อนำมาใช้และปรับปรุงทุกครั้งที่นรกเกิดการขยายตัว มันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก”

ฉินเย่คิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขาก็จำไม่ได้ว่าตัวเองเคยได้รับของอะไรที่ใกล้เคียงกับแผนที่ภาพรวมมาหรือเปล่า จากนั้นขณะที่เขาจะเอ่ยขึ้น เขาก็พบว่าอาร์ทิสได้หายไปจากหน้าจอเสียแล้ว และนางก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งหลังจากผ่านไปไม่นานนักพร้อมกับเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าอาจจะยากหากปรึกษากันในสถานการณ์เช่นนี้ รออยู่ที่นั่น ข้าจะไปหาเจ้าเดี๋ยวนี้”

หลังจากผ่านไปเพียงเสี้ยววินาที…แผ่นยันต์สีแดงก็กระจายออกไปโดยรอบ จากนั้น….ตุ๊กตายางที่มีเส้นผมสีดำสนิทก็ค่อย ๆ คลานออกมาผ่านหน้าจอสีแดง….

นางคลานออกมา…

จากหน้าจอ…

ด้วยเหตุผลบางประการ ฉินเย่พบว่าภาพตรงหน้านี้ชวนให้นึกถึงเรื่องบางอย่าง

ทำไมจู่ ๆ เขาถึงอยากจะตัดร่างของนางครึ่งหนึ่งขณะที่นางกำลังคลานออกมาจากละครกัน?…. เขาต้องห้ามตัวเองอย่างหนักเพื่อไม่ไปเตะนักคอสเพลย์ที่ดูคล้ายกับผีซาดาโกะตรงหน้า….จะทำอย่างไรดี? เขาดูเหมือนจะทนไม่ไหวแล้ว! ช่วยด้วย!

อาร์ทิสกำลังคลานออกมาจากหน้าจอด้วยท่าทางที่น่ากลัว แต่หลังจากผ่านไปครึ่งทาง นางก็ชะงักและเงยหน้าขึ้นพร้อมกับเอ่ยว่า “ช่วยข้าทีได้หรือไม่?”

“ปิดทีวีน่ะเหรอ?” ฉินเย่ตอบเสียงแข็ง

“ไม่ใช่…พอดีข้ากินเยอะไปหมด และท้องของข้ามันก็ขยายขึ้นเล็กน้อย…เจ้าช่วยมาดึงข้าออกไปที…จะว่าไป เจ้าว่าข้าทานเยอะไปจนเสียรูปร่างหรือเปล่า?”

ให้ตายเถอะ ท่านเป็นตุ๊กตายาง! นี่ท่านกำลังถามข้าเนี่ยนะว่าตัวเองอ้วนจนเสียรูปร่างหรือไม่?

ฉินเย่ข่มความต้องการที่จะผลักคนตรงหน้ากลับเข้าไปในจอดังเดิมและค่อย ๆ ดึงร่างของตุ๊กตาออกมา เมื่อหน้าจอแสงหดกลับสู่สภาพเดิมของมัน เด็กหนุ่มก็ถามขึ้นอย่างอยากรู้ “นี่….”

“เจ้าทำไม่ได้” อาร์ทิสจัดแจงเสื้อผ้าของตนเอง “ยมโลกแห่งไม่สามารถใช้ ‘ยันต์ถ่ายพลังหยิน’ ได้ด้วยซ้ำ อย่างน้อยเจ้าก็ต้องสร้างพระราชวังของยันต์หยิน และทำให้นรกขยายอาณาเขตออกไปสักแสนตารางกิโลเมตร ก่อนที่พวกเราจะกลับมาพูดถึงความเป็นไปได้นี้”

“……”

นี่ท่านเป็นพยาธิตัวกลมที่อยู่ในท้องของข้าอย่างนั้นหรือ?!

อาร์ทิสไม่สนใจคำวิจารณ์ที่ไม่ได้พูดออกมาของฉินเย่และนั่งลงบนเตียงในท่วงท่าที่สง่างาม จากนั้นนางจึงเอ่ยต่อว่า “กลับมาเข้าเรื่องของเรา เจ้าเพิ่งบอกว่าเจ้าไม่มีแผนที่ภาพรวม แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้?”

ฉินเย่ส่ายหน้า

“ก็เพราะว่าหากยายเมิ่งไม่มองการณ์ไกล จนถึงขั้นที่ต้องมอบสิ่งสำคัญขนาดนั้นให้เจ้า และนางก็ไม่สมควรที่จะถูกเรียกว่ายายเมิ่งตั้งแต่แรกด้วย” อาร์ทิสเอ่ยเสียงเรียบ

“เจ้าคิดว่ายายเมิ่งอ่อนแออย่างนั้นหรือ? เป็นแค่แม่ครัวที่นั่งอยู่ที่สะพานไน่เหอ มอบน้ำแกงเบญจรสให้กับผู้ที่ผ่านไปมา? เจ้าคิดผิดแล้ว…สะพานไน่เหอนั้นมีอายุมานานกว่า 3,000 ปี มีวิญญาณกี่ตนที่ข้ามสะพานแห่งนี้? วิญญาณที่ข้ามสะพานไปพวกนั้นมีตั้งแต่ ผู้ฝึกตนจากราชวงศ์ฉิน เสนาบดีจากราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ่ง ขันทีจากราชวงศ์หยวน และแม้แต่ปรมาจารย์แห่งสวรรค์จากราชวงศ์หมิง จะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขาปฏิเสธที่จะดื่มมัน?”

ฉินเย่กะพริบตาปริบ “หากท่านต้องการจะทำให้วัวดื่มน้ำ ท่านก็ต้องกดหัวมัน….”

“…เจ้าควรดีใจที่วิญญาณพวกนี้ ไม่สามารถกระโดดออกมาจากโลงศพและจัดการเตะเจ้าจนกระเด็นได้…แต่เจ้าเข้าใจหลักการสำคัญถูกต้องแล้ว เจ้าลองคิดดูว่านางก็แข็งแกร่งมากเพียงใด นางถึงขั้นสามารถชะลอการเดินทางไปสู่สวรรค์ของตนเองและใช้ชีวิตอยู่ในแดนมนุษย์เป็นเวลานานเพียงเพื่อที่จะฝากความหวังสุดท้ายในการสร้างยมโลกขึ้นใหม่ไว้กับเจ้า เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่านางจะไม่คาดการณ์ถึงอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในการสร้างใหม่ของเจ้าด้วย?” อาร์ทิสเอ่ยเสียงเรียบ

“มันไม่เกี่ยวว่าเจ้าจะกล้าหาญหรือมุ่งมั่นเพียงใด ตราบใดที่เจ้าไม่มีแผนที่ภาพรวมของนรก หรือข้อมูลจำเพาะของสิ่งปลูกสร้างและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เจ้าก็จะต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 3,000 ปีก่อนที่ยมโลกจะสามารถกลับสู่ความรุ่งโรจน์ในอดีตได้อีกครั้ง และเวลา 3,000 ปี…ก็เพียงพอสำหรับที่วิญญาณจำนวนมากจะล้มล้างแดนมนุษย์!”

ทันใดนั้นฉินเย่ก็เอ่ยขึ้นว่า “นี่ท่านกำลังพูดถึง….สมุดที่ยายเมิ่งได้ทิ้งไว้ให้ข้าก่อนหน้านี้อย่างนั้นหรือ?”

และก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ สมุดโบราณเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศและพลิกหน้ากระดาษอย่างรวดเร็ว เมื่ออาร์ทิสยกมือขึ้นเบา ๆ ฉินเย่ก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองถูกเคลื่อนย้ายมายังมิติใหม่ มันแทบจะเหมือนกับว่า…เขาเพิ่งถูกแยกออกจากส่วน ๆ ของเมืองไดซานอย่างสิ้นเชิง

“มิติกักขัง” อาร์ทิสเห็นประกายความคาดหวังในดวงตาของฉินเย่ นางก็โจมตีฉินเย่อีกครั้งราวกับพยาธิตัวกลมอย่างที่นางเป็นอยู่ตอนนี้ “ตอนนี้เจ้าอยู่ในขั้นของนักล่าวิญญาณ เจ้าก็จะได้รับอนุญาตในการเข้าถึงศาสตร์แห่งนรกบางศาสตร์ น่าเสียดายที่เจ้าเพิ่งถูกแต่งตั้งให้เห็นยมทูตหลังจากที่นรกได้ล่มสลายไปแล้ว เจ้าจึงไม่มีตราสัญลักษณ์ประทับอยู่บนร่าง นอกจากนี้ยมโลกแห่งใหม่ก็มีขนาดเท่าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง และมันก็ยังไม่สามารถเรียกว่าเมืองได้ด้วยซ้ำ หลังจากนี้เจ้าจะต้องทำให้มันกลายเป็นระดับเขต เมือง นคร และมณฑล….”

“เมื่อนรกขยายขึ้นจนมีขนาดเท่ากับเมือง เจ้าสามารถสร้างสิ่งก่อสร้างระดับเมืองและรักษากำลังคนได้แล้ว เจ้าก็จะสามารถเริ่มใช้ศาสตร์แห่งนรกขั้นพื้นฐานระดับยมเทพได้ และในทำนองเดียวกัน เพื่อที่จะสามารถเข้าถึงแต่ละระดับของศาสตร์แห่งนรกได้ อย่างน้อยเจ้าก็จะต้องเป็นยมทูตที่อยู่ในขั้นเดียวกันกับระดับนั้น”

ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างไม่พอใจนัก

ดูเหมือนว่าหนทางในการปัดเป่าวิญญาณของเรายังอีกยาวไกลสินะ….นี่มันไม่ถูกต้องเลย…มันไม่เห็นจะสอดคล้องกับบทของตัวเอกที่เขาเคยอ่านมาเลยสักนิด….ไม่ใช่ว่าเขาได้เข้าถึงศาสตร์ที่ท้าทายสวรรค์ และมันจะทำให้เขาสามารถผนึกสวรรค์หรืออะไรแบบนั้นได้หรอกนะ…..

ภาพที่เห็นตรงหน้ามันดูยากที่จะเชื่อเกินไป….

อาร์ทิสไม่ได้สนใจเด็กหนุ่มเลยสักนิด นางหันไปมองสมุดโบราณด้วยดวงตาที่แดงก่ำเล็กน้อย หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ”

และก่อนที่นางจะเอ่ยจบ อาร์ทิสก็ขยับมือยางของนางอย่างรวดเร็ว และพลังหยินที่อยู่ภายในห้องก็กระเพื่อมจนเกิดเสียงดังขึ้น จากนั้นสมุดโบราณตรงหน้าก็พลิกหน้ากระดาษอย่างรวดเร็วพร้อมกับที่น้ำวนพลังหยินหมุนแรงขึ้น!

ฟึ่บ….ในที่สุดอาร์ทิสทำสัญลักษณ์มืออันซับซ้อนทั้งเก้าสำเร็จ ฉินเย่อ้าปากค้างและก้าวถอยหลัง อากาศภายในห้องอัดแน่นไปด้วยพลังหยินที่หนาแน่นจนเกือบจะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง แรงกดดันที่กดลงมาบนร่างของฉินเย่นั้นรุนแรงจนเขาต้องพิงหลังกับกำแพงเพื่อช่วยพยุงตัวเอาไว้

ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าสาเหตุที่อาร์ทิสหายไปจากหน้าจอก่อนหน้านี้ก็คงเป็นเพราะว่านางไปหยิบเวทโบราณนี้นั่นเอง!

“เวทผนึก….” อาร์ทิสเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นนางก็สะบัดมือออก “คาถาสะกดปิดผนึกซากอสูร!!!” [1]

ไม่สามารถต้านแรกกระตุ้นที่พุ่งขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ฉินเย่รีบเอื้อมมือไว้หยิบของที่อยู่ใกล้ ๆ และโยนมันไปที่อาร์ทิสทันที

“….นี่เจ้าหนู! ทำไมเจ้าถึงต้องไม่พอใจขนาดนั้นด้วย?”

“….ข้าอยากจะ…..ข้านึกอยู่แล้วเชียวว่าไม่ควรปล่อยให้คนโง่กลายเป็นพวกเสพติดการเล่นอินเทอร์เน็ต!!”

อาร์ทิสโบกมือ จากนั้นทุกอย่างที่ลอยไปมาในอากาศก็หยุดอยู่กับที่ ไม่ว่าจะเป็นปากกา สมุด หรือหมอน จากนั้นนางก็ชี้ไปที่สมุดโบราณ “เจ้าไม่คิดหรือว่าชื่อของมันฟังดูดีไม่เบา….เอาล่ะ เอาล่ะ เลิกมองข้าด้วยสายตาของลูกสุนัขได้แล้ว…แล้วเหตุใดเจ้าจะต้องสนใจด้วยว่ามันเรียกว่าอะไร? สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือมันถูกปลดผนึกมิใช่หรือ?”

ฉินเย่แทบจะระเบิดหัวเราะออกมา ท่านเรียกมันว่าสายตาของสุนัขอย่างนั้นหรือ? มานี่สิ ขยับเข้ามาดูใกล้ ๆ! มันเรียกว่าสายตาแห่งการดูถูก!

ด้วยเหตุผลบางประการ เขากลับรู้สึกว่าไอคิว (IQ) ของคนตรงหน้าลดลงอย่างมากตั้งแต่นางจมดิ่งลงสู่หุบเหวลึกของอินเทอร์เน็ต เขาจะทำอย่างไรดี?!

ตอนนี้ เขาขี้เกียจเกินกว่าที่จะโต้เถียงกับอาร์ทิสอีกต่อไป และเด็กหนุ่มก็หันไปมองสมุดโบราณที่ยังลอยอยู่กลางอากาศและกำลังแผ่พลังหยินออกมา หากพูดกันตามจริง…พลังหยินที่แผ่ออกมานั้นเทียบได้กับพลังหยินที่อยู่รอบ ๆ บันทึกนรกเลยด้วยซ้ำ!

ฟึ่บ…..หากอาร์ทิสไม่ได้แยกมิติเอาไว้ก่อนหน้านี้ พื้นที่อยู่โดยรอบคงเริ่มสั่นสะเทือนอย่างไม่สามารถควบคุมได้ คลื่นพลังหยินที่ไร้ที่สิ้นสุดหมุนวนไปรอบ ๆ ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนสีดำขนาดใหญ่เบื้องหน้าของฉินเย่ ไม่กี่วินาทีต่อมา ใจกลางของกระแสน้ำวนดังกล่าวก็แยกออก เผยให้เห็นดวงตาแดงก่ำคู่หนึ่ง!

ฟุ่บ! วินาทีนั้น ราวกับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ขาของฉินเย่ทรุดฮวบจนเขาต้องลงไปนั่งคุกเข่าลงกับพื้น อาร์ทิสเองก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน เสื้อผ้าของทั้งคู่กระพืออย่างรุนแรงจากพายุพลังหยินอันทรงพลัง แม้แต่วิกผมบนศีรษะของอาร์ทิสก็ยังกระเด็นหลุดไปอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง นางจ้องไปยังดวงตาแดงก่ำที่กำลังเหลือบสายตาไปมองรอบ ๆ อย่างสยดสยอง และเอ่ยออกมาอย่างเหลือเชื่อ “กระจกส่องกรรม [2]….นางนำสิ่งนี้มาด้วยจริง ๆ….”

“ท่านยังมีเวลามาตกใจอีกหรือ?” แรงกดดันของกระแสน้ำวนตรงหน้ารุนแรงจนกล้ามเนื้อบนใบหน้าของฉินเย่กระเพื่อมเหมือนกับคลื่นพลังหยินตรงหน้า “หากท่านไม่ทำอะไรสักอย่าง ยมทูตตนสุดท้ายผู้นี้ก็อาจจะถูกส่งตัวไปยังนรกอย่างเป็นการถาวรเช่นกัน!”

อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้สติทันที มือของนางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่กี่วินาที จากนั้นนางก็ชี้ไปที่กระจกตรงหน้า

กริ๊ก…เสียงที่เหมือนกับมีบางอย่างไปกระทบกับพื้นผิวของกระจกดังขึ้น ทันใดนั้น กลุ่มก้อนพลังหยินตรงหน้าก็กระจายตัวเอง และแม้แต่นัยน์ตาสีแดงเข้มเองก็หายไปเช่นกัน พลังหยินที่เหลืออยู่หมุนวนไปรอบ ๆ ก่อนจะก่อตัวเป็นกระจกที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ ตกลงในมือของฉินเย่เบา ๆ

“นี่มันคือบ้าอะไร?!” ฉินเย่อ้าปากค้างขณะที่ปาดเหงื่อบริเวณหน้าผากของตนเอง

อาร์ทิสมองไปยังกระจกโบราณด้วยสีหน้าซับซ้อน หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ นางก็เอ่ยขึ้นว่า “กระจกส่องกรรม…คือ…อาวุธอันทรงพลังที่ใช้สำหรับควบคุมดูแลยมทูต และมันยังเป็น….ดวงตาเห็นธรรมด้วย”

“ไม่มีสิ่งใดในโลกมนุษย์และนรกที่สามารถรอดพ้นสายตาของมันไปได้…ข้านึกว่า…กระจกนี้ได้สลายไปภายใต้พลังอันยิ่งใหญ่ของพระกษิติครรภโพธิสัตว์แล้วเสียอีก….มันไม่ใช่หนึ่งในสามสมบัติพื้นฐาน และไม่ใช่วัตถุศักดิ์สิทธิ์…แต่มันก็ยังสามารถเรียกได้ว่าเป็นสมบัติอมตะ”

“ท่านช่วยภาษาคนหน่อย” ฉินเย่นั่งลงบนเตียงอยู่หดหู่ ความรู้สึกกดดันจากก่อนหน้านี้ยังคงชัดเจนอยู่ในใจ และเขาก็ยังมีอาการใจสั่นอยู่

มันเหมือนกับ…สิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวในนรกเพิ่งลืมตาขึ้นมาและจ้องตรงเข้ามาในจิตใจของเขา!

และทันทีที่เขาขยับตัว เขาก็จะถูกขับออกจากนรกทันที!

“ท่านควรเลิกอ่านนิยายแฟนตาซีพวกนั้นเป็นการถาวรได้แล้ว…มาเร็ว บอกข้าว่ามันคืออะไรกันแน่! แล้วก็ใช้ภาษาคนพูดให้ข้าเข้าใจด้วย!”

[1] อ้างอิงจากคาถาสะกดปิดผนึกซากอสูรในเรื่องนารูโตะ โฮคาเงะรุ่นที่ 4 ได้ใช้คาถานี้ในการผนึกปีศาจเก้าหางไว้ในร่างของตน

[2] ตำนานกล่าวว่าจิ๋นซีฮ่องเต้มีกระจกที่สามารถเปิดเผยจิตใจคนได้