บทที่ 42.2 พลังของทักษะกระชากมิติ (2)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

ทักษะกระชากมิติย่อมถูกจัดว่าเป็นทักษะระดับ 10 ดาวเป็นอย่างต่ำ อาจกล่าวได้ว่าสำหรับใครก็ตามที่มีระดับพลังปราณที่เท่าเทียมกันหรือใกล้เคียงกับโจวเหว่ยชิง ทักษะระดับ 10 ดาวใดๆ ก็ย่อมไม่อาจต่อกรกับมันได้เพราะทักษะนี้เป็นทั้งการโจมตีและการป้องกันรวมอยู่ในหนึ่งเดียว สำหรับทักษะดังกล่าว มีแนวโน้มว่าแม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ที่มีอัญมณี 8-9 ชุด ส่วนใหญ่ก็ยังไม่อาจครอบครองทักษะที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้ ปัจจุบันซ่างหลางมีมณีสวรรค์ 3 ชุดเท่ากับโจวเหว่ยชิง ดังนั้นไม่ว่าเขาจะใช้ทักษะอะไร เขาก็ไม่อาจเอาชนะทักษะกระชากมิติได้

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับทักษะกระชากมิติ ร่างของซ่างหลางก็เกือบถูกลากเข้าไปในรอยแยกแปลกประหลาดนั้น แผนเดิมของเขาคือใช้บอลอัคคีทำให้โจวเหว่ยชิงเสียสมาธิ จากนั้นก็จู่โจมระยะประชิด ทว่าแผนนั้นกลับถูกทำลายไปเพราะอีกฝ่ายใช้ทักษะกระชากมิติเพียงครั้งเดียว

โจวเหว่ยชิงหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น ในเสี้ยววินาทีก่อนที่ทักษะกระชากมิติจะหายไป ขาขวาของเขาก็โผล่ออกมาอีกครั้ง

ซ่างหลางอยู่ในระยะใกล้มาก ตอนนี้เขายังเสียการทรงตัวอย่างสิ้นเชิงเพราะตกเป็นเหยื่อของแรงดึงดูดจากทักษะกระชากมิติ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจหลบเลี่ยงลูกเตะของของโจวเหว่ยชิงได้ทัน เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตวัดกริชในมือซ้ายฟันไปยังขาขวาของโจวเหว่ยชิงเต็มแรง

เสียงคล้ายโลหะกระทบกัน *เคร้ง* ขณะที่กริชศาสตรามณียุทธ์ของซ่างหลางถูกชนจนเบี่ยงออกไป แม้จะหมุน เวียนพลังปราณสวรรค์ทั้งหมดของเขาและใช้ประโยชน์จากมณียุทธ์ประเภทประสานงานเพื่อกระจายแรงปะทะส่วนใหญ่ออกไปแล้ว ทว่าร่างทั้งร่างของเขาก็ยังต้องกระเด็นกลับมาที่เดิมด้วยแรงเตะของโจวเหว่ยชิง พลังที่รุนแรงนั้นยังทำให้เลือดพุ่งออกมาจากลำคอจนต้องกระอักเลือดออกมากลางอากาศ แน่นอนว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นโจวเหว่ยชิงยังไม่ได้ใช้ขาขวาของปีศาจอย่างเต็มกำลังด้วยซ้ำ อย่างไรเสียเขาก็ไม่อยากเผลอฆ่าคนในโรงเรียนไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ขาขวาของโจวเหว่ยชิงตวัดกลับลงไปที่พื้นและเหยียบลงไปเต็มแรง จากนั้นก็ใช้แรงต้านส่งร่างกายพุ่งกระโจนไปทางซ่างหลางอย่างรวดเร็ว

ในขณะนั้นซ่างหลางเองก็แสดงให้เห็นถึงประสบการณ์การต่อสู้อันโชกโชนของเขาเช่นกัน วงแหวนไฟอันเกรี้ยวกราดปะทุขึ้นรอบตัวของเขาพร้อมกับประกายเพลิงสว่างจ้า นี่เป็นอีกหนึ่งทักษะที่เขากักเก็บไว้เรียกว่าทักษะเกราะป้องกันธาตุไฟ ไม่เพียงแต่มีความสามารถในการป้องกัน แต่ยังสามารถเผาผลาญศัตรูที่เข้ามาใกล้เขาได้อีกด้วย เมื่อจุดเกราะไฟขึ้นมาแล้วร่างกายของเขาหมุนเป็นเกลียวพุ่งกลับออกไปกลางอากาศแทบจะพร้อมกัน คนทั้งคู่พุ่งเข้าหากันด้วยความเร็วดุจสายฟ้า กริชในมือขวาของซ่างหลางสามารถเฉือนผ่านไหล่ของโจวเหว่ยชิงไปอย่างโหดเหี้ยม

โจวเหว่ยชิงไม่กล้าปล่อยให้เกราะป้องกันธาตุไฟระดับมณี 3 ดวงของซ่างหลางแผดเผาร่างของเขา เพราะถึงแม้ว่าเขาคงจะไม่ได้รับความเสียหายมากนัก แต่เสื้อผ้าของเขาก็คงจะต้องพังยับเยินเป็นแน่ เขาตวัดสายตาไปมองซ่างหลางที่เพิ่มจะโจมตีเขาสำเร็จ ชั่วพริบตานั้นร่างของโจวเหว่ยชิงก็หายวับไปทันที ซ่างหลางพลันรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกที่แผ่นหลังพร้อมกับความรู้สึกเย็นยะเยือก ร่างเขากระเด็นไปในทิศทางตรงกันข้ามทันที เขากระอักเลือดสดๆ ออกมาอีกครั้งกลางอากาศก่อนจะหมดสติไปเมื่อร่างกระแทกถึงพื้น

โจวเหว่ยชิงค่อยๆ ร่อนลงบนพื้นในเวลาเดียวกันพร้อมกับคันธนูขนาดใหญ่ในมือ ธนูราชันย์นั่นเอง อย่างไรก็ตาม หลังจากเคลื่อนย้ายพริบตาไปปรากฏตัวอยู่ด้านหลังซ่างหลาง คราวนี้เขาไม่ได้ยิงธนู แต่กลับใช้คันธนูหวดออกไปตรงๆเหมือนแส้เพื่อโจมตีอีกฝ่ายจากทางด้านหลัง

“เรื่องง่ายๆ” โจวเหว่ยชิงกล่าวขณะใช้สายตาหยามเหยียดมองไปที่ซ่างหลาง ขณะนี้ผู้ชมรอบๆ กำลังจ้องมองมาที่เขาและตกอยู่ในความเงียบ ตั้งแต่เริ่มการต่อสู้จนถึงตอนนี้เวลาแทบจะผ่านไปไม่นานเท่าไหร่นัก ทว่าตลอดการต่อสู้โจวเหว่ยชิงสามารถกำราบซ่างหลางลงได้อย่างง่ายดาย ดูเหมือนว่าซ่างหลางจะไม่มีโอกาสเอาชนะเขาได้เลยด้วยซ้ำ

รุ่นพี่ทุกคนกำลังจดจ้องไปที่โจวเหว่ยชิงราวกับว่าเขาเป็นสัตว์ประหลาด พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าผู้ที่มีอำนาจเหนือพวกเขามาเป็นเวลา 3 ปีอย่างซ่างหลางจะพ่ายแพ้ให้แก่เด็กใหม่ไปเช่นนี้จริงๆ ถึงกับพ่ายแพ้อย่างหมดรูปซะขนาดนั้น!

ทันใดนั้นเอง รุ่นพี่หัวโล้นทั้ง 5 คนก่อนหน้าก็รีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว พวกเขาตรงเข้ามายืนขวางอยู่ระหว่างโจวเหว่ยชิงและซ่างหลาง จับจ้องไปที่โจวเหว่ยชิงที่มีธนูอยู่ในมือ ทว่าโจวเหว่ยชิงกลับเอ่ยขัดว่า “พวกเจ้าอยากจะโดนอัดอีกรอบ? หรือว่ายังมีใครแข็งแกร่งกว่านี้อีก? นำตัวออกมาสิ”

รุ่นพี่ที่มีมณี 3 ดวงกล่าวอย่างขุ่นเคือง “แม้จะต้องตาย เราก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าทำร้ายพี่ใหญ่หลาง” เมื่อเขาพูดจบก็หันไปหาเหล่าบรรดานักเรียนรุ่นพี่ที่ยืนมุงอยู่รอบๆ จากนั้นก็ตะโกนออกไปว่า “พี่น้องทั้งหลาย ตลอดหลายปีที่ผ่านมาแม้ว่าเราจะเก็บค่าคุ้มครองจากพวกเจ้าทุกคน แต่เราก็ทำตามที่สัญญาเอาไว้และปกป้องพวกเจ้าเสมอ  อย่างน้อยพวกข้าก็สามารถป้องกันไม่ให้พวกชนชั้นสูงรังแกและทำร้ายพวกเราทุกคน ถ้าไม่ใช่เพราะหลางพี่ใหญ่หลาง จะมีพวกเราอีกสักกี่คนที่ถูกรังแกและกดขี่โดยพวกขุนนางน่าขยะแขยงพวกนั้น! เงินค่าคุ้มครองทั้งหมดถูกนำไปใช้สำหรับศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บของพี่หลาง ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นเพื่อคอยปกป้องพวกเรา ตอนนี้เขากำลังตกที่นั่งลำบาก พวกเจ้าจะไปยืนจ้องอยู่ตรงนั้นเฉยๆ หรือ? ถ้าไม่ใช่เพราะเขา พวกเรานักเรียนสามัญชนก็คงจะถูกพวกนักเรียนชนชั้นสูงรังแกจนตาย!”

เมื่อได้ยินคำพูดของพวกรุ่นพี่หัวโล้น เหว่ยชิงก็ชะงักไป ไม่นานเขาก็เห็นนักเรียนรุ่นพี่ หลายคนเดินออกมาจากฝูงชนอย่างช้าๆ มุ่งหน้าไปยืนรวมกับรุ่นพี่หัวโล้นทั้ง 5 เพื่อขวางระหว่างโจวเหว่ยชิงและซ่างหลางที่หมดสติเอาไว้

เด็กใหม่คนอื่นๆ ไม่มีเคลื่อนไหวใดๆ นักเรียนใหม่ที่มามุงดูมีแค่เพียง 7-8 คนและส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

โจวเหว่ยชิงขมวดคิ้ว “เพื่อปกป้องนักเรียนสามัญชน? นี่เป็นเหตุผลสำหรับค่าคุ้มครองหรือ? ถ้าพี่หลางของเจ้ามีความสามารถ ทำไมเขาไม่ออกไปหาเงินด้วยตัวเองล่ะ? ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ เขาจะมีรายได้น้อยได้อย่างไร?”

รุ่นพี่หัวโล้นที่มีมณี 3 ดวงกล่าวอย่างโกรธๆ ว่า “คนท้องอิ่มจะรู้จักความหิวโหยได้อย่างไร? แม้ว่าพวกเราจ้าวมณีจะแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไปมาก แต่ค่าใช้จ่ายในการกักเก็บทักษะและศาสตรามณียุทธ์ก็แพงเกินไปอยู่ดี วิธีเดียวที่จะทำให้แข็งแกร่งขึ้นได้อย่างง่ายดายคือยอมอยู่ภายใต้อำนาจของสำนักกักเก็บทักษะหรือกลายเป็นทาสรับใช้ของพวกขุนนาง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเราจะหาเงินได้มากขนาดนั้นด้วยความสามารถของตัวเอง เจ้าจะไปถามใครก็ได้ คนที่สามารถกักเก็บทักษะหรือหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์ได้จริงๆ นั้น มีกี่คนที่ขายตัวเองให้กับสำนักกักเก็บทักษะหรือตระกูลขุนนางบ้าง? สำหรับพวกเราแล้ว พวกเราไม่ต้องการสูญเสียอิสรภาพและศักดิ์ศรีไป นั่นคือเหตุผลที่พวกเราต่อสู้จนถึงที่สุด ทุกคนพยายามหาเงินอย่างหนักและเงินพวกนี้ก็เพียงพอแค่สำหรับพี่หลางคนเดียว ทว่าเพียงเท่านี้เราก็สามารถปกป้องศักดิ์ศรีและอิสรภาพของตัวเองต่อไปได้แล้ว”

เมื่อฟังคำพูดของเขา โจวเหว่ยชิงก็อดจะนึกไปถึงครั้งแรกที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พาเขาไปที่สำนักกักเก็บทักษะและร้านค้าศาสตรามณียุทธ์ไม่ได้ สายตาที่เย็นชาของเขาจึงค่อยๆ อ่อนลง เมื่อมองไปยังกลุ่มรุ่นพี่ประมาณ 20 กว่าคนที่ยืนเคียงข้างอยู่กับรุ่นพี่หัวโล้น เขากล่าวว่า “เพราะฉะนั้น เจ้ากำลังจะบอกว่าพวกเจ้าเรียกเก็บค่าคุ้มครองจากผู้ที่ถูกกดขี่โดยเหล่าขุนนางหรือสำนักกักเก็บทักษะ?”

รุ่นพี่หัวโล้นตอบว่า “ถูกต้อง”

โจวเหว่ยชิงพูดต่อไปอย่างเย็นชา “แล้วทำไมถึงเก็บเงินจากพวกนักเรียนใหม่?”

เขาตอบกลับมาว่า “พี่หลางกล่าวว่าเราต้องให้น้องใหม่เรียนรู้โลกแห่งความเป็นจริงบ้าง จะได้รู้ว่าโลกของผู้แข็ง แกร่งอยู่เหนือผู้อ่อนแอเป็นอย่างไร หลังจากพิธีเปิดภาคเรียน พวกเราจะเล่าเกี่ยวกับสถานการณ์ในหอพักสามัญชนของเราให้เจ้าฟัง ให้เจ้าตัดสินใจเองว่าจะเลือกทางไหน อิสรภาพและศักดิ์ศรี หรือเส้นทางลัดสู่อำนาจ”

ในขณะนี้หม่าฉุนเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ โจวเหว่ยชิงอย่างเงียบเชียบและพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ลูกพี่ เราเพิ่งทำเรื่องผิดพลาดลงไปหรือเปล่า?”

โจวเหว่ยชิงหันมาจ้องมองเขา “ผิดพลาดบ้านเจ้าสิ ไปให้พ้น ข้าไม่ใช่ลูกพี่ของเจ้า” กล่าวจบเขาก็หันกลับไปหารุ่นพี่ที่มีมณี 3 ดวงและพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่สนใจว่าเหตุผลของเจ้าคืออะไร แต่คราวหน้าอย่ามาขวางทางข้าอีก ไม่เช่นนั้นข้าจะจัดการพวกเจ้าอีกรอบ” จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและมุ่งหน้าไปที่ห้องของเขาทันที

ทว่าไม่มีใครรู้ว่าสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในระยะไกลๆ ในขณะนี้ดวงตาของดอกไม้แห่งยมโลกนั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึง เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า “จ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 3 ดวงพร้อมกับมณียุทธ์เพิ่มความแข็งแกร่ง อีกทั้งหนึ่งในศาสตรามณียุทธ์ยังเป็นธนู ข้าคิดว่าเขาน่าจะเป็นนักธนู ยิ่งไปกว่านั้น มณีธาตุของเขาเป็นถึงทักษะธาตุมิติ! ทักษะชนิดหนึ่งที่เขากักเก็บไว้คือทักษะเคลื่อนย้ายพริบตา ส่วนอีกทักษะหนึ่งที่ข้าไม่รู้จัก…เป็นทักษะแปลกๆที่สามารถจัดการกับบอลอัคคีได้อย่างง่ายดาย น่าสนใจจริงๆ… ไม่แปลกใจที่ท่านพี่บอกว่าคนๆ นี้อันตราย”

……………………………