บทที่ 136 เป็นท่าน

คู่ชะตาบันดาลรัก

นายท่านสามจำคืนนั้นได้ เปลือกตาขวาของเขายังคงกระตุกตลอดเวลา รู้สึกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น

เขาเชื่อในสัญชาตญาณของตนเองมากเป็นเพราะเขาเชื่อฟังสัญชาตญาณของตนเองทำให้เขาถอนตัวจากคดีของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องได้ทันเวลา

ตอนนี้สัญชาตญาณบอกเขาว่ามีบางอย่างผิดปกติ หลังจากคิดถึงเรื่องนี้เขาก็ตัดสินใจไปที่สวนอวี๋ฟางเพื่อไปเอาของสิ่งนั้นคืนมา ตอนนั้นเขามอบของสิ่งนั้นให้ภรรยาของตน เพราะเขารู้สึกว่าเก็บไว้กับตัวจะไม่ปลอดภัยจึงให้นางนำมันกลับมาที่ตงหนิงจะดีกว่า

ไม่มีผู้ใดคิดเลยว่าปิ่นทองที่อยู่กับนางนั้นซ่อนความลับบางอย่างที่สำคัญมากเอาไว้ ซึ่งแม้แต่ตัวนางเองก็ไม่มีทางรู้ เขาเข้ามาในสวนอวี๋ฟางและพบว่าไฟที่ห้องหลิวจิ่งเปิดอยู่ เขารู้สึกแปลกใจจึงเดินเข้าไป

“นั่นใคร” เขาเห็นภรรยาของตนคุกเข่าอยู่หน้ารูปปั้นเสวียนหนี่เหนียงเหนียง เมื่อรู้สึกว่ามีคนเข้ามาในนี้ก็ตกใจ เมื่อหันไปเห็นใบหน้าของเขานางก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“น้องสี่” นางแปลกใจมาก “ดึกเพียงนี้แล้วท่านมาที่นี่ทำไมหรือ” ราวกับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางดูไม่สบายใจและมองเขาอยู่หลายครั้ง

นายท่านสามไม่ต้องเดาก็รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ ห้องหลิวจิ่งเป็นสถานที่ที่นางพบปะส่วนตัวกับน้องหกกับพี่สองจึงเป็นเรื่องแปลกที่เขาโผล่มากลางดึกเช่นนี้

น้องสี่เป็นคนที่เคร่งครัดในกฎเกณฑ์มาโดยตลอด แต่…นางไม่ได้ไปที่สวนซิ่นหรอกหรือ

“ข้าแปลกใจที่เมื่อครู่เห็นเกี้ยวออกมาจากสวนจึงเข้ามาดู” เขาพูดเช่นนั้นพร้อมกับจ้องมองที่สีหน้าของนาง

นางเริ่มประหม่า แต่ยังฝืนยิ้มออกไป “น้องสี่ตาลายไปหรือเปล่า ดึกเพียงนี้แล้วจะมีเกี้ยวออกจากสวนได้อย่างไรกัน มันน่ากลัวเกินไป”

แน่นอนว่าต้องเกิดปัญหาใดเป็นแน่ พี่สองบอกกับเขาว่าได้ส่งคนออกไปแล้ว แต่ตอนนี้นางยังคงอยู่ที่นี่แล้วคนที่ส่งออกไปคือผู้ใดกัน

นายท่านสามรู้สึก ‘เอะใจ’ เขารีบหมุนตัวเดินจากไปต้องเป็นเด็กคนนั้นแน่ๆ เรื่องนี้เห็นท่าไม่ดีแล้ว เด็กคนนั้นออกไปได้สักพัก หากคิดจะไปตามกลับมาในตอนนี้ก็คงไม่ทัน ในเมื่อตามกลับมาไม่ได้ก็ต้องคิดหาทางฆ่าปิดปากซะ!

“น้องสี่!” เหมือนนางจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงรีบเข้ามาห้ามเขา “ท่านจะไปที่ใดหรือ”

เขาอยากจะไล่นางออกไป แต่นางกลับจับเขาไว้แน่นและพัดในแขนเสื้อของเขาก็หลุดออกมา

เมื่อเห็นพัดเล่มนั้น นางก็ตกตะลึง!

พัดเล่มนั้นเป็นพัดที่นางเป็นคนเลือก เขาใช้มันมาตลอดหลายปีไม่เคยทิ้ง ไม่อยากทิ้งมันไปในช่วงเวลาที่เกือบตาย

นางหยิบพัดขึ้นมาแล้วเงยหน้ามองเขา ดวงตาที่เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ นางเพ่งมองไปที่คิ้วของเขา

ต่อให้เหมือนกันแค่ไหน แต่เขากับน้องสี่ก็มีความต่างกันอยู่เล็กน้อย

เมื่อก่อนนางดูไม่ออกเป็นเพราะสถานะน้องสามีกับพี่สะใภ้ทำให้นางไม่สามารถมองน้องสามีอย่างละเอียดได้ว่าเขาเป็นเช่นไร

ตอนนี้นางดูออกแล้ว “ท่านพี่” เสียงของนางสั่น อีกทั้งมือของนางยังสั่นอย่างรุนแรง “เป็นท่านใช่หรือไม่”

แน่นอนว่าเขาปฏิเสธ “พี่สะใภ้สามรักนวลสงวนตัวด้วย! มาลากฉุดผู้ชายเช่นนี้ได้อย่างไร!”

“หมิงเชิน!” นางกรีดร้องออกมา “ตอนนี้ท่านยังโกหกข้าอยู่อีกหรือ ท่านยังมีชีวิตอยู่แท้ๆ!”

นายท่านสามเกรงว่าคนอื่นจะได้ยินจึงปิดปากของนางไว้ “ท่านตะโกนทำไมกัน!”

นางดิ้นอย่างสุดแรงและในที่สุดก็หลุดพ้นจากมือของเขา นางร้องไห้และถามเขาว่า “ท่านยังมีชีวิตอยู่ เหตุใดท่านถึงยังไม่ตาย ท่านกลับมาเมื่อไร ท่านปลอมตัวเป็นน้องสี่มาตลอดเลยหรือ ท่านรู้หรือไม่ว่าแต่ละวันข้าผ่านอะไรมาบ้าง เหตุใดท่านถึงยังไม่ตาย!” ความสิ้นหวังที่พุ่งเข้ามานั้นหนักหนายิ่งกว่ามีชีวิตอยู่ในนรกเสียอีก

นายท่านสามไม่สามารถมองนางตรงๆ ได้ นางร้องไห้อย่างเสียใจ แม้ยามที่ทุกข์ทรมานที่สุดก็ไม่เคยเจ็บปวดเท่านี้ สามีที่คิดว่าตายไปแล้วยังมีชีวิตอยู่และปรากฏตัวต่อหน้านางในฐานะน้องสามีหมายความว่าอย่างไรกัน

หมายความว่าเขารู้ว่าหลายปีมานี้นางผ่านอะไรมาบ้าง หมายความว่าเขารู้ว่านางมีชีวิตเหมือนตกอยู่ในนรกแต่กลับมองดูอยู่ไกลๆ หมายความว่า…

ความจริงที่โหดร้ายนี้ทำให้นางล้มลงในทันที สามีที่นางรัก ความทรงจำที่ตนเคยนำมาปลอบโยนเมื่อตอนที่นางเจ็บปวดที่สุด ความรักความผูกพันและมิตรภาพอันลึกซึ้งที่นางไม่มีวันลืมทั้งหมดได้กลายเป็นเรื่องตลก

นางน้ำตาไหลพราก ชีวิตของนางเป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น!

นายท่านสามจำไม่ได้ว่าเขาลงมือไปได้อย่างไร แต่เมื่อสติของเขากลับมาก็พบว่ามือของตนที่ถือสายคาดเอวกำลังรัดรอบคอนางไว้แน่น

ดวงตาของนางเบิกกว้างและน้ำตาที่กลั่นตัวอยู่ในเบ้าตาของนางค่อยๆ ไหลลงมา

……………

หญิงสาวที่เหลือเพียงดวงวิญญาณยังคงงดงามจนน่าตกใจ

แม้จะอยู่ในสภาพวิญญาณเร่ร่อนทำให้นางมีกลิ่นอายที่ลึกลับมากขึ้น ดูตัดขาดทางโลกยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

นายท่านสามสบตากับนางแล้วเบนหน้าไปทางอื่นโดยไม่รู้ตัว แต่นางแค่มองเขาเงียบๆ ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอย่างในคืนนั้นอีกแล้ว

นายท่านสามรู้สึกว่านางค่อยๆ ลอยอยู่ตรงหน้าเขาแล้วยื่นมือออกมาทาบเบาๆ ที่ใบหน้าของตน ความหนาวเย็นนั่นไหลซึมไปทั่วร่างกาย

“เป็นท่านจริงๆ ด้วย” นางพูดเสียงเรียบ “ข้ารู้ว่าข้ามองไม่ผิด” นายท่านสามบังคับตนเองให้เงยหน้าขึ้น ก็แค่วิญญาณเร่ร่อนเขาจะกลัวนางทำไมกัน

มืออันเย็นเฉียบค่อยๆ ลูบใบหน้าของเขา นางถอนหายใจและถอนมือกลับไป

“ท่านคิดอะไรอยู่” เขาถามนางอย่างเย็นชา

แววตาของฮูหยินสามดูประหลาดใจและในที่สุดนางก็ยิ้มออกมา “ข้าตายไปแล้วยังจะคิดอะไรได้อีก ก็แค่ไม่คิดว่าตัวเองมีชีวิตอยู่กับคำหลอกลวงมาโดยตลอด พอมองย้อนกลับไปมันน่าร้องไห้จริงๆ”

การพบกันครั้งแรกของพวกเขาเป็นเรื่องโกหก คนที่นางพบก่อนคือนายท่านสี่ แต่กลับคิดมาตลอดว่าเป็นนายท่านสาม

เป็นสามีภรรยากันมาแปดปี รักใคร่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ผลลัพธ์กลายเป็นว่าสามีที่สมบูรณ์แบบในสายตาของนาง ลับหลังกลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

โลกทั้งใบของนางพังทลายไปหมด

นายท่านสามพยายามสงบสติอารมณ์และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าไม่เคยพูดว่าคนที่ช่วยท่านที่วัดเป่าหลิงเป็นข้า แต่ท่านคิดไปเองว่าเป็นเช่นนั้น”

“ใช่ ข้าผิดเอง” ฮูหยินสามพูดเสียงเรียบ “ต้องโทษที่ข้าไม่เคยมองตัวท่านออกเลย สามีภรรยาที่รักกันอะไร ข้าคิดไปเองฝ่ายเดียวต่างหาก”

ท่าทางของนางดูสงบมากทำเอานายท่านสามอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสั่นไหว

ใช่ ที่นางพูดมาถูกต้องเป็นเพราะนางมองเขาไม่ออก มันไม่เกี่ยวกับเขาเสียหน่อย…

“ข้ามักนึกถึงวันแต่งงานของเรา ท่านในตอนนั้นมีน้ำใจที่กว้างขวางมากแค่ไหน มันทำให้ข้ารู้สึกว่าข้าได้แต่งงานกับสามีที่ดีที่สุดในใต้หล้า หลายปีมานี้แม้ยามที่ข้าทุกข์ทรมานมากที่สุดข้าก็ไม่รู้สึกเสียใจเลย”

นางหยุดชะงักแล้วถอนหายใจเบาๆ “แต่หลายวันมานี้ที่ได้อยู่กับท่าน ได้เห็นท่านที่ต่างไปจากเดิม หมิงเชิน ท่านบอกข้าทีว่าท่านเอาสามีของข้าไปซ่อนไว้ที่ใด คนที่แสนดีขนาดนั้นท่านซ่อนเขาไว้ที่ใดกัน”

น้ำเสียงของนางยังคงนิ่งสงบ แต่ความสิ้นหวังที่ซึมซาบเข้าไปถึงไขกระดูกได้ถักทอเป็นเส้นไหมที่แผ่ขยายออกมา

ในที่สุดนายท่านสามก็ก้มหน้าลงไม่เงยหน้าขึ้นมาอีก

“ตอนที่ท่านฆ่าข้า ท่านรู้สึกอย่างไรกันแน่ หลอกลวงข้า มองข้าขายตัวให้ชายคนแล้วคนเล่า ท่านไม่รู้สึกสะทกสะท้านแม้แต่น้อยเลยหรือ บุรุษที่สาบานต่อทะเลและภูเขาว่าจะรักกันชั่วฟ้าดินสลายเป็นท่านจริงๆ หรือ พอถูกข้ารู้ถึงตัวตนของท่าน ท่านกลับไม่ลังเลที่จะฆ่าข้า…ข้ามีตัวตนแบบไหนในหัวใจของท่านกันแน่”

……………………………………….