บทที่ 159 ทรยศ

ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงจะไม่ชอบคนอย่างชุนเต๋า แต่เขารังเกียจคนที่ข่มเหงคนอื่นอย่างหลินฟานมากกว่า

ยิ่งไปกว่านั้นคือนี่ทำให้เขานั้นนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อาณานิคมเขาอูฐ

เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ เฉินเฉียงได้ลอบนำเอาแหวนมิติอันหนึ่งออกมา ตราบใดที่หลินฟานพยายามจะฆ่าเขา เขาจะใช้ของในนี้หยุดหลินฟานไว้ได้

แน่นอนว่าหลังจากที่เห็นผู้ติดตามทั้งสี่ถูกส่งออกไปจากมิติประลองอย่างง่ายดาย นี่ทำให้ชุนเต๋าน้อยนึกหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ

เธอได้ใช้มือซ้ายกุมแขนที่ขาด พร้อมใบหน้าที่ซีดเผือด เพื่อต้องการให้หลุดพ้นออกมาจากสถานการณ์ เธอจึงได้ตะโกนออกมาอย่างหวาดกลัว “หลินฟาน นี่เจ้ากล้าทำร้ายข้า หลังจากกลับไปแล้วข้าจะให้พ่อของข้าจัดการเจ้าซะ”

“เมื่อถึงตอนนั้น แม้แต่ผอ.สำนักเสือขาวก็ช่วยเจ้าไม่ได้”

หลินฟานที่กำลังเดินเข้าไปชุนเต๋านั้นก็ทำท่าตกใจเมื่อได้ยิน ก่อนที่จะส่ายหัวไปมาและพูดตอบไป “เจ้าชื่อว่าชุนเต๋าสินะ”

“ช่างเป็นชื่อที่ดีอะไรเช่นนี้”

“อย่างไรก็ตาม ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่บอกเรื่องที่เกิดขึ้นนี้กับใครอย่างแน่นอน”

“นี่เจ้ายังคิดไม่ออกอีกหรือว่าทำไมข้านั้นถึงทำเพียงตัดมือขวาที่สวมแหวนของเจ้าไว้”

“เจ้าคิดไม่ออกจริงหรือว่าทำไม”

เฉินเฉียงที่เตรียมตัวโจมตีออกไปนั้น ในตอนนี้เขาได้ลดหัวตัวเองลงอีกครั้ง นั่นก็เพราะว่าเขานั้นไม่เห็นร่องรอยความคิดชั่วร้ายในแววตาของหลินฟาน

นี่มันเป็นเรื่องที่น่าแปลกเกินไป เป็นไปได้ว่าทั้งสองอาจจะเกลียดชังกัน และหลินฟานต้องการสะสางก่อนที่เธอจะถูกส่งออกจากมิติประลองนี้ไป

ก็ไม่แปลกใจสักเท่าไหร่ที่ว่าทำไมเขานั้นได้ตัดมือของชุนเต๋าทิ้งไป นั่นก็เพราะเพื่อป้องกันไม่ให้เธอล้วงเข้าไปกดปุ่มหนีฉุกเฉินที่อยู่บนบัตรประจำตัวในแหวนมิติได้

ชุนเต๋าเองในที่สุดก็เข้าใจ หลินฟานเองดูเหมือนว่าไม่ได้คิดเรื่องอย่างว่ากับเธอ เธอจึงรีบพูดออกมา “หลินฟาน เจ้าต้องการคะแนนของข้าสินะ”

“ไม่มีปัญหา เจ้าเอาพวกไปได้หมดเลย ตราบใดที่เจ้าไปข้าจะไปเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

หลังจากพูดจบ เลือดที่บังเกิดมาจากแขนของเธอที่ขาดก็ได้เริ่มไหลริน พร้อมแววตาที่เต็มไปด้วยความอ้อนวอน

“เจ้าอยากจะจากไปรึ”

ชุนเต๋าได้แสดงท่าทางที่แสดงออกถึงความอับอายและพยักหน้ารับ “ศิษย์พี่หลินฟาน โปรดทำตามคำขอของข้า”

หลินฟานเดินตรงมาที่ชุนเต๋าก่อนที่จะกระดิกนิ้วไปมาซ้ายขวาพลางส่ายหัวและพูดออกมา “ไม่ ถ้ายอมปล่อยเจ้าไปเลยข้าก็เสียเวลาเปล่าน่ะสิ”

เมื่อเห็นว่าหลินฟานไม่ยินยอม ชุนเต๋าก็ได้พูดออกมาอย่างโกรธเคือง “หลินฟาน นี่เจ้าจะเอายังไงกันแน่”

“เจ้าไม่รู้รึไงว่านี่เป็นเพียงมิติจำลอง”

“ต่อให้เจ้าต้องการจะฆ่าข้า เจ้าก็ทำไม่ได้อยู่ดี”

“อย่างมากข้าก็ใช้ชีวิตร่วมกับเจ้าได้สามเดือนเท่านั้น เมื่อถึงเวลาข้ากลับออกไปได้อีกอยู่ดี”

“ฮี่ฮี่ฮี่ คุณหนูชุนเต๋านี่ท่านคิดการณ์ไกลนัก”

หลินฟานได้เปลี่ยนเป็นท่าทีจริงจังและพูดออกมา “เจ้าไม่สังเกตรึไงว่าผู้ติดตามของเจ้าไม่อยู่แล้วน่ะ”

“หากว่าค่าต้องการคะแนนของเจ้า ข้าก็คงสังหารเจ้าไปพร้อมกับพวกมัน”

“เหตุผลที่ข้าทำแขนของเจ้าขาดไปนั้นเป็นเพราะไม่ต้องการออกไปจากที่นี่โดยง่ายก็แค่นั้น”

“แต่ไม่ต้องกังวลนะ ข้าไม่ต้องการแต้มคะแนนของเจ้า แถมข้ายังจะทำให้เจ้าอยู่ในมิติแห่งนี้จนกว่าจะหมดเวลาด้วย”

“แต่ก่อนหน้านั้น ข้าตั้งการจะใส่อะไรบางอย่างลงไปในตัวเจ้าซะก่อน”

“ใส่….อะไร”

“ฮี่ฮี่ฮี่ มันก็คือ….ไอ้นี่ไง” หลังจากหลินฟานพูดจบ เขาก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับได้ปรากฏแสงบางอย่างที่อยู่ในมือและกระโดดลอยตัวไปวางไว้บนหัวของชุนเต๋า

การโจมตีของหลินฟานนี้ทำให้แม้แต่เฉินเฉียงผู้ซึ่งกำลังจดจ่อกับเขาด้วยกระแสจิตก็ต้องตกตะลึงในทันทีที่รับรู้

นั่นก็เพราะสิ่งที่ส่งสว่างอยู่ในมือของเขานั่นก็คือแผ่นแก่นพลังงาน

อย่างไรก็ตาม กว่าเฉินเฉียงจะตั้งสติได้ก็สายเกินไปแล้ว

หลินฟานนั้นมีระดับการบ่มเพาะของมนุษย์อยู่ที่ระดับนายพลวิญญาณขั้นกลาง การกระทำของเขานั้นรวดเร็วมาก แถมการโจมตีของเขานั้นยังแฝงไปด้วยเทคนิคที่ลึกล้ำ

ชุนเต๋านั้นไม่รู้ว่าหลินฟานต้องการจะทำอะไรเธอกันแน่ แถมเขาเองยังมีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่าเธอด้วยซ้ำ เธอทำได้แต่เพียงหลับตาและปล่อยให้หลินฟานใช้ฝ่ามือโจมตีเธอจนตายเพื่อกลับไปโลกภายนอกเพียงเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หลังจากรออยู่นานก็ไม่เห็นมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง เธอจึงได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็พบว่าเธอยังคงอยู่ที่ภายในมิติประลอง แถมแขนขวาของเธอยังกลับมาใช้เป็นปกติ

“เกิดอะไรขึ้น”

ชุนเต๋าได้ขยับมือขวาไปมืออย่างตกตะลึงและถามออกมาอย่างงุนงง

หลินฟานได้ก้าวถอยหลังออกมาเล็กน้อยและพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ชุนเต๋า เจ้าไม่รู้สึกถึงทักษะใหม่ภายในร่างเลยรึไง”

“ทำไมไม่ลองแสดงให้ดูหน่อยล่ะ”

เมื่อได้ยินแบบนั้น เธอจึงได้ลองดำดิ่งในห้วงจิตสำนึกของตนเองดูก็ได้พบว่ามีทักษะใหม่สองอย่างอยู่ในจิตสำนึกของเธอ

เพียงแค่คิด ปีกสีเงินคู่หนึ่งก็ได้งอกออกมาจากหลังของเธอ พร้อมกับประกายแสงที่สะท้อนวิบวับออกมา

เมื่อเห็นฉากนี้ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตกตะลึง

“นี่มัน….อะไรกัน หลิน….หลินฟาน เจ้า….เจ้าเป็นนายพลทักษะพิเศษงั้นรึ”

“ถูกต้อง” หลินฟานพูดออกมาด้วยน้ำเสียเย็นนะเยียบ “ชุนเต๋า เลิกคิดที่จะกดปุ่มฉุกเฉินแล้วออกจากที่นี่ไปได้เลย ตอนนี้เจ้าเองก็เป็นเฉกเช่นตัวข้า เจ้าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์แล้วในตอนนี้”

“จดจำไว้ว่าข้านั้นยังต้องการคนแบบเจ้าอีกสี่คน ช่วยข้าหาสี่คนที่ข้าจะกล่าวถึงนี้ซะ”

“เจิ้งยี่สำนักมังกรอาชูร่า เฉินเฉียงสำนักเต่าดำ เว่ยฉิงเชินสำนักวิหคอสนีบาต หลิวถังสำนักเสือขาว”

“เจ้าต้องรายงานข้าในทันทีที่พบเจอพวกมัน”

“ทำไม ทำไมต้องเป็นข้า”

“ทำไมเจ้าถึงเลือกข้า ทำไมไม่ไปเลือกไอ้คนพวกนั้นไปเลย”

“แล้วทำไมข้าต้องช่วยเจ้าด้วย”

ชุนเต๋าที่ตอนนี้เก็บปีกของเธอไปแล้วได้ร่ำร้องออกมาพร้อมคำพูดที่แค้นเคือง ก่อนหน้านี้เธอยังเป็นอัจฉริยะแห่งสำนักมังกรอาชูร่าอยู่เลย ยังเป็นคนที่แม้แต่อัจฉริยะจำนวนนับไม่ถ้วนยังตั้งคอยตามหลัง แต่เพียงชั่วพริบตา เธอได้ไปอยู่ฝั่งมนุษย์กลายพันธุ์เรียบร้อยแล้ว

นี่จะให้เธอทำใจยอมรับได้ยังไงกัน

แล้วถ้าพ่อของเธอและผอ.ซุนไครู้เข้าจะปล่อยให้เธอมีชีวิตรอดไปได้ยังไง

“นี่เจ้าพูดถึงไอ้ขยะสี่ตัวก่อนหน้านี้ที่มากับเจ้าอย่างงั้นรึ” หลินฟานยิ้มและพูดออกมา “ชุนเต๋า เห็นแก่ที่เจ้าพึ่งจะกลายเป็นนายพลทักษะพิเศษอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่หรอกนะข้าถึงยอมบอก”

“แผ่นแก่นพลังงานห้าชิ้นนี้เป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้ของเข้า แล้วข้าจะไปใช้กับขยะพวกนั้นได้ยังไง”

“หากว่าเจ้าไม่ใช้ลูกสาวผอ.แผนกศึกษาของสำนักมังกรอาชูร่าล่ะก็ ข้าบอกได้เลยว่าเจ้าเองก็ไม่ได้มีค่าอะไรให้ชายตามอง เอาจริงๆถ้าไม่ใช่เหตุนี้ ข้าเองก็ไม่คิดจะใช้มันกับเจ้าด้วยซ้ำ”

“กับคนอื่นนั้นก็มีเหตุผลที่แตกต่างกันไป”

“เจิ้งยี่จากสำนักมังกรอาชูร่าเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของรุ่น เขานั้นย่อมได้ตำแหน่งสำคัญในตึกจอมพลอยู่แล้วในอนาคต”

“เพื่อพวกเรามนุษย์กลายพันธุ์แล้ว ข้อมูลนั้นเป็นสิ่งสำคัญ”

“เฉินเฉียงแห่งสำนักเต่าดำนั้นถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีพื้นเพที่แข็งแกร่งและระดับการบ่มเพาะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่เขามีชื่อเสียงในหมู่มนุษย์ไม่น้อย หากเขาได้กลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ล่ะก็ ข้าเชื่อว่ายามที่พวกมันรู้ต้องทำลายขวัญกำลังใจของไอ้พวกมนุษย์อย่างแน่นอน”

“หลิวถังจากสำนักเสือขาว เขาเป็นลูกนอกสมรสของหลัวเฟิง แต่ก็นะ เรื่องลับๆแบบนี้คนทั่วไปย่อมไม่รู้”

“แต่เผอิญข้านั้นได้รับรู้มันมา”

“ตราบใดที่เราควบคุมหลิวถังได้ นี่ก็เทียบเท่าได้กับการควบคุมหลัวเฟิงและสำนักเสือขาว”

“ส่วนเว่ยฉิงเชินนั้น ข้าเชื่อว่าเจ้าเองก็คงได้รับรู้ว่าเธอนั้นมีร่างกระจ่างจิต เป็นอัจฉริยะเพียงหนึ่งเดียวแห่งสำนักวิหคอสนีบาต และยิ่งไปกว่านั้น พ่อของเธอคือผู้การแห่งตึกจอมพลเขตกันหนัน”

“แค่ฟัง เจ้าก็น่าจะรู้ว่าสถานะของเธอนั้นสำคัญกับพวกเราขนาดไหนในอนาคต”

“ดังนั้น ชุนเต๋า เจ้าไม่ได้โดดเดี่ยวอย่างที่เจ้าคิด คนทั้งสี่ที่ว่านี้มีสถานะไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ้าเลยด้วยซ้ำ หากเจ้าคิดแบบนี้แล้วเจ้าน่าจะรู้สึกดีขึ้นนะ”