บทที่ 166 เสื้อคลุม

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ด้านเผยเยี่ยนกลับมาเรือนโอ่วเหอที่ตัวเองพำนักด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์เท่าใด

จวนสกุลเผยยังมีอีกหลายเรื่องให้เขารับผิดชอบ แต่เขากลับผลักภาระทั้งหมดให้เผยหม่าน ขึ้นเขามาเช่นนี้ ประการแรกเขาเป็นห่วงมารดา อยากเห็นว่านางอยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง ประการที่สองอยากหลบพวกคนที่แอบอ้างการอวยพรปีใหม่หาเรื่องมาเข้าพบเขา

มีขุนนางยื่นฎีกาให้ฮ่องเต้แต่งตั้งตำแหน่งรัชทายาทอีกครั้ง ราชสำนักและปวงประชาได้ยินเสียงลมก็เคลื่อนไหวขึ้นมาทันที สกุลขุนนางใหญ่ของเจียงหนานฉากหน้านิ่งเฉย ลับหลังกลับโหมซัดคลื่นเป็นวงกว้าง แรกเริ่มสกุลเผยเลือกปักหลักที่หลินอัน ก็ไม่ใช่เพราะชอบความเงียบสงบและไร้ความวุ่นวายของหลินอันหรอกรึ แล้วเหตุใดต้องยอมให้ผู้อื่นลากสกุลเผยเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยเล่า?

เรื่องเช่นนี้สามสี่ปีจึงจะเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง

เมื่อก่อนเขาก็เป็นคนที่ตีน้ำโหมคลื่นอยู่ภายในคนหนึ่งเช่นกัน ทั้งยังสัมผัสได้ถึงความสุขที่ไร้สิ่งใดเทียมเทียบจากเรื่องนี้

แต่นับตั้งแต่บิดาเขาจากไป ชั่วพริบตาเขาก็รู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่พวกนี้ไม่น่าสนใจอีกต่อไป

เผยเยี่ยนมองเด็กรับใช้ที่กวาดหิมะอยู่ที่ชานเรือน ทอดถอนหายใจแผ่วเบา

ภายหลังเขาอาจเร้นกายอยู่ในหุบเขาจริงๆ ก็ได้

ยามนี้ยังดี แต่พอผ่านสักสิบปี คาดว่าคงไม่มีใครจำเขาได้อีกแล้ว

แต่ก่อนที่เขาจะเร้นกายหายไป จำต้องจัดการเรื่องกลับเข้ารับตำแหน่งของพี่รองหลังจากการไว้ทุกข์เสียก่อน ความสัมพันธ์ในเมืองหลวงไม่อาจปล่อยปละละเลยไปในยามนี้ได้

เขาเรียกเผยชีเข้ามาไถ่ถาม “ในเรือนยังมีเงินให้ใช้สอยอีกเท่าใด?”

“เฉียนจวง[1]ทางเทียนจิน นับตั้งแต่ท่านผู้เฒ่าจากไปก็ไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไหนขอรับ” เผยชีเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “มีเงินทั้งหมดหนึ่งแสนตำลึงขอรับ”

เผยเยี่ยนตรึกตรองเล็กน้อย หมุนกายกลับไปห้องหนังสือร่างรายการส่งให้เผยชี “เจ้านำใบรายการนี้ให้ชูชิง จากนั้นก็ทำตามการจัดการของเขา”

ชูชิงเป็นคนที่ตามกลับหลินอันมาพร้อมกับเขา ยามนี้นับเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของเขา

เผยหม่านรับคำสั่งอย่างนอบน้อม ก่อนจะจากไป

ยามนี้เผยเยี่ยนจึงเอนกายบนเก้าอี้โยก

อาหมิงนำพรมขนสัตว์มาปูรองเท้าเขาอย่างคล่องแคล่ว

เผยเยี่ยนไม่ได้สนใจอาหมิง หลับตาลง ทว่าสมองกลับแล่นอย่างว่องไว

เงินทางเทียนจินเคลื่อนย้ายไปส่งของขวัญในเมืองหลวง เงินในหลินอันย่อมไม่พอใช้จ่ายเท่าใด ปีนี้เขาเสียเงินไปกับเรือกสวนไร่นามากเกินไป กำไรกลับได้น้อย มองไม่ออกเช่นกันว่าต้องใช้เวลาอีกกี่ปีจึงจะเก็บเงินลงทุนคืนกลับมาได้ วิธีที่ดีที่สุดคือโยกย้ายของจำนำตายในโรงรับจำนำมาช่วยเหลือก่อน เรื่องนี้ยังต้องปรึกษากับเถ้าแก่ใหญ่ถง เถ้าแก่ใหญ่ถงเป็นคนที่บิดาหลงเหลือไว้ให้เขา เผยเยี่ยนเคยพูดคุยกับเขาเพียงครั้งเดียวยามที่เพิ่งรับช่วงต่อสกุลเผยเท่านั้น นับว่าประมาณปีกว่าแล้ว ต้องหาโอกาสพูดดีๆ กับเถ้าแก่ถงใหญ่เสียหน่อย

ขณะที่เผยเยี่ยนครุ่นคิด ก็นึกถึงเรื่องเสื้อคลุมของอวี้ถังขึ้นมา

เขาจำได้ว่าตอนเด็ก ปกติในโรงรับจำนำมักจะมีขนสัตว์ดีๆ อยู่บ้าง สามารถถามกับเถ้าแก่ถงใหญ่ได้ นำมาให้คุณหนูอวี้ใส่กันหนาวสักตัว

นึกมาถึงตรงนี้ ในหัวเขาพลันปรากฏใบหน้าขาวกระจ่างราวหิมะต้นฤดูของอวี้ถัง

ขนสัตว์เก่า…ดูเหมือนไม่ค่อยดีกระมัง…

อย่างไรหาขนสัตว์ใหม่ให้นางจะดีกว่า

ในคลังสินค้าของเขาคงมีอยู่…

เผยเยี่ยนเป็นคนที่คิดแล้วย่อมลงมือทำ เขาให้อาหมิงส่งคนกลับเมืองไปเปิดคลังสินค้าของตัวเองทันที “ดูว่ามีตัวไหนที่เหมาะสมทำเสื้อคลุมให้คุณหนูอวี้บ้าง ก่อนหน้านี้ข้าละเลยเรื่องนี้ไป คิดเพียงขอให้นางเข้ามาอยู่เล่นเป็นเพื่อนท่านแม่เฒ่ากลับลืมไปว่า…”

อย่างไรสกุลอวี้ก็เป็นสกุลที่ค่อนข้างเรียบง่ายธรรมดา แม้จะได้รับเงินก้อนใหญ่อย่างไม่คาดฝัน ก็ไม่อาจเหมือนสกุลที่ร่ำรวยขึ้นมาชั่วข้ามคืนอย่างสกุลพวกนั้น เริ่มตัดเย็บเสื้อผ้าซื้อเครื่องประดับใหม่ๆ ใช้เงินราวกับกระดาษไปวันๆ

แต่คุณหนูอวี้มีคำพูดที่กล่าวได้ยอดเยี่ยม

หากมอบที่นาชั้นดีห้าสิบหมู่ที่สกุลหลี่เหลือไว้ให้สกุลอวี้เป็นผู้ดูแล นับจากนี้ไปสกุลอวี้ย่อมสามารถใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย คาดว่าคุณหนูอวี้คงจะดีใจไม่น้อย

เผยเยี่ยนเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าจะเขียนจดหมาย เรียกคนเข้ามาฝนหมึกหน่อย”

เรื่องของรื่อเจ้า ฝากให้กับคนสำนักตรวจการนับว่ายังช้าเกินไป พวกเขามีคดีใหญ่กองโตให้ต้องจัดการทุกวัน อย่างไรเขาเขียนจดหมายให้ผู้ว่าการมณฑลซานตงดีกว่า ทางพวกเขาเกิดคดีใหญ่เช่นนี้ หากพวกเขาเป็นคนรายงานไปเอง ยังสามารถอาศัยอำนาจให้เร่งตรวจสอบ หากถูกฝ่ายตรวจการยื่นกระทู้กล่าวโทษ ย่อมไม่เหลือหน้าตาเท่าใด

อาหมิงเร่งรีบไปจัดการตามคำสั่ง

เผยเยี่ยนร่างเรื่องที่จะเขียนไว้ในใจแล้ว รอจนฝนหมึกเรียบร้อย ก็เริ่มเขียนจดหมาย

อวี้ถังย่อมอยากรู้ว่ากลอนของตัวเองได้ที่เท่าใด เพียงแต่นางไม่อยากเปิดโอกาสให้กู้ซีสนทนาเรื่องกวีกาพย์กลอนกับนาง กู้ซีจะได้ไม่พูดเป็นน้ำไหลไฟดับต่อหน้านางเหมือนในชาติก่อน ทำท่าประหนึ่งเป็นผู้หญิงมากความสามารถคนหนึ่ง แต่ว่า นี่ก็ทำให้นางเข้าใจว่าเรื่องราวอะไรที่นับว่ามีความเกี่ยวพันที่สำคัญที่สุดในชาตินี้

ดังนั้นระหว่างทางกลับ ยามที่กู้ซีเอาแต่ล้อมหน้าล้อมหลังท่านแม่เฒ่า ไม่มีเวลามาใส่ใจนาง นางจึงค่อยกระซิบถามคุณหนูห้า “ลำดับที่สามและที่สี่คือใครรึ?”

คุณหนูห้าเม้มปากแย้มยิ้ม “คุณหนูอวี้และข้าได้ที่สาม” ยังบอกนางต่อว่า “คุณหนูรองได้อันดับที่ห้า ส่วนคุณหนูสี่ได้อันดับท้ายสุด”

อวี้ถังคาดไม่ถึงอยู่บ้าง

นางคิดว่าคุณหนูรองจะได้อันดับสูงกว่านางเสียอีก

คุณหนูห้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “บทกลอนของคุณหนูกู้ทำได้ดีที่สุด รวดเร็วทั้งมีท่วงทำนองของศิลปะ ทุกคนต่างลงคะแนนให้นางเป็นอันดับหนึ่ง พี่สามแพ้คุณหนูกู้เพราะไม่มีความลึกซึ้งเท่านาง กลอนของคุณหนูอวี้ก็แต่งได้ดี แต่สัมผัสระหว่างบทไม่ละเอียดรัดกุมเหมือนคุณหนูกู้และพี่สาม ดังนั้นจึงจัดอยู่ในอันดับสามเหมือนข้า กลอนของพี่รอง ท่านแม่คิดว่าแข็งทื่อเกินไป ไม่มีจิตวิญญาณ ด้านพี่สี่กลับเป็นเพราะเสร็จคนสุดท้าย”

อวี้ถังใบหน้าขึ้นสี

กู้ซีรู้ความตอนอายุสามขวบ ตั้งแต่เล็กก็เข้าเรียนพร้อมพี่น้องในเรือน แม้นางจะมีชีวิตอยู่ทั้งสองชาติก็ไม่อาจตามนางทันเช่นกัน แต่คุณหนูสามแต่งกลอนได้ดีกว่านาง คุณหนูห้าอายุน้อยที่สุดกลับได้อันดับเดียวกับนาง เห็นได้ชัดว่าคุณหนูทั้งสองฉลาดหลักแหลมไม่น้อย

นางเอ่ยชมด้วยใจจริง “เจ้าและคุณหนูสามเก่งกาจทีเดียว!”

คุณหนูห้าใบหน้าแดงก่ำ เอ่ยถ่อมตัว “ไม่ใช่เสียหน่อย แค่หัวข้อบังเอิญออกตรงกับเรื่องที่ข้าถนัดเท่านั้น”

อวี้ถังก็ไม่โต้แย้งอะไรกับคุณหนูห้า เพียงแค่ลูบศีรษะนางด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

คุณหนูห้าค้อมศีรษะอย่างขวยเขิน

ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงไม่ทันสังเกตเห็นคุณหนูสามที่ใบหูขึ้นสีอยู่เบื้องหน้าพวกนาง

ยามเย็นหลังจากท่านแม่เฒ่ากินข้าว อวี้ถังคิดว่าท่านแม่เฒ่าจะรั้งตัวพวกนางให้อยู่พูดคุย ใครจะรู้ว่าพวกหญิงรับใช้เพิ่งเก็บโต๊ะ ท่านแม่เฒ่าก็ยกน้ำชาส่งแขกเสียแล้ว

พวกอวี้ถังต่างก็ปกปิดความตกใจไว้ไม่มิด

ท่านแม่เฒ่าเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “อีกเดี๋ยวอาสามของพวกเจ้าจะเข้ามาน้อมทักทายข้า ข้าคงไม่รั้งพวกเจ้าแล้ว”

พวกผู้น้อยต่างก็หยัดกายบอกลาอย่างเชื่อฟัง พวกอวี้ถังไม่อาจรั้งตัวอยู่เช่นกัน ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับที่พัก

เช้าวันรุ่งขึ้น ท่านแม่เฒ่าก็บอกให้พวกนางค่อยเข้ามาน้อมทักทายในยามเฉิน[2]

อวี้ถังถามถึงเหตุผล

ผู้ที่มารายงานคือหลิ่วซวี่ นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นายท่านสามต้องการเข้ามาน้อมทักทายท่านแม่เฒ่าในยามเช้าเจ้าค่ะ”

อวี้ถังกระจ่างขึ้นมาโดยพลัน

เมื่อกินข้าวเช้าแล้ว อาหมิงก็หอบห่อสัมภาระเข้ามา

อวี้ถังประหลาดใจไม่น้อย เร่งเอ่ยถามเขาว่ามีเรื่องสำคัญอันใด

อาหมิงหัวเราะ ยัดสัมภาระในมือให้กับซวงเถา เอ่ยว่า “นายท่านสามให้ข้าเอาของสิ่งนี้มาส่งขอรับ เขายังรอข้ากลับไปรายงาน!” พูดจบ ไม่รอให้อวี้ถังได้พูดอะไร ก็วิ่งไปแทบไม่เห็นฝุ่น

“นี่คืออะไรกัน?” ซวงเถาพึมพำ หอบห่อสัมภาระเข้าไปในห้อง

เมื่อเปิดออกดู คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเสื้อคลุมผ้าไหมทอสีเขียวครามปักดอกเฟิ่งเหว่ย ด้านในเป็นเตียวเหมาสีขาว

“นี่…” อวี้ถังยกเสื้อคลุมขึ้นมาอย่างตกตะลึง

ผ้าไหมทอมีเนื้อผ้าโดดเด่นเฉพาะตัว เปล่งประกายความสง่างามภายใต้แสงริบหรี่ในห้อง

“งามจริงๆ เจ้าค่ะ!” ซวงเถาอดตะลึงไม่ได้

อวี้ถังว้าวุ่นอยู่ในใจ

เหตุใดเผยเยี่ยนจึงส่งเสื้อคลุมให้นาง?

นางกำชับซวงเถา “เจ้าไปดูสิว่าอาหมิงกำลังทำอะไร? เหตุใดนายท่านสามต้องส่งเสื้อคลุมให้ข้า?”

ทั้งยังเป็นเสื้อคลุมแบบหญิงสาว

คงไม่ใช่เพิ่งทำหรอกกระมัง

ซวงเถาก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสมเช่นกัน

หากนายท่านสามตั้งใจให้นาง ก็สามารถมอบให้ท่านแม่เฒ่าเป็นคนส่งให้คุณหนูได้ ยามนี้กลับลอบส่งเข้ามาเป็นการส่วนตัว…

นางรีบออกไปตามหาอาหมิง

อวี้ถังแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ก็พิงหัวเตียงอ่านหนังสือ ยามนี้ซวงเถาจึงค่อยฝ่าหิมะกลับเข้ามา

“คุณหนูเจ้าคะ!” นางแทบไม่สนใจเรื่องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแม้แต่น้อย พาร่างกายที่แฝงด้วยไอเย็นเข้ามาในห้อง “อาหมิงติดตามนายท่านสามอยู่ที่เรือนท่านแม่เฒ่าเจ้าค่ะ ข้าหาโอกาสคุยกับเขาอยู่นาน เขากล่าวว่า นายท่านสามเห็นเสื้อคลุมของคุณหนูบางไป ตั้งใจส่งคนกลับไปเอาที่สกุลเผย ยังเอ่ยว่าหากท่านไม่ชอบ ก็ใช้ตัวนี้ไปก่อน เขาจะให้คนช่วยทำอีกตัว ยังให้ข้ามาถามท่านว่าชอบสีอะไรเจ้าค่ะ?”

ถึงกับรีบออกมาอย่างนั้นรึ?

อวี้ถังใจลอยอยู่บ้าง

เห็นว่านางสวมเสื้อคลุมบางไปอย่างนั้นรึ?

เช่นนั้นนางควรรับเสื้อคลุมนี้ไว้หรือไม่?

หากไม่รับก็ทำลายความปรารถนาดีของนายท่านสาม แต่ถ้ารับ ก็เป็นของล้ำค่าเกินไป นางรู้สึกกังวลใจ

แต่ว่าเสื้อคลุมตัวนี้งดงามจริงๆ นางชื่นชอบไม่น้อย

อวี้ถังตัดสินใจไม่ได้

คิดว่าหากมารดานางอยู่ที่นี่ก็คงจะดี

นางจะได้ถามมารดาของนาง

อวี้ถังไล้ปลายนิ้วสัมผัสลวดลายที่นูนขึ้นของผ้าไหมทอ ขมวดคิ้วขึ้นอย่างรู้สึกขัดแย้งในใจ

ด้านกู้ซีก็แต่งกายเรียบร้อยแล้วเช่นกัน นั่งอ่านตำราที่หน้าโต๊ะหนังสืออย่างไม่มีอะไรทำ แต่ยามที่เหอเซียงเข้ามารายงานนาง นิ้วของนางกลับดึงหน้ากระดาษแน่น แทบที่จะทำหนังสือฉีกอยู่รอมร่อ

“สาวใช้ข้างกายผู้นั้นของคุณหนูอวี้วิ่งโร่ไปหาเด็กห้องหนังสือของนายท่านสาม?” ใบหน้าของนางมืดครึ้มราวกับท้องฟ้ายามฝนกระหน่ำ บิดเบี้ยวอยู่ท่ามกลางแสงไฟที่วูบไหวคลุมเครือในห้อง

“เจ้าค่ะ!” เหอเซียงเอ่ยเสียงเบา “ทั้งสองคนหลบคุยกันหลังต้นไม้อยู่ค่อนวัน ซวงเถาผู้นั้นจึงค่อยจากไป อาหมิงก็ค่อยวิ่งไปหานายท่านสามเจ้าค่ะ”

กู้ซีเอ่ยถาม “เวลานั้นนายท่านสามอยู่ที่ไหน?”

“ยังอยู่ในห้องท่านผู้เฒ่าเจ้าค่ะ” เหอเซียงตอบ

คิ้วของกู้ซีขมวดแน่นขึ้นมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นอย่างยิ่ง “จากนั้นล่ะ?”

เหอเซียงพูดอย่างกระอึกกระอัก “จากนั้นอาหมิงก็เข้าไปในห้องประมาณเวลาหนึ่งถ้วยชา[3] ก่อนอาหมิงจะตามนายท่านสามออกมาจากห้องท่านแม่เฒ่า กลับไปเรือนโอ่วเหอที่เขาพักอยู่เจ้าค่ะ”

กู้ซีตะลึงงัน เอ่ยว่า “หลังจากกลับไปเรือนโอ่วเหอก็ไม่ได้ไปหาทางคุณหนูอวี้อย่างนั้นรึ?”

เหอเซียงชะงักไปเล็กน้อย “ข้ายืนอยู่ตรงนั้นพักใหญ่จึงค่อยกลับเข้ามา ไม่รู้ว่า…” หลังจากนั้นมีคนไปทางนั้นหรือไม่ ทั้งนางไม่อยากจับตาดูต่อไป วันที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ หากไม่ระวังก็อาจจะแข็งตายได้ด้วยซ้ำ

ดีที่กู้ซีไม่ได้พูดอะไรอีก โบกมือให้นางออกไป

คืนนั้น กู้ซีนอนหลับไม่สนิท เอาแต่คิดว่าเหตุใดซวงเถาจึงไปหาอาหมิง

แต่เช้าตรู่วันต่อมา ยามที่นางไปน้อมทักทายท่านแม่เฒ่า จึงค่อยกระจ่างใจ

เวลานั้นในห้องมีเพียงอวี้ถัง คนรับใช้ในห้องไม่รู้ว่าหายไปไหนกันหมด ด้วยเหตุที่ช่วงนี้นางคุ้นเคยกับคนในห้องของท่านแม่เฒ่า ยามที่เข้าไป หญิงรับใช้ที่ปากประตูจึงไม่ขวางนางไว้ นางจึงเดินเข้าไปราวกับไม่มีใครอยู่ มุ่งไปสู่ห้องโถง ยามที่กำลังแปลกใจว่าเหตุใดในห้องไม่มีคน ควรจะส่งเสียงเสียหน่อยหรือไม่ ก็ได้ยินเสียงท่านแม่เฒ่าดังขึ้นก่อน “…ตั้งแต่พ่อของเขาจากไป เขาจึงเพิ่งเรียนรู้จัดการเรื่องในเรือน ก่อนหน้านี้ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย ย่อมยากจะหลีกเลี่ยงจุดที่เสียมารยาท อย่างไรขอเจ้าอย่าได้เก็บมาใส่ใจ”

——————-

[1]เฉียนจวง คือร้านค้าที่ดำเนินกิจการการเงินในสมัยโบราณ คล้ายกับธนาคารในยุคปัจจุบัน

[2]ยามเฉิน เวลาประมาณ 07.00 – 08.59

[3]เวลาหนึ่งถ้วยชา เวลาประมาณห้าถึงสิบนาที